พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่389 ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
“ในเมื่อเสี่ยวเฟิงตัดสินใจทำเรื่องนี้แล้ว เขาก็ต้องมีความมั่นใจในตัวเอง ในเมื่อเขามั่นใจ แล้วทำไมพวกเราต้องห้ามไม่ให้เขาไปด้วยล่ะ? มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย จะว่าไปแล้วเสี่ยวเฟิงก็เป็นผู้ใหญ่เหมือนพวกเรา อย่าทำเหมือนเขาเป็นเด็ก เขารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร”
หมิงอี๋หานพูดดังนี้ทำให้พี่สาวทุกคนหุบปากทันที แน่นอนว่าพวกเธอรู้ว่าเนี่ยเฟิงไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เนี่ยเฟิงสามารถเลือกเองได้ เพียงแต่มันไม่ง่ายเลยกว่าพวกเธอจะได้ตัวเนี่ยเฟิงกลับมา ดังนั้นพวกเธอจึงเป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเนี่ยเฟิง
“พรุ่งนี้ฉันจะพานายไปที่เมืองหยางเฉิงด้วยกัน แต่นายต้องสัญญากับฉันเรื่องหนึ่ง”
หลังจากนั้นไม่นาน ชิวมู่เฉิงก็เอ่ยปากขึ้น เนี่ยเฟิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ว่ามาได้เลย ไม่ว่าเรื่องอะไร ผมจะบุกน้ำลุยไฟโดยไม่หวั่น!”
“ไม่ได้จะให้นายไปบุกน้ำลุยไฟที่ไหน ถ้าพรุ่งนี้นายไปกับฉัน นายต้องอยู่ในที่ที่ฉันมองเห็นได้ ห้ามออกไปจากสายตาของฉัน เพราะฉันอยากแน่ใจว่านายปลอดภัย พรุ่งนี้ฉันจะจ้างบอดี้การ์ดไปด้วย”
แม้ว่าพรุ่งนี้ในงานจะมีรปภ.อยู่ด้วย แต่ชิวมู่เฉิงก็ยังเป็นกังวลอยู่ดี
“ผมเข้าใจแล้ว ผมจะอยู่ข้างๆ พี่ใหญ่ ไม่ไปไหนทั้งนั้น พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงครับ!”
เนี่ยเฟิงยิ้มออกมา
เขาอยู่ในอารมณ์ที่ผ่อนคลายมาก แต่บรรดาพี่สาวของเขาต่างหนักใจกับเรื่องนี้ เพราะพวกเธอไม่รู้ว่ามันเป็นทางเลือกที่ถูกต้องหรือไม่ที่จะพาเนี่ยเฟิงไปที่เมืองหยางเฉิง ตอนนี้พวกเธอทุกคนอยากจะพาเนี่ยเฟิงไปซ่อนตัวเหลือเกิน
“เป็นไงบ้าง เมื่อกี้ฉันทำได้ไม่เลวใช่ไหม?”
ในเวลานี้บรรดาพี่สาวต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง มีเพียงพี่สี่เท่านั้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในสวนดอกไม้แก้วคริสตาลและพูดคุยกับเนี่ยเฟิง
“พี่สี่นี่ฉลาดจริงๆ รู้ว่าผมต้องการทำอะไร”
“แต่ฉันก็เหมือนกับพี่สาวคนอื่นๆ ยังกังวลเรื่องความปลอดภัยของนายเหมือนกัน หากอีกฝ่ายรู้ว่านายยังมีชีวิตอยู่ จะไม่มีทางปล่อยนายไว้แน่ พอถึงตอนนั้นนายอาจจะจัดการยากขึ้น”
หมิงอี๋หานก็ไม่ได้ตามใจเนี่ยเฟิงทุกเรื่อง เธอรักเนี่ยเฟิงมาก ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เธอก็เต็มใจทำให้ แต่เรื่องความปลอดภัยของเนี่ยเฟิงต้องมาก่อน
“ผมรู้ครับ จะว่าไปแล้ว ถ้ามีใครในโลกนี้ที่สามารถเอาชนะผมได้จริงๆ ผมก็ยินดียอมรับ เพราะผมรู้ว่าตอนนี้ผมแข็งแกร่งกว่าพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่มีทางทำอะไรผมได้เลย”
พอหมิงอี๋หานได้ยินเนี่ยเฟิงพูดเช่นนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ “ถ้าเป็นคนอื่นมาพูดแบบนี้ อาจจะถูกฉันเยาะเย้ยอย่างไม่ปรานี แต่นี่เป็นนาย งั้นฉันจะไม่หัวเราะเยาะนายแล้วกัน”
เพราะหมิงอี๋หานนั้นรู้ดีว่า สิ่งที่เนี่ยเฟิงพูดนั้นไม่ใช่เรื่องโกหกอย่างแน่นอน แต่มันคือความจริง
“พี่สี่ ต่อไปอาจจะต้องการให้พี่มาคอยเป็นเกราะกำบังให้ผม ไม่รู้ว่าพี่สี่อยากได้ของอะไรหรือเปล่า บอกผมได้เลยนะ!”
เนี่ยเฟิงกะพริบตาปริบๆ พูดอย่างยิ้มแย้ม
“ถ้านายจะถามฉันว่าอยากได้ของอะไรไหม ฉันก็มีจริงๆ”
หมิงอี๋หานเป็นคนไม่เรียกร้องอะไรเสมอมา เนี่ยเฟิงจึงสนอกสนใจว่าหมิงอี๋หานอยากได้อะไร
“ฉันอยากให้นายอยู่รอดปลอดภัย”
เนี่ยเฟิงได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอึ้งไป เขายิ้มอย่างเขินอาย “ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด!”
หลังจากทั้งสองพูดคุยกันสักพัก ก็ออกจากสวนดอกไม้คริสตาล พวกเขาทานอาหารเย็นร่วมกันในคืนนั้น แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ บรรดาพี่สาวอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่เงียบไป
มีเพียงเนี่ยเฟิงเท่านั้นที่กินอาหารอย่างมีความสุข ก่อนจะกลับไปพักผ่อนที่ห้อง เนี่ยเฟิงรู้ว่าบรรดาพี่สาวเป็นห่วงเขา
วันถัดมาที่เนี่ยเฟิงตื่นขึ้น ทันทีที่เขาเปิดประตู ก็เห็นพี่สาวหลายคนรออยู่ข้างนอก
“ทำไมพวกพี่ตื่นเช้ากันจัง?”
“วันนี้นายจะไปเมืองหยางเฉิงกับพี่ใหญ่ พวกเราก็ยังไม่ค่อยวางใจ ดังนั้นจึงเตรียมของบางอย่างไว้ให้ นายต้องนำติดตัวไปด้วย”
เนี่ยเฟิงรู้สึกสงสัย “พวกพี่ๆ เตรียมอะไรให้ผมเหรอ? แค่ไปประชุมที่เมืองหยางเฉิงเอง ไม่มีอะไรสักหน่อย”
“นี่คือเสื้อกันกระสุนที่ฉันเตรียมไว้ให้นาย นายต้องสวมมันไว้ ถ้าสัญญาณเตือนภัยพบกับอันตรายมันจะเปิดออกมาทันที”
เย่หรูเสว่หยิบเสื้อกันกระสุนสองชุดออกมา ชุดหนึ่งให้เนี่ยเฟิง อีกชุดสำหรับชิงมู่เฉิง
เนี่ยเฟิงมองดูเสื้อกันกระสุนแล้วไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี
“ทำไมถึงทำเป็นเรื่องใหญ่จัง? ถ้าคนพวกนี้คิดจะฆ่าผมอย่างโจ่งแจ้งจริงๆ ตอนแรกพวกเขาคงไม่หลอกล่อให้พ่อแม่ของผมไปที่ทะเลหรอก”
“นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือไม่ใหญ่ มันคือเรื่องความปลอดภัย รีบใส่เสื้อกันกระสุนนี้เร็ว ห้ามถอดแม้ว่าจะร้อนแค่ไหน เข้าใจไหม?”
เนี่ยเฟิงพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมใส่เสื้อกันกระสุน
จากนั้นบรรดาพี่สาวก็นำอาวุธแปลกๆ มาให้เขาพกติดตั้ง เขามองดูอาวุธเหล่านี้แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ “ผมกับพี่ใหญ่จะไปที่นั่นด้วยรถไฟความเร็วสูง ถ้าพกอาวุธไป เราจะไม่สามารถผ่านด่านตรวจความปลอดภัยได้”
“ไม่เป็นไร ฉันขอให้คนเปิดทางเดินสีเขียวให้พวกเธอแล้ว พอถึงตอนนั้นพวกเธอตรงเข้าไปได้เลย ไม่มีใครขวางพวกเธอได้”
หยูจิงหงกล่าวอย่างมั่นใจ
เนี่ยเฟิง “…”
เนี่ยเฟิงแทบจะลืมสถานะของหยูจิงหงไปแล้วว่าเป็นผู้บัญชาการ
“ก็ไม่ได้ พกของเหล่านี้เข้าไปมีแต่จะทำให้เกิดความตื่นตระหนก เอาไว้ที่นี่แล้วกัน จะว่าไปแล้ว พี่สองกับผมเคยประมือกัน ก็ต้องรู้ว่าศิลปะการต่อสู้ของผมแข็งแกร่งเพียงใด เอาไว้ป้องกันตัวได้เหลือๆ เลย!”
หยูจิงหงรู้ว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด แต่ทุกอย่างก็เผื่อไว้ทั้งนั้น
ถึงจะชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด พวกเขาก็ไม่ได้บังคับให้เนี่ยเฟิงพกอาวุธเหล่านี้ขึ้นรถ
ทั้งสองมาถึงสถานีรถไฟความเร็วสูง หลังจากขึ้นรถ เนี่ยเฟิงก็นั่งข้างชิวมู่เฉิงแล้วถามว่า “พี่ใหญ่ ผมอยู่ข้างๆ พี่ก็เหมือนเป็นระเบิดเวลา พี่จะรู้สึกกลัวไหม?”
ชิงมู่เฉิงส่ายหน้า “ฉันไม่ได้รู้สึกกลัว ฉันแค่เป็นห่วงนายจะเกิดเรื่อง”
“ยังมีคนอีกมากมายที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากพ่อแม่ของผม และไม่ใช่ทุกคนที่ลืมบุญคุณ มีคนคิดทำร้ายผมมากเท่าไร ก็มีคนอยากช่วยผมมากเท่านั้น ดังนั้นพี่ใหญ่ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้เลย”
เนี่ยเฟิงแสร้งทำเป็นผ่อนคลายและเอนหลังพิงเก้าอี้ อันที่จริงเขารู้ว่ามีคนที่ต้องการทำร้ายเขามากกว่าคนที่ต้องการช่วยเขามาก พ่อแม่ของฝูยานหรงก็ไม่ใช่เหยื่อจากภัยพิบัติที่ไม่ควรเกิดครั้งนั้นเหรอ?
“พูดก็พูดได้สิ…”
ตอนนี้ประสาทของชิวมู่เฉิงค่อนข้างตึงเครียด เมื่อเทียบกับการเจรจาธุรกิจใหญ่ๆ ที่เธอเคยทำมา การเดินทางครั้งนี้ทำให้เธอรู้สึกกังวลมากขึ้น
ชิวมู่เฉิงไม่ได้ทำให้ตัวเองรู้สึกหวาดกลัว แต่เธอเป็นห่วงเนี่ยเฟิงที่มีชีวิตรอดมาได้อย่างยากลำบาก
แต่ทั้งสองคนได้ออกจากสถานีรถไฟความเร็วสูงได้อย่างราบรื่น ในเวลานี้มีรถมารับพวกเขาโดยเฉพาะ ชิวมู่เฉิงกับเนี่ยเฟิงขึ้นรถไปด้วยกัน ก่อนจะมาถึงหอประชุมโดยสวัสดิภาพ
ที่ประตูหอประชุม เนี่ยเฟิงมองดูฝูงชนที่กำลังส่งเสียงดัง เขายิ้มแล้วพูดว่า “พี่ดูสิพวกเราไม่เป็นอะไรเลย ผมบอกแล้วว่าอย่ากระต่ายตื่นตูม คนพวกนี้ไม่กล้าลงมือหรอก พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ!”
เนี่ยเฟิงรู้ว่าฉินเทียนกังคงไม่โง่ถึงขนาดนั้น ถ้าเขาเริ่มลงมือตอนนี้ หรือต่อให้มีคนจะลงมือกับเขา มันก็สูญเปล่าทั้งหมด
ผู้วางแผนคดีร้ายแรงในครั้งนั้นตัวจริง ต้องกำลังเตรียมความพร้อมอย่างแน่นอน