พี่สาวเจ็ดคนที่สวยสง่าของผม - บทที่407 วัดกำลัง
ชิวมู่เฉิงขมวดคิ้วรับโทรศัพท์มือถือจากเนี่ยเฟิงมาดู แม้ว่าอีกฝ่ายได้ตอบกลับโดยตรงแล้ว แต่ชิวมู่เฉิงมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ชิวมู่เฉิงยังไม่สามารถบอกได้ว่าผิดปกติตรงไหน
ในเวลานี้ ผู้รับผิดชอบมูลนิธิการกุศลเพื่อคนพิการได้โทรเข้ามาว่า “คุณชิว แบบนี้นะคะ พรุ่งนี้เราจะจัดกิจกรรมบริจาคเพื่อการกุศล ขอเชิญคุณและแฟนหนุ่มเข้าร่วมงานด้วย!”
เดิมทีชิวมู่เฉิงกำลังจะปฏิเสธ เพราะพวกเขาได้บริจาคเงินไปแล้ว
“ตกลง เราจะไปด้วยกัน เพื่อให้สังคมตรวจสอบและรับรู้ว่าเงินได้ไปถึงมือของหน่วยงานการกุศลจริงๆ!”
ก่อนที่ชิวมู่เฉิงจะได้พูดอะไร เนี่ยเฟิงที่อยู่ข้างๆ ก็ชิงพูดก่อนแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้เราจะรอการมาของพวกคุณ!”
“อันที่จริง เราได้บริจาคเงินไปแล้ว จะไม่ไปก็ได้”
ชิวมู่เฉิงรู้สึกเป็นกังวล “พรุ่งนี้ต้องมีสื่อมวลชนแน่นอน ถ้าถ่ายติดนายแล้วจะทำยังไง พอถึงตอนนั้นก็จะมีคนเห็นหน้าตาของนายมากขึ้น?”
“ดังนั้นพรุ่งนี้พี่ใหญ่จะไปกับผมไม่ได้ ผมต้องไปเองตามลำพัง”
เนี่ยเฟิงกะพริบตาปริบๆ “หลายคนรู้แล้วว่าผมคือคุณชายใหญ่ตระกูลเนี่ย จะว่าไปแล้ว คนเหล่านั้นต้องการพุ่งเป้ามาที่ผม ผมจะลากพวกพี่เข้ามาพัวพันไม่ได้”
เมื่อชิวมู่เฉิงได้ยินดังนั้นก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น “แบบนี้มันอันตรายเกินไป พี่ต้องไปกับนาย”
“มีสื่อมวลชนและผู้คนมากมายขนาดนั้น มันจะอันตรายได้อย่างไร ผมรับมือคนเดียวไหว จะว่าไปแล้ว พี่ก็ไม่ชอบคุณว่านไม่ใช่เหรอ? ถ้าพี่ไปต้องไม่มีความสุขแน่”
“แต่ว่า…”
เนี่ยเฟิงแสยะยิ้ม “เอาล่ะ ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ผมยอมรู้วิธีที่จะรับมือ ให้ผมไปเถอะ เพราะหน่วยงานการกุศลนี้ก่อตั้งโดยพ่อของผม ผมอยากให้พวกเขาดำเนินงานต่อไป”
ชิวมู่เฉิงถอนหายใจเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นนายก็ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าสัญญาณโทรศัพท์ให้ดี พี่ต้องการติดต่อนายได้ทุกเมื่อ”
“ถ้าต้องการเห็นผมดูในโทรทัศน์ก็ได้ โทรทัศน์จะถ่ายทอดสดพวกเราแน่นอน! จะว่าไปแล้ว คนเยอะขนาดนั้น ไม่ต้องห่วงจริงๆ ว่าจะเกิดเรื่อง!”
ชิวมู่เฉิงเห็นเนี่ยเฟิงยืนกรานก็จำต้องพยักหน้า เธอทนเห็นเนี่ยเฟิงเศร้าเสียใจไม่ได้
“พี่ใหญ่ พี่ก็อย่าเอาแต่หน้านิ่วคิ้วขมวด ขมวดคิ้วแบบนี้มากไปอาจจะมีรอยย่นได้!”
ในตอนแรกชิวมู่เฉิงรู้สึกเป็นกังวลมาก แต่พอได้ยินสิ่งที่เนี่ยเฟิงพูดให้เธอขบขัน สีหน้าของเธอก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ถึงแม้พรุ่งนี้พี่จะไม่ได้ไปกับนาย แต่พี่จะอยู่แถวๆ หน่วยงานการกุศล ถ้านายต้องการอะไรก็โทรหาพี่ได้เลย อย่าทำให้พี่ต้องเป็นห่วง”
“อืม! รับประกันว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จ!”
วันรุ่งขึ้น เนี่ยเฟิงเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง ดูไร้เดียงสาและไม่มีพิษมีภัยเหมือนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ทั้งสดใสและหล่อเหลา
เขามาถึงหน่วยงานการกุศลเพื่อคนพิการ มีรถจอดอยู่ด้านนอกหลายคัน ดูเหมือนว่าพิธีบริจาคในวันนี้จะเป็นงานใหญ่
เนี่ยเฟิงรู้มานานแล้วว่าว่านไห่เทาจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ไป ว่านไห่เทาควักจ่ายเงินจำนวนสิบล้านอย่างไม่มีเหตุผล สำหรับเขาแล้วมันเจ็บปวดกว่าถูกเชือดเสียอีก
ตอนที่เนี่ยเฟิงมาถึง ข้างในก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คนแล้ว แล้วยังมีสื่อมวลชนมากมายกำลังถ่ายรูป ว่านไห่เทามองเห็นเนี่ยเฟิงอย่างรวดเร็ว พอเห็นเขาก็ดึงเนี่ยเฟิงเข้ามากอดไหล่อย่างสนิทสนม
“สวัสดีครับสื่อมวลชนทุกท่าน ผมขอแนะนำให้รู้จัก นี่คือเนี่ยเฟิง ลูกชายของเนี่ยเจิ้ง ผู้ก่อตั้งมูลนิธิการกุศลเพื่อคนพิการ!”
ว่านไห่เทาจงใจพูดเสียงดัง ในขณะที่เนี่ยเฟิงมองไปทางกล้องของสื่อมวลชนด้วยรอยยิ้ม
เขาไม่กลัวแม้แต่น้อย ยังใจกว้างให้สื่อมวลชนถ่ายรูปเขาอีกด้วย
“จะว่าไปแล้วก็น่าทึ่งมาก พี่เฟิงของพวกเราบริจาคไปแล้วสิบล้าน!”
ว่านไห่เทาดูเหมือนจะสนิทสนมกับเนี่ยเฟิงมาก แต่ในความเป็นจริงทั้งสองคนรู้จักกันมาไม่ถึงสองวัน
ว่านไห่เทาทำเช่นนี้ ก็เพื่อควบคุมทุกอย่างให้อยู่ในกำมือของเขา
“โอ้โห คุณเนี่ย คุณบริจาคไปแล้วสิบล้านเลยเหรอ? ทำไมถึงปิดปากเงียบเลยล่ะ?”
เมื่อบรรดานักข่าวได้ยินเช่นนี้ ก็รีบบอกให้ช่างภาพเล็งกล้องมาทางนี้ ส่วนว่านไห่เทาก็จัดระเบียบเสื้อผ้าของเขาโดยอัตโนมัติ เพราะเขาต้องทำให้ตัวเองดูสมบูรณ์แบบภายใต้เลนส์กล้อง จะว่าไปแล้ว สื่อมวลชนที่เขาเชิญมาในวันนี้ล้วนเป็นคนของเขาทั้งหมด
“ผมคิดว่าการทำบุญไม่จำเป็นต้องออกนามก็ได้”
ว่านไห่เทารีบขยิบตาให้เพื่อนนักข่าว นักข่าวหนึ่งในนั้นก็เข้าใจว่าควรจะถามคำถามแบบไหนถึงจะเฉียบคมที่สุด
“ในเมื่อคุณบอกว่าทำบุญไม่ต้องออกนาม แล้วทำไมถึงไปออกรายงานข่าวนั้นล่ะ?”
นักข่าวคนนี้ถามอย่างชำนาญ เป็นความหมายว่า ในเมื่อคุณไม่อยากออกนาม แล้วทำไมถึงโผล่หน้าออกมาอีก?
ถ้าเป็นคนธรรมดา ก็อาจจะตื่นตระหนกไปแล้ว แต่เนี่ยเฟิงไม่ใช่ เขาได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “พวกคุณน่าจะรู้จักพ่อของผม เนี่ยเจิ้ง เขาเป็นผู้ประกอบการที่โดดเด่นมาก และยังเป็นคนใจบุญสุนทาน แต่งานการกุศลทั้งหมดที่เขาทำจะถูกทำเครื่องหมายด้วยชื่อของเขา พ่อของผมสอนให้ผมรู้จักการทำบุญโดยไม่ออกนาม”
เนี่ยเฟิงมองไปที่บรรดานักข่าวเหล่านี้ แล้วพูดต่อว่า “แต่พ่อของผมยังบอกด้วยว่า เหตุผลที่เขาสลักชื่อทิ้งไว้ ก็เพื่อให้พวกเขารู้ว่าเวลาเกิดปัญหาจะตามหาใคร”
ว่านไห่เทารู้สึกโมโหเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเนี่ยเฟิงจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา มันเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดจริงๆ
เมื่อบรรดานักข่าวได้ยินเช่นนี้ก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก คนคนนี้พูดจาฉะฉาน!
ว่านไห่เทากระแอมไอ แล้วยั่วเย้าเขา “น้องเนี่ยมีความคิดแบบเดียวกับผมเลย ทุกครั้งที่ผมบริจาคอะไรก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ความจริงไม่ได้ออกหน้าออกนามอะไรเลย ช่างมันดีกว่า ผมว่า พิธีบริจาคของเรากำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
ว่านไห่เทาจะปล่อยให้เนี่ยเฟิงเอาหน้าได้อย่างไร? ว่านไห่เทาจึงมือที่โอบไหลเนี่ยเฟิงอยู่ แล้วสาวเท้าเดินไปที่หอประชุม
เนี่ยเฟิงรู้ว่าว่านไห่เทาต้องโกรธมากแน่นอน แต่พอเห็นคนคนนี้โมโห เขาก็รู้สึกว่ามันน่าสนุกดี
หอประชุมถูกตกแต่งเรียบร้อยแล้ว ครั้งนี้ทุกคนที่ไปบริจาคจะได้รับเหรียญรางวัล และกิจกรรมบริจาคเพื่อการกุศลในครั้งนี้ก็ได้รับความสนใจจากสังคมอย่างแพร่หลายเช่นกัน
รางวัลที่น่าจดจำที่สุดจะถูกมอบให้ผู้บริจาคที่บริจาคมากที่สุด
แน่นอนว่าว่านไห่เทาปรารถนาที่จะคว้ารางวัลนี้
ถ้าเขาได้รางวัลนี้ ธุรกิจของเขาจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอนในอนาคต และเขาก็จะได้รับการสนับสนุนและการยอมรับจากสังคมอย่างกว้างขวางเช่นกัน
เนี่ยเฟิงบริจาคเป็นจำนวนสิบล้าน ซึ่งเป็นการบริจาคที่มากที่สุดในบรรดาผู้บริจาคทั้งหมดแล้ว ขอเพียงเขาบริจาคให้มากกว่าเนี่ยเฟิงเล็กน้อย ถ้วยรางวัลนี้ก็จะตกเป็นของเขา!
จะว่าไปแล้ว ว่านไห่เทาได้ไปตรวจสอบมาแล้ว เนี่ยเฟิงมีพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวอยู่ในมือเท่านั้น แม้ว่าภายในจะมีของสะสมมากมาย แต่ก็ยังต้องใช้กระบวนการมากมายในการเปลี่ยนของเก่าเหล่านี้ให้เป็นเงิน