พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่402 แนวคิดเหมือนกัน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อทหารเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาในระดับหนึ่งแล้ว เนี่ยเฟิงจะฝึกสอนพวกเขาต่อไป จะต้องทำให้พวกเขาเลิกความเคยชินในกองทัพ ให้พวกเขาปรับตัวให้เข้ากับสังคมการแข่งขันอันโหดร้ายนี้ พวกเขาถึงจะรู้ว่าการมีชีวิตอยู่คืออะไร
เนี่ยเฟิงชัดเจนมากว่าบุคคลเช่นนี้คือสิ่งที่หน่วยเหนือต้องการ
แม้ว่าคืนนั้นเนี่ยเฟิงจะนอนดึกไปหน่อย แต่วันถัดมาเขาก็ยังตื่นแต่เช้า และเตรียมอาหารเช้าให้พี่สาวของเขาอย่างเรียบร้อย
การเสียชีวิตของฉินเทียนกังทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ และเนื่องจากเรื่องการทุจริตของหน่วยงานการกุศล จึงทำให้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ในเวลาเพียงไม่กี่วัน บริษัทที่ฉินเทียนกังก่อตั้งได้พังทลายย่อยยับ
เดิมทีการตายของฉินเทียนกังไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะมีสุนัขรับใช้นับไม่ถ้วนอยู่เบื้องหลังฉินเทียนกัง คนเหล่านี้กำลังจ้องเขมือบอย่างละโมบ และการตายของฉินเทียนกังก็เป็นความต้องการของพวกเขา
หลังจากการตายของฉินเทียนกัง ลูกชายของเขาเสียสติไปอีก ไม่มีใครที่จะสืบทอดบริษัทได้ เหลือเพียงภรรยาของเขาที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ภรรยาของเขาทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง นอกจากมองดูบริษัทถูกแย่งกันรุมทึ้งตาปริบๆ ซึ่งเดิมทีก็ควรจะเป็นเช่นนี้
แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ หลังจากที่มูลนิธิการกุศลเพื่อคนพิการเปิดเผยการตายของเนี่ยเฟิงออกไปแล้ว ฉินเทียนกังก็ยิ่งบีบคั้นพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ อาศัยพวกเขาเพื่อสร้างความเห็นอกเห็นใจจากสังคมและรวบรวมเงินจำนวนมาก หลังจากที่เรื่องอื้อฉาวดังกล่าวถูกเปิดเผย จะไม่มีใครเชื่อถือบริษัทของพวกเขาได้อีก?
จากการเติมเชื้อไฟของเนี่ยเฟิง บริษัทของพวกเขาไม่เพียงแต่ล่มสลาย แต่ยังติดหนี้อีกเป็นจำนวนมาก ส่วนหน่วยงานการกุศลแห่งนั้นก็ไม่มีใครดูแลจัดการได้
เรื่องนี้ผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ความร้อนแรงก็ยังไม่ลดลง ดูท่าทางหน่วยงานการกุศลมากมายกำลังสั่นคลอน เพราะหากประชาชนมองเห็นแล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถหนีพ้นแรงกดดันจากการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนได้อย่างแน่นอน
นี่คือผลลัพธ์ที่เนี่ยเฟิงกำลังต้องการ ในเวลานี้ไม่มีใครจัดการดูแลหน่วยงานการกุศลเพื่อคนพิการ เนี่ยเฟิงโทรศัพท์หาฝูหลังตง
“เสี่ยวเฟิง ผมได้ยินมาว่าฉินเทียนกังและบริษัทของเขากำลังจะเจ๊ง ครั้งนี้คุณโทรหาผมเพื่อคุยเรื่องสานต่อหน่วยงานการกุศลเพื่อคนพิการใช่ไหม?”
ฝูหลังตงฉลาดมากจริงๆ เนี่ยเฟิงยังไม่ทันพูดอะไร เขาก็รู้แล้วว่าเนี่ยเฟิงต้องการทำอะไร
“ปู่ฝู นี่คือสิ่งที่ผมกำลังคิดพอดี พ่อของผมตั้งหน่วยงานการกุศลขึ้นมาเพื่อให้คนเหล่านั้นได้รับความช่วยเหลือที่ดีขึ้น ตอนนี้กลุ่มคนที่ดูแลจัดการหน่วยงานการกุศลเพื่อคนพิการไม่อยู่แล้ว ผมคิดว่า ผมสามารถรับช่วงต่อได้”
“คุณใจบุญเหมือนพ่อจริงๆ แตผมก็ยังรู้สึกไม่ค่อยวางใจที่จะปล่อยให้คุณไปคนเดียว ให้หรงหรงไปกับคุณไม่ดีกว่าเหรอ?”
“ไม่เป็นไร จะว่าไปแล้ว เมืองของพวกคุณสองคนก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาสอบพอดี ถ้าให้ฝูยานหรงไปกับผมจะทำให้เธอเสียเวลา”
เนี่ยเฟิงวางแผนจะไปด้วยตัวเองอยู่แล้ว
“ถ้าอย่างนั้น หากมีอะไรให้ทางผมรับใช้ ก็บอกมาได้เต็มที่!”
“ผมไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตน เพราะคุณก็รู้ว่าตัวตนของผมนั้นเป็นเรื่องอ่อนไหวมาก ดังนั้นเมื่อถึงตอนนั้นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวอาจกลายเป็นข้ออ้างของผม”
นี่คือเรื่องที่เนี่ยเฟิงต้องการจะบอกฝูหลังตง
“ผมยังนึกว่าเรื่องอะไร มันเป็นของของคุณอยู่แล้ว เอาไปใช้ได้ตามสบายเลย!”
ฝูหลังตงระเบิดหัวเราะออกมา
ตั้งแต่รู้ว่าเนี่ยเฟิงกลับมา ฝูหลังตงก็ไม่เคยนัดดูตัวให้ฝูยานหรงเลย เพราะเขารู้ว่าถ้ามีเนี่ยเฟิงอยู่จะไม่มีใครทำร้ายฝูยานหรงได้
ในเวลานั้นฝูหลังตงก็ต้องการหาคนมาปกป้องฝูยานหรง อย่างไรเขาก็แก่แล้ว ปกป้องฝูยานหรงต่อไปได้อีกไม่นาน
การตายของพ่อแม่ของฝูยานหรงเป็นเรื่องแปลกมาก เป็นการยากที่จะรับประกันว่าคนเหล่านั้นจะยังลงมือกับฝูยานหรง
ไม่นานหลังจากที่เนี่ยเฟิงวางสาย ชิวมู่เฉิงก็เคาะประตูอยู่ด้านนอก พี่สาวน้องสาวต่างก็มีบุคลิกที่แตกต่างกัน อย่างเช่นคางเมิ่งจะเปิดประตูเข้ามาเลย ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วเนี่ยเฟิงจะใช้มือถือติดต่อกับคนอื่น
“ดึกมากแล้วพี่ใหญ่ มีเรื่องอะไรเหรอ?”
ชิวมู่เฉิงพยักหน้า เธอเดินเข้าไปแล้วบอกว่า “ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากถามความคิดเห็นของนาย ไม่รู้ว่านายคิดยังไง”
“พี่ใหญ่พูดมาได้เลย ไม่ว่าเรื่องอะไรผมก็จะตอบตกลง”
“นายไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น ยังไงการตัดสินใจของฉันก็ไม่ได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์”
อย่างไรก็ตามความไว้วางใจอย่างไม่มีเงื่อนไขที่เนี่ยเฟิงมีให้เธอ ทำให้ชิวมู่เฉิงรู้สึกสบายใจ
“พี่ใหญ่พูดเถอะ!”
“ที่ฉันต้องการพูดมันเกี่ยวกับมูลนิธิการกุศลเพื่อคนพิการ ตอนนี้บริษัทของฉินเทียนกังปิดตัวลงแล้ว ไม่มีใครดูแลจัดการหน่วยงานการกุศล ทำไมพวกเราไม่รับช่วงต่อจากหน่วยงานการกุศลนั้นล่ะ มันมีหยาดเหงื่อของพ่อของนายอยู่ในนั้น และความตั้งใจเดิมของพ่อของนายก็คือเพื่อช่วยเหลือคนพิการเหล่านี้”
เนี่ยเฟิงคิดไม่ถึงว่าชิวมู่เฉิงจะคิดถึงเรื่องนี้ แม้ว่าจะไม่มีใครสนใจ เขาก็จะสานต่อหน่วยงานการกุศลเพื่อคนพิการอยู่แล้ว
“ฉันคิดเรื่องนี้มาสองวันแล้ว ได้เวลาถามนายพอดี ดูว่านายจะคิดยังไง”
เนื่องจากหน่วยงานการกุศลเพื่อคนพิการไม่ได้อยู่ในเมืองจินไห่ ดังนั้นชิวมู่เฉิงจึงจัดการเรื่องนี้ได้ยาก
ในอดีตหน่วยงานการกุศลเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำกำไรได้มาก พวกเขารวบรวมเงินบริจาคจากคนในสังคม เนื่องจากการจ่ายเงินไม่โปร่งใส ดังนั้นเงินบริจาคเหล่านี้จำนวนมากจึงไม่ถูกบันทึกไว้ในนามกลุ่มคนที่ช่วยเหลือหน่วยงานการกุศล
นายทุนได้ประโยชน์มากมายจากหน่วยงานการกุศล แต่คนจนเหล่านั้นกลับกำลังดิ้นรนอยู่ชั้นล่างของสังคม พวกเขาคาดหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นฝันร้าย
ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ยังเป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนี้ หากพวกเขาเข้าสานต่อนหน่วยงานการกุศล ก็มีโอกาสตกเป็นเป้าสายตา
“ผมคิดว่ามันเป็นไปได้ แต่พี่ใหญ่ก็เป็นผู้ประกอบการคนหนึ่ง และตอนนี้สถานการณ์ก็ยังเป็นเช่นนี้ ผมค่อนข้างกังวลว่าพี่จะตกเป็นเป้าหมายในการโจมตี”
มันไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลที่เนี่ยเฟิงจะเป็นห่วงเธอ จะว่าไปแล้วตอนนี้เธอได้เริ่มโครงการอ่าวนกยูงแล้ว เรียกได้ว่าเป็นดาวรุ่งที่กำลังพุ่งแรง ดังนั้นทุกคนล้วนจับจ้องมาที่เธอ
หากชิวมู่เฉิงทำอะไรผิดพลาด เป็นไปได้มากที่สื่อจะเผยแพร่ออกไปเป็นข่าวใหญ่ ดังนั้นชิวมู่เฉิงจึงยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก
“ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องพวกนี้ คนซื่อสัตย์ไม่ต้องกลัวถูกนินทา มีฉันคอยตรวจสอบอย่างเข้มงวด ก็จะสามารถเป็นหลักประกันให้หน่วยงานการกุศลเพื่อคนพิการที่ดีขึ้นได้”
เนี่ยเฟิงพยักหน้า “นี่เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ผมก็ตั้งใจจะทำแบบนี้เหมือนกัน ในเมื่อพี่ใหญ่พูดมาแบบนี้ งั้นก็เราก็ไปด้วยกันเลย!”
หลังจากที่ทั้งสองคนแน่ใจแล้ว ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ควรแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด ดังนั้นทั้งสองจึงออกเดินทางไปยังเมืองหยางเฉิงอีกครั้งในวันถัดมา
เมื่อมาถึงเมืองหยางเฉิง เนี่ยเฟิงและพวกเขาก็มาถึงมูลนิธิการกุศล
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงก็คือ ผู้คนในมูลนิธิการกุศลมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขาอย่างบอกไม่ถูก
ภายในหน่วยงานการกุศลเพื่อคนพิการมีเจ้าหน้าที่อยู่ด้วย เจ้าหน้าที่เหล่านี้ประกอบด้วยคนพิการที่ได้รับทุนสนับสนุนเช่นกัน ในอดีต คนเหล่านี้ถูกติดสินบน ดังนั้นจึงล้างสมองลูกน้องมาโดยตลอด ทำให้พวกเขากลายเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้ ตอนนี้พวกเขาถูกแทนที่แล้ว พวกเขาจึงน่าจะอ่อนไหวต่อบุคคลภายนอกมากเพราะเหตุนี้