พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่ 74คดีโชกเลือดที่เกิดจากเสื้อตัวเดียว
บทที่ 74คดีโชกเลือดที่เกิดจากเสื้อตัวเดียว
พอผู้ชายหน้าตาหน่อมแน้มที่ยืนอยู่ข้างๆ ซ่งสี่จื้อได้ยินเนี่ยเฟิงพูดถึงตัวเองแบบนี้ เขาก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
“นี่คุณมาจากบริษัทการสื่อสารเจ้าไหนกัน? กล้ามาพูดกับผมได้ยังไง? ไม่กลัวถูกผมทำให้โดนแบนรึไง?”
ซ่งสี่จื้อยืนยิ้มอย่างได้ใจอยู่ข้างๆ “คางเมิ่ง ฉันว่าเพราะเธอไปรับบทนางรองเรื่องนั้นมาเลยไม่ได้ติดตามข่าวสารบันเทิงเลยใช่มั้ย เธอถึงไม่รู้จักดาวรุ่งคนใหม่คนนี้น่ะ?”
คางเมิ่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ต้องยอมรับจริงๆ ว่าช่วงนี้เธอยุ่งมาก เพื่อถ่ายงานแล้ว เธอก็ยุ่งจนร่างกายแทบทรุดเลย
ในวงการบันเทิงนี้มันก็มีการเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ยิ่งช่วงนี้ก็มีดาราหน้าใหม่หลายคนถูกดันขึ้นมา แถมเด็กพวกนั้นก็ดูคล้ายกันไปหมด
คางเมิ่งไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ เธอสนใจแค่การพัฒนาของตัวเองเท่านั้น
“ฉันไม่รู้จักเขา”
คางเมิ่งคิดว่ายังไงพ่อหนุ่มนี่ก็เป็นแค่คนที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก ไม่อย่างนั้นเธอก็ต้องรู้จักสิจริงไหม?
พอซ่งสี่จื้อได้ยินอย่างนั้นเธอก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “แม้แต่อานจ้ายเสี้ยนเธอยังไม่รู้จักอย่างนั้นเหรอ? แสดงว่าเธอนี่มันตกข่าวอย่างแรงเลยนะเนี่ย!”
อานจ้ายเสี้ยนเป็นไอดอลหมุ่นที่ดังมากๆ ของบริษัทการสื่อสารจินไห่ในช่วงนี้เลย เขาทำได้ดีทั้งร้องทั้งเต้น แล้วด้วยหน้าตาที่หล่อเหลาของเขา จึงเป็นที่ดึงดูดของแฟนคลับมากมาย
เนื่องจากคางเมิ่งไม่ได้ถูกใจหนุ่มน้อยแบบนี้อยู่แล้ว เธอจึงไม่เคยหันมาสนใจเลย
เดิมทีอานจ้ายเสี้ยนนั้นเป็นหนึ่งในนักร้องนำของบริษัทการสื่อสารจินไห่อยู่แล้ว เนื่องจากฐานแฟนคลับของเขาค่อนข้างกว้างขวาง เขาจึงค่อยๆ รับงานเดี่ยวมาเรื่อยๆ จนพักหลังๆ เขาก็รับงานโฆษณาไปไม่น้อยเลยทีเดียว
เนื่องจากเขามีแฟนครับค่อนข้างมาก ดังนั้นตอนนี้เลยมีคนเริ่มทาบทามให้เขาไปเล่นซีรี่ย์แล้ว พอซ่งสี่จื้อรู้เรื่องนี้เข้าจึงรีบเข้ามาเกาะติดอานจ้ายเสี้ยวไว้ทันที
เนี่ยเฟิงคิดว่าใครซะอีก ที่แท้ก็แค่นักแสดงตัวน้อยของบริษัทการสื่อสารจินไห่นี่เอง
“อานจ้ายเสี้ยนขึ้นแท่นคนที่มีผู้ติดตามมากกว่าสิบล้านเลยนะ ด้วยระยะเวลาในการเข้าวงการแค่ครึ่งปีเท่านั้น ผลงานแบบนี้เธอไม่มีทางเทียบเขาติดหรอก เมื่ออยู่ต่อหน้าว่าที่ดาราดังแบบนี้เธอยังกล้าแย่งเสื้อกับเขาอีก ฉันว่าเธอคงไม่อยากมีอนาคตในวงการบันเทิงอีกแล้วสินะ!”
ในสมัยนี้เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าใครที่มีแฟนคลับมากกว่าก็ยิ่งทำอะไรได้มาก!
ซ่งสี่จื้อคงลืมไปแล้วว่าเธอเคยอับอายต่อหน้าเนี่ยเฟิงกับคางเมิ่งขนาดไหน มาวันนี้พอมีอำนาจขึ้นมาหน่อยก็ทำตัวได้ใจใหญ่เลย ทำอย่างกับว่าแฟนคลับของอานจ้ายเสี้ยนพวกนั้นเป็นของตัวเองยังไงอย่างนั้น
”ที่คุณจะบอกก็คือ ใครที่มีแฟนคลับเยอะกว่าคนนั้นก็มั่นคงกว่าใช่ไหมครับ?”
เนี่ยเฟิงถามไปพร้อมกับกระตุกคิ้ว
“ยังต้องถามอีกเหรอ คุณรู้รึเปล่าว่าสำหรับไอดอลคนหนึ่งแล้วแฟนคลับนั้นหมายถึงอะไร? มันก็คือพลังอำนาจกับเงินทองยังไงล่ะ เพราะพวกเขามีกำลังซื้อ เท่านี้ฉันก็สามารถหาเงินได้มากมายจากพวกเขาแล้ว ตาสว่างสักทีเถอะ! ใครที่ได้รับความนิยมคนนั้นก็คือราชา!”
อานจ้ายเสี้ยนนั้นต้องเสียงดีอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงเป็นนักร้องนำไม่ได้หรอก ส่วนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขานั้นมองไกลๆ ยังพอได้ พอเข้าใกล้แล้วรู้สึกขยะแขยงยังไงไม่รู้
จินตนาการไปไม่ออกเลยว่ารสนิยมของคนเรามันไปถึงขั้นไหนกันแล้ว แต่มันก็ขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์ของบริษัทด้วยแหละ
ตอนที่เนี่ยเฟิงได้ยินชื่อของบริษัทการสื่อสารจินไห่หัวใจของเขาก็เจ็บแปร๊บๆ ขึ้นมา เพราะบริษัทการสื่อสารจินไห่เคยเป็นของตระกูลเนี่ยมาก่อน
บริษัทการสื่อสารจินไห่ก่อตั้งมาได้ไม่นาน นับๆ แล้วก็แค่ห้าสิบปีเท่านั้น
แต่บริษัทการสื่อสารจินไห่นั้นเติบโตได้รวดเร็วมาก
ห้าสิบปีก่อน ตอนที่เศรษฐกิจยังไม่ดี ปู่กับพ่อของเขาก็ได้ใช้โอกาสนั้นก่อตั้งบริษัทการสื่อสารจินไห่ขึ้นมา และยังได้สร้างดารานักแสดงกับนักร้องที่มีความสามารถออกมาอีกชุดหนึ่ง
จนตอนนี้มีหลายคนเลยยังอยู่ในวงการอยู่เลย ทั้งเสียงร้องทั้งฝีมือการแสดงรวมไปถึงผลงานของพวกเขาอีกมากมายนั้นถือว่าเป็นระดับตำนานไปแล้ว
เนี่ยเฟิงนึกถึงสมัยเด็กๆ พ่อของเขาก็มักจะพาเขาไปเดินเล่นในบริษัทการสื่อสารจินไห่อยู่บ่อยๆ
พวกพี่ชายกับพี่สาวที่ดูดีในบริษัทการสื่อสารจินไห่พวกนั้นมักจะเข้ามาล้อมเขาไว้อยู่บ่อยครั้ง
อย่างแรกเลยคือเขาเป็นคุณชายของบริษัทการสื่อสารจินไห่ อีกอย่างก็เพราะเขาค่อนข้างมีออร่าเหมือนกับตุ๊กตาพอร์ซเลนเลย ตอนเด็กๆ พ่อของเขายังเคยถามเขาเลยว่าอยากลองเป็นนักแสดงสมทบดูไหม
ถึงตอนนั้นจะยังเด็ก แต่เขาก็เลือกที่จะปฏิเสธไป เพราะเขารู้สึกว่ามันไม่ค่อยน่าสนใจสักเท่าไหร่
แต่ไม่นึกเลยว่าทิวทัศน์ที่เหมือนเดิมนี้ผู้คนกลับเปลี่ยนไปแล้ว หลังผ่านมรสุมครั้งใหญ่ไป บริษัทการสื่อสารจินไห่ก็ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นแล้ว
ตอนนี้ผลงานที่บริษัทการสื่อสารจินไห่ปล่อยออกมามีแต่อะไรบ้างก็ไม่รู้? ดูคุณภาพสิ ถ้าพ่อเขารู้เข้าคงจะเครียดจนฟื้นขึ้นมาเลยล่ะมั้ง ช่างน่าขายหน้าจริงๆ
“คุณก็อย่ามาถามอะไรให้มากความเลย ด้วยความสามารถของคุณ ต่อให้พยายามไปอีกร้อยปีก็ไม่มีทางเทียบอานจ้ายเสี้ยนติดหรอก! ทางที่ดีก็รีบไสหัวออกไปจากร้านนี้ได้แล้ว!”
พอซ่งสี่จื้อคิดว่าวันนี้สามารถลบล้างความอัปยศของตัวเองได้ เธอก็ดูคึกขึ้นมาทันที
“พวกพนักงานเองมัวทำอะไรอยู่ได้! ไม่เห็นรึไงว่าอานจ้ายเสี้ยนคนดังอยากเลือกเสื้อผ้าน่ะ!”
ซ่งสี่จื้อตะโกนออกมาด้วยความโมโห
ทันใดนั้น หัวหน้าร้านก็ได้เดินเข้ามา พอเธอเห็นหน้าอานจ้ายเสี้ยนเธอก็ดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที ที่แท้หัวหน้าร้านคนนี้ก็เป็นแฟนติ่งของอานจ้ายเสี้ยนนี่เอง!
“พระเจ้า! อานจ้ายเสี้ยนเองเหรอ! อานจ้ายเสี้ยนคะ ฉันขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมคะ? ฉันเป็นแฟนคลับของคุณ ไม่ว่าอัลบั้มไหนของคุณฉันก็ซื้อมาหมดแล้วค่ะ ฉันจะสะสมทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณเลยค่ะ!”
ถึงอายุของหัวหน้าร้านคนนี้จะไม่น้อยแล้ว แต่เธอก็ยังเป็นพวกคลั่งไคล้นักแสดงอยู่ ทุกครั้งที่เห็นนักแสดงชายที่กำลังชุ่มเหงื่ออยู่บนเวที ฮอร์โมนในร่างกายของเธอก็แทบจะระเบิดออกมาเลย!
ซ่งสี่จื้อเชิดหน้าขึ้นอย่างได้ใจ “เห็นรึยังล่ะ! อานจ้ายเสี้ยนเขาก็เก่งอย่างนี้แหละ!”
คางเมิ่งกำหมัดแน่น “ฉันไม่สนหรอกนะว่าพวกเธอคิดจะทำอะไรกัน แต่ไม่ว่ายังไงเสื้อตัวนี้ฉันก็เป็นคนหยิบมาก่อน! หัวหน้า รูดการ์ด!”
คางเมิ่งหยิบบัตรเครดิตออกมา แล้วพูดออกมาอย่างไม่เกรงใจ
ทั้งๆ ที่วันนี้เธออุตส่าห์อารมณ์ดีอยากซื้อเสื้อผ้าให้เนี่ยเฟิงแท้ๆ ไม่นึกเลยว่าต้องมาเจอกับซ่งสี่จื้อกับอานจ้ายเสี้ยนที่น่าหมั่นไส้แบบนี้
ไม่ว่ายังไงคางเมิ่งก็ไม่มีทางยกเสื้อตัวนี้ไปให้พวกเขาเด็ดขาด
ก็อย่างที่เขาว่ากันยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ แล้วจะให้เธอยอมความง่ายๆอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ
“หัวหน้าร้านคะ จ้ายเสี้ยนเขาสนใจเสื้อตัวนี้ของร้านคุณมาก แต่ดันมีคนที่ไม่รู้จักผิดชั่วมาแย่งมันไปซะได้ คุณคิดว่าเราควรจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดีคะ?”
ซ่งสี่จื้อเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม
พอหัวหน้าร้านได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที คนที่คลั่งไคล้ดาราอย่างพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าบ้าคลั่งได้เลยล่ะ
อีกอย่างตอนนี้ไอดอลของเธอกำลังมาอยู่ตรงหน้าแบบนี้ แล้วเธอจะปล่อยให้เขาเสียหน้าได้ยังไงล่ะ?
ว่าแล้วหัวหน้าร้านก็ยื่นมือไปแย่งเสื้อตัวนั้นมาทันที “เอามานี่! ยัยอัปลักษณ์! พวกแกไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะซื้อเสื้อตัวนี้! ไสหัวไปซะ!”
คางเมิ่งได้แต่ยืนอึ้งอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง “ร้านของคุณนี่มันยังไงกันคะ? ทำกับลูกค้าแบบนี้ได้ยังไง!”
หัวหน้าร้านขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ “ตอนนี้พวกแกไม่ใช่ลูกค้าของร้านนี้แล้ว ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
พอซ่งสี่จื้อเห็นอย่างนั้น เธอก็รู้สึกสะใจอย่างถึงที่สุด ว่าแล้วเธอก็ได้พูดเยาะเย้ยขึ้นมาว่า
“นี่คางเมิ่ง เป็นไงล่ะ? การถูกทำให้อับอายต่อหน้าคนเยอะแยะแบบนี้มันรู้สึกยังไง? ทำไมยังไม่ไสหัวไปอีกล่ะ? หรือเธอยังรู้สึกขายหน้าไม่พอ?”
คางเมิ่งโกรธจนตัวสั่น! ทำแบบนี้มันหมายความว่าไง?
“เรียกผู้จัดการของร้านนี้ออกมา! ไม่สิ! เรียกระดับสูงของที่นี่ออกมา! ฉันอยากคุยกับพวกเขา!”
“ระดับสูงเหรอ?”
หัวหน้าร้านคนนั้นยิ้มออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “เธอไม่มีสิทธิ์!