พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่360 คำเชิญจากอาผู้เป็ฯญาติห่างไกล
ก่อนเข้าไปในห้องก็ได้ยินเสียงสนทนาเบาๆ เนี่ยเฟิงอยากรู้จึงเดินเข้าไป เห็นพี่ใหญ่กำลังยืนโทรศัพท์อยู่ข้างระเบียง สีหน้าของเธอดูเคร่งขรึม
“ฉันรู้แล้ว”
หลังจากวางสาย ชิวมู่เฉิงก็ค่อยๆ ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“พี่ใหญ่ พี่โทรหาใครเหรอ ทำไมสีหน้าดูแย่จัง?”
เนี่ยเฟิงถามด้วยความสงสัย
ถ้าเป็นคนอื่นย่อมไม่มีใครเห็นสีหน้าของชิวมู่เฉิง แต่เนี่ยเฟิงโตมากับชิวมู่เฉิง รู้ว่าถึงแม้ชิวมู่เฉิงจะดูเหมือนสีหน้าเย็นชา แต่เนี่ยเฟิงก็เข้าใจดีว่า ตอนชิวมู่เฉิงสีหน้าแย่เป็นอย่างไร
“ไม่มีอะไร เธอกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมไม่โทรหาฉันให้ไปรับล่ะ”
“พี่ยุ่งอยู่กับงานไม่ใช่เหรอ? ผมคิดว่าพี่ยุ่งมากเกินไปด้วยซ้ำ เลยไม่อยากรบกวนให้พี่มารับผม จะว่าไปแล้วการเรียกนั่งแท็กซี่กลับบ้านนั้นก็ง่ายดายดีด้วย!”
เนี่ยเฟิงฉีกยิ้มแล้วพูดต่อ “ธุรกิจมีปัญหาอะไรหรือเปล่า? ผมว่าพี่ดูเหนื่อยมาก”
ชิวมู่เฉิงส่ายหัว “ไม่มีอะไรหรอก ช่วงนี้ธุรกิจก็มีความมั่นคงดี”
“พี่ใหญ่ พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน พี่ไม่จำเป็นต้องเก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจหรอก มีอะไรก็บอกพวกเราได้ ผมรู้สึกว่าผมสามารถช่วยได้เล็กๆ น้อยๆ!”
เนี่ยเฟิงตบหน้าอกของตัวเอง และดูน่าเชื่อถือและน่าพึ่งพามาก
ชิวมู่เฉิงนึกถึงการโทรศัพท์เมื่อครู่นี้ อันที่จริงมันมาจากคุณอาของเนี่ยเฟิง
หลังจากเกิดโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นในตระกูลเนี่ย ตระกูลเนี่ยก็แทบจะพังทลายลงในพริบตา แต่การล่มสลายนี้มีเพียงตระกูลหลักเท่านั้น
ในตระกูลเนี่ยบ้านที่มีอำนาจมากที่สุดก็คือตระกูลหลักเช่นกัน ต่อมาก็ได้แตกสาขาออกไป บ้างก็ตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลหลัก เพื่อไม่ให้เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นพวกเขาจึงย้ายออกมาจากเมืองจินไห่มาอาศัยอยู่ที่นี่ มีเพียงการถูกกดดันเท่านั้น พวกเขาต่างรู้ดี
ครั้งนี้คุณอาของเนี่ยเฟิงโทรเข้ามา ทำให้ชิวมู่เฉิงค่อนข้างแปลกใจ
น้อยมากที่ชิวมู่เฉิงเป็นฝ่ายติดต่อคนในตระกูลเนี่ยเอง มีเพียงครั้งเดียวที่ติดต่อพวกเขา นั่นคือขอร้องให้พวกเขาช่วยหาที่อยู่ของเนี่ยเฟิง เธอไม่เชื่อว่าเนี่ยเฟิงจะเสียชีวิตแล้ว
เพียงแต่ว่าพวกเขาล้วนไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลเนี่ย ดังนั้นจึงนิ่งเงียบ ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
เมื่อตระกูลเนี่ยเจริญรุ่งเรืองขึ้น เนี่ยเฟิงก็ได้รับความสนใจมากขึ้นเช่นกัน พี่สาวบุญธรรมเหล่านี้ได้กลายเป็นคนที่พวกเขาต้องการสอพลอ
ต่อมาพ่อแม่ของเนี่ยเฟิงกังวลว่าพี่สาวเหล่านี้และตัวเนี่ยเฟิงเองจะได้รับผลกระทบ ท้ายที่สุดพวกเขาไม่ต้องการให้ลูกๆ ของพวกเขาได้สัมผัสกับสังคมที่มีแต่พ่อค้าคนกลางแบบนี้ ดังนั้นส่วนใหญ่จึงปล่อยให้พวกเขาอยู่ตามชนบท
วันเวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดสำหรับเนี่ยเฟิงเช่นกัน
เขาศึกษาวิชาแพทย์และศิลปะการต่อสู้ที่นั่น เล่นกับบรรดาพี่สาวน้องสาวของเขา วิ่งไปทั่วภูเขา ตอนนี้พอนึกย้อนไปก็รู้สึกมีความสุขมาก
เหตุผลที่คุณอาของเนี่ยเฟิงติดต่อชิวมู่เฉิงก็เพราะว่า ชิวมู่เฉิงชนะประมูลโครงการที่อ่าวนกยูงและบริษัทเทียนหลงได้ดึงดูดความสนใจจากเขาเช่นกัน
พวกเขาก็ไม่รู้ว่ามีเจตนาอะไร เขาโทรศัพท์มาสอบถามถึงสถานการณ์ที่นี่และเชิญชิวมู่เฉิงไปรับประทานอาหารเย็นในวันพรุ่งนี้
“ในเมื่อพี่พูดแบบนี้ งั้นผมก็จะบอกความจริงให้พี่ฟัง เรื่องนี้คงไม่ดีถ้าจะปิดบังพี่ไว้”
ชิวมู่เฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าเรื่องที่อีกฝ่ายโทรศัพท์มาหาให้เนี่ยเฟิงฟังคร่าวๆ
“ผมไม่รู้ว่าพี่ยังอยากเจอพวกเพื่อนสนิทจากสาขาอื่นไหม”
ใบหน้าของเนี่ยเฟิงมีรอยยิ้มเยาะบางๆ “พี่ใหญ่คิดว่าพวกเขายังเป็นญาติและเพื่อนสนิทของเราอยู่หรือเปล่า?”
ชิวมู่เฉิงส่ายหน้า “คนที่ไม่สนใจไยดีเวลาเราล้มไม่ถือว่าเป็นคนดี”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พี่ใหญ่ก็ไม่ต้องไปสนใจหรอก อย่าให้คนแบบนี้มาทำลายอารมณ์ของพี่เลย พี่ก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว”
เนี่ยเฟิงคิดว่าชิวมู่เฉิงคงลืมวันเกิดของตัวเองไปแล้วในวันพรุ่งนี้ พวกเขาได้สร้างกลุ่มเล็กๆ ขึ้นมาและกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุข บรรดาพี่สาวของเขากำลังพูดคุยกันว่าจะให้ของขวัญอะไรดี
เนี่ยเฟิงได้ส่ง Victoria’s Tears ไปตรวจซ่อมแซมและล้างให้สะอาดตั้งนานแล้ว
ตอนนี้มันถูกบรรจุหีบห่อเรียบร้อยแล้ว อันที่จริงเนี่ยเฟิงคิดว่าเครื่องประดับแค่ชุดเดียวจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร สิ่งที่เขาต้องการมอบให้ชิวมู่เฉิงคือสิ่งที่ดีกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถยนต์ เงิน และอำนาจ เขาต้องการที่จะมอบให้พี่ใหญ่ทั้งหมด
เพียงแต่ว่าพี่ใหญ่ไม่ชอบของเหล่านั้น พี่ใหญ่ของเขาแค่อยากให้เขามีชีวิตที่ดี
“แต่เขาบอกว่าในมือของเขามีของที่พ่อแม่ของเธอต้องการจะมอบให้ฉันกับมือ ตอนนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่มีเวลาจัดการกับมัน”
เป็นเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ชิวมู่เฉิงรู้สึกไม่สบายใจ “พรุ่งนี้เขาชวนฉันไปกินข้าวและจะมอบของให้ฉัน แต่เขาไม่บอกว่าเป็นอะไร ฉันคิดว่าฉันน่าจะต้องไปที่นั่นสักหน่อย”
เนี่ยเฟิงวางแผนที่จะกำจัดพวกเขาทีละคน ที่พวกเขาเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ก็เพราะว่าพ่อของเขาไม่ใช่หรือ?
ในตอนนั้นพ่อของเขาเป็นบุคคลที่โดดเด่นในเนี่ยซื่อกรุ๊ปตัวเขายังอยากประจบประแจงเขาเลย
แต่หลังจากที่เขาเกิดมาก็ไม่มีใครสนใจเขาอีกเลย จนถึงขนาดไม่มีใครอยากไปตรวจดูเรือสำราญที่พ่อแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุ
ตอนนี้พวกเขายังคิดจะทำสิ่งที่น่ารังเกียจเพียงเพราะผลประโยชน์ เนี่ยเฟิงจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นผมก็จะไปกับพี่ใหญ่ด้วย!”
ชิวมู่เฉิงถึงกับอึ้งไป “เธอไปที่นั่นมันจะดีเหรอ?”
“มีอะไรไม่ดีล่ะ ครั้งแรกที่พวกคุณเห็นผมก็จำไม่ได้ ส่วนคุณอาญาติห่างๆ นี่ก็ไม่เคยเจอผมเท่าไร เดาว่าเขาจำผมไม่ได้เหมือนกัน พอถึงตอนนั้นพี่ก็อย่าเรียกชื่อผม ดูสิว่าเขาจะปฏิกิริยายังไงบ้าง จะว่าไปแล้ว ถ้าพวกเขารังแกพี่ล่ะจะทำยังไง? ผมทนไม่ได้หรอก!”
เนี่ยเฟิงพยักหน้าอย่างจริงจัง ชิวมู่เฉิงจ้องมองเนี่ยเฟิงที่เป็นห่วงเธอขนาดนี้ รอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะพาเธอไปแล้วกัน อย่างไรเขาก็บอกว่าเป็นของของพ่อแม่เธอ”
เนี่ยเฟิงพยักหน้า “ตกลง!”
ในเวลานี้คางเมิ่งและคนอื่นๆ ก็กลับมาถึงแล้วเช่นกัน หลังจากที่คางเมิ่งกลับมา เธอก็ทิ้งกระเป๋าและรองเท้าไว้ข้างๆ ราวกับเป็นอัมพาต “เสี่ยวเฟิงกลับมาก็ดีแล้ว มาช่วยนวดขาพี่หน่อย วันนี้พี่เหนื่อยจะแย่!”
“ทำไมคุณเรียกเสี่ยวเฟิงล่ะ? เสี่ยวเฟิงก็เพิ่งกลับมาจากเมืองหนานหูเหมือนกัน นั่งรถมาทั้งวัน เขาคงจะเหนื่อยมากเหมือนกัน ให้ฉันนวดให้เธอแทนดีกว่าไหม?”
เย่หรูเสว่เป็นผู้หญิงปากร้ายใจดี แม้ว่าปกติคำพูดของเธอจะคมกริบไปบ้าง แต่เธอก็เป็นห่วงเนี่ยเฟิงด้วยใจจริง
“เฮ้อ น้องหก เสี่ยวเฟิงเป็นเด็กผู้ชาย เด็กผู้ชายจะบอบบางขนาดนั้นได้ยังไง เธอไม่รู้หรอกว่าวันนี้ฉันวิ่งไปโปรโมทหนังมากี่ที่ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเสี่ยวเฟิง รอพี่ได้เงินมาแล้วจะซื้อบ้านใหม่ให้เธอ!”
เดิมทีเย่หรูเสว่เช่าห้องอยู่ด้านนอกอยุ่ เพราะพ่อแม่บุญธรรมของเธออาศัยอยู่ที่เมืองหนานหู
แต่เพราะเรื่องนั้น เย่หรูเสว่จึงได้ตัดขาดการติดต่อกับพวกเขา หลังจากวันเกิดของเขา เงินก้อนนั้นจะเข้าบัญชีของเธอ เย่หรูเสว่คิดว่าพี่น้องน่าจะมาพูดคุยปรึกษากัน ซื้อคฤหาสน์ที่ใหญ่กว่านี้แล้วเข้าไปอยู่ด้วยกัน