พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่ 100 เขาเป็นใครกันแน่
บทที่ 100 เขาเป็นใครกันแน่
เฉินจือหรานถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่หมุนตัวเดินไปทางสวนว่านโส้
เฉินซานมีสีหน้ายินดี ก่อนหน้านี้เฉินจือหรานบอกว่าจะฟ้องเขาต่อหน้านายท่าน เขายังตกใจเลยจริงๆ แต่ตอนนี้กลับมีใบหน้ายิ้มแย้ม เรียกจั่วชิงเฉิง และคนอื่นๆกลับเข้าไปในสวนว่านโส้อีกครั้ง
เฉินจื่อหลงทักทายกับจั่วชิงเฉิง และวังชิจูเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ขอตัวก่อน
เขาและเฉินจือหรานมาถึงห้องรับแขกห้องหนึ่งด้วยกัน ตอนนี้ในห้องรับแขกมีคนนั่งอยู่เพียงไม่กี่คน
เก้าอี้หัวโต๊ะแน่นอนว่าจะต้องเป็นของเฉินหยางเจ้าของวันเกิด ถัดไปจากเขาเป็นเฉินกวงซิงและคนวัยหนุ่มไม่กี่คน
“อาจารย์ บ้านจางเลือกแข่งต่อสู้วันนี้ เห็นได้ชัดเลยว่ามีเจตนาไม่ดี” เจ้าหนุ่มคนหนึ่งมองเฉินหยาง พูดอย่างกังวล
ในยี่สิบปีมานี้เฉินหยางไม่ได้ดูแลกิจการของครอบครัวแล้ว ทั้งวันจิตใจจดจู่อยู่กับการเรียนกังฟู เคยแม้กระทั่งไปเรียนที่วัดเส้าหลินอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เกิดความสนใจที่จะศึกษากังฟูอย่างจริงจัง
หลายปีนี้เขาเปิดโรงเรียนสอนกังฟูแห่งหนึ่ง ก็เริ่มเปิดรับลูกศิษย์เข้ามา กลุ่มคนหนุ่มเหล่านี้คือลูกศิษย์กลุ่มแรกในโรงเรียนสอนกังฟูของเขา
สำหรับจางบินเจ้าของบ้านจางนั้นก็นับว่าเป็นเพื่อนสนิทกันกับเฉินหยาง ทว่าทั้งสองคนมีใจจดจ่อต่อกังฟูในช่วงอายุสูงวัยเหมือนกัน ทั้งสองคนต่างมีวิธีร่ำเรียนเป็นของตนเอง ไม่อาจพูดได้ว่าใครจะชนะใคร
แต่ทั้งสองคนก็สูงวัยจนเท้าข้างหนึ่งก้าวเข้าไปอยู่ในหีบศพแล้ว แน่นอนว่าไม่สามารถไปต่อสู้กันด้วยตัวเองได้
ดังนั้นจึงได้ตระเตรียมให้ศิษย์ของตนเตรียมพร้อมลงแข่งครั้งใหญ่ เพื่อที่จะได้มาตัดสินกันว่าระหว่างพวกเขานั้นใครจะเป็นผู้ชนะ
แล้วเจ้าของบ้านของสกุลจางก็พูดว่าจะพาลูกศิษย์มาอวยพรให้กับเฉินหยาง ในเวลาเดียวกันก็จะให้ลูกศิษย์ของพวกเขาแข่งกังฟูกัน
“อืม เจ้าแก่นั่น ที่เลือกวันนี้จะต้องมีจุดประสงค์อะไรแน่นอน ดังนั้นวันนี้พวกแกจะต้องจัดการ ไว้หน้าให้อาจารย์ให้ได้” เฉินหยางพูดพลางพยักหน้า
“อาจารย์ วางใจได้ หลายปีมานี้พวกเราฝึกหนักมาก ลูกศิษย์ไม่กี่คนของท่านจางสู้พวกเราไม่ได้แน่นอน” เจ้าหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างมั่นใจ
เฉินหยางพยักหน้า เขาความเชื่อใจลูกศิษย์เหล่านี้ที่เขาสอนมาเองกับมืออยู่บ้าง
“พ่อ วันนี้เป็นวันพิเศษ พ่อเองก็เดาได้ว่านายท่านจางจะต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่นอน ผมก็เลยคิดว่าวันนี้คงไม่เหมาะสำหรับการแข่งขันกังฟูของพวกพ่อ ไว้เปลี่ยนเป็นค่อยว่ากันวันหลังเถอะ” เฉินกวงซิงพูดแนะนำ เขาสงสัยในเป้าหมายของนายท่านจางเป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้นจึงได้อยู่ที่นี่เกลี่ยกล่อมชายเจ้าของบ้านเรื่อยๆ
บ้านจางเองก็เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่สี่ตระกูล ถึงแม้ภายนอกจะดูสงบ แต่ที่จริงแล้วสองครอบครัวนี้ก็ต่อสู้กันอย่างลับๆเช่นกัน
“ไม่ได้ จะให้ตาเฒ่าจางมาอวดดีเย้อหยิ่งต่อหน้าฉันไม่ได้ ยังไงวันนี้การแข่งขันจะต้องถูกจัด พวกแกก็ลงไปเตรียมตัวกันสักหน่อย อีกเดี๋ยวจะต้องชนะลูกศิษย์ของตาเฒ่าจางให้ฉันให้ได้” เฉินหยางพูดอย่างเด็ดขาด
ตาแก่จางเขามาท้าถึงหน้าบ้านแล้ว เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับคำท้า ถ้าเขาไม่รับคำท้า ซึ่งอยู่ต่อหน้าแขกเหรื่อทั้งหลายนี้ แน่นอนว่าจะต้องเสียหน้าเป็นแน่
เฉินกวงซิงถอนหายใจ กำลังคิดจะพูดอะไรอีกสักอย่าง ก็เห็นเฉินจือหรานและคนอื่นเดินเข้ามา
“คุณลู่ล่ะ? ทำไมเขาไม่เข้ามากับพวกแก?” เฉินกวงซิงมองพลางถามเฉินจือหราน
เฉินจือหรานถอนหายใจ บอกว่า “ถามพี่ใหญ่เอาเถอะ”
เฉินกวงซิงหันมาหาเฉินจื่อหลง
“ผมไล่เขากลับไปแล้ว” เฉินจื่อหลงพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“แกไล่เขากลับไปแล้ว? เกิดอะไรขึ้น?” เฉินกวงซิงขมวดคิ้วพลางถาม
“เป็นแค่คนนอกคนนึง เขากลับมายุ่งเรื่องของบ้านเฉิน ผมรู้สึกว่าเขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะมาร่วมอวยพรวันเกิดคุณปู่ท่าน” เฉินจื่อหลงกล่าวเสียงเรียบ
“ยุ่งเรื่องของบ้านเฉิน? แกอธิบายมาให้ชัดๆสิ” เฉินกวงซิงไม่คิดว่าลู่เฉินจะเป็นคนอย่างนั้น
เฉินจือหรานมองเฉินจื่อหลง แล้วก็ถอนหายใจพร้อมพูดว่า “พ่อ คือเป็นอย่างนี้ เริ่มแรกเลยคือคุณลู่เขาไม่มีบัตรเชิญ เฉินซานเลยไม่ให้เขาเข้ามา ทั้งยังเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจับเขาโยนออกไปอีก คุณลู่คงรู้สึกราวกับถูกดูถูก ตอนที่ผมออกไปรับเขาเข้ามา เขาบอกว่าพ่อต้องหาเหตุผลพูดกับเขาดีๆ ความหมายของเขาผมเข้าใจ ซึ่งคือต้องการให้พ่อลงโทษเฉินซาน”
แต่พี่ใหญ่กลับมองว่าคุณลู่ทำแบบนี้เป็นการยุ่งเรื่องในครอบครัวของบ้านเฉิน แล้วก็พูดว่าบ้านเฉินไม่ต้อนรับคุณลู่ คุณลู่ก็เลยฉุนโกรธกลับไปแล้ว”
“เป็นอย่างนี้เหรอ?” เฉินกวงซิงมองเฉินจื่อหลงด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
“ไม่ผิด ผมรู้สึกว่าเขาก็แค่คนนอกคนนึง ไม่มีสิทธิ์ที่จะขึ้นไม้ขึ้นมือกับเฉินซานของบ้านเฉิน แบบนี้มันเป็นการทำให้บ้านเฉินของเราเสียระบบ” เฉินจื่อหลงพูดเสียงนิ่งเรียบ
“ไอ้นี่!” เฉินกวงซิงตบเข้าที่ใบหน้าของเฉินจื่อหลง แสดงถึงความโกรธอย่างมาก
ลู่เฉินเป็นถึงเจ้าของเบื้องหลังของเทคโนโลยีอี้ฉี ไม่พูดถึงว่าเทคโนโลยีอี้ฉีมีอำนาจยังไง แต่พวกเขาเพิ่งจะมีการพูดคุยกับเทคโนโลยีอี้ฉีถึงสัญญาสำคัญหมื่นล้าน พวกเขาไม่ควรที่จะมีเรื่องกับลู่เฉิน
เฉินจื่อหลงเองก็ไม่พอใจ คิดไม่ถึงว่าเพื่อคนนอกคนหนึ่งแล้ว พ่อของเขาถึงกับตบหน้าเขา ซ้ำยังตบต่อหน้าคนอื่นๆที่อยู่ด้วย นี่ทำให้เขาค่อนข้างรู้สึกย่ำแย่
เขาตอนนี้ก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และก็เริ่มรับตำแหน่งต่อในบริษัทแล้ว จะให้เขาทนได้ยังไง
“จื่อหลง แกนี่มันไม่ยั้งคิดจริงๆ คุณลู่เป็นคนพิเศษ บ้านเฉินของพวกเราต่อไปจะต้องพึ่งพาเขาอยู่บ่อยๆ ทำไมแกถึงได้เลอะเลือนแบบนี้ไปได้?” นายท่านใหญ่เฉินหยางเองก็ขมวดคิ้วพลางพูด
“ท่านปู่ เขาเป็นคนพิเศษอะไรกัน? ผมเห็นเขาก็แค่เป็นอย่างนั้น ก็แค่ผู้ชายจนๆธรรมดาๆเอง” เฉินจื่อหลงพูดอย่างไม่ยอม
คำพูดนี้ของเขาตรงกับใจของเฉินเสี่ยวปิงพอดี ถึงแม้ท่านปู่ของเธอและพี่ชายของสามีต่างให้ความสำคัญกับลู่เฉิน แต่ในสายตาของเธอ ลู่เฉินกลับเหมือนกับผู้ชายธรรมดาทั่วไปไม่แตกต่างกันเลย
“มองแค่ตื้นๆ! ลู่เฉินเขาเป็นพวกปิดทองหลังพระ คนจนๆธรรมดา? ถ้าลู่เฉินเขาเป็นจนๆคนธรรมดา ถ้าอย่างนั้นในโลกนี้ก็ไม่มีคนรวยสักคนแล้ว” เฉินกวงซิงพูดอย่างเยือกเย็น
เฉินจื่อหลงอึ้ง ประโยคนี้ของพ่อเขาสื่อความหมายบอกเอาไว้มากมาย แม้ว่าเขาจะโง่ แต่เขาก็สามารถจับใจความได้
“จื่อหลง พอเปรียบเทียบกับลู่เฉินดูแล้ว ความโง่ของแกมันมากจริงๆไม่ใช่แค่เล็กน้อย ถ้ามีโอกาสก็ลองไปเรียนรู้กับเขาบ้างสักหน่อยเถอะ” เจ้าของบ้านเฉินส่ายหัวพลางถอนหายใจพลางพูดออกมา
“คูณปู่ สรุปแล้วเขาเป็นใครกันแน่ครับ? ทำไมพวกปู่ถึงได้ยกยอเขาถึงขนาดนี้?” เฉินจื่อหลงกัดฟัน ในใจถึงแม้จะรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่จากคำพูดคุณปู่และพ่อของเขาแล้ว เขารู้แล้วว่าลู่เฉินจะต้องเป็นคนใหญ่คนโตจริงๆไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอน
“ถ้าพวกฉันไม่บอกใบ้แล้วแกทายถูกว่าเขาเป็นใคร ถ้าอย่างนั้นนับว่าแกก็ก้าวหน้าขึ้นบ้างแล้ว” เจ้าของบ้านเฉินพูดพลางหันไปมองลูกชาย
“กวงซิง รีบไปเชิญลู่เฉินกลับมาเถอะ บ้านเฉินของฉันทำไมถึงได้ทำเรื่องโง่เง่าอย่างการไล่แขกคนสำคัญอย่างนี้ไปได้นะ” เฉินหยางกล่าว
“ครับ ผมกำลังโทรหาเขา” เฉินกวงซิงพูดขณะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเดินออกไป
“คุณปู่ ลู่เฉินคนนั้นใส่เสื้อผ้าธรรมดา ขับรถออดี้เก่าๆราคาสี่ห้าแสน เขาเป็นคนมีอำนาจจริงๆเหรอ?” เฉินเสี่ยวปิงยังคงถามอย่างไม่เข้าใจ
“ดูคนคนนึง ไม่ใช่ว่าดูเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ แล้วก็ไม่ใช่ดูว่าขับรถยี่ห้ออะไร เงินในบัตรมีเท่าไหร่ ดูคนคนนึง ต้องดูที่ลักษณะ ต้องมองที่คำพูดการกระทำและคุณสมบัติของเขา” เฉินหยางมองหลานๆไม่กี่คนนี้ของตัวเองพลางพูดพร่ำสอน
ทุกคนล้วนไม่พูดอะไร เฉินหยางจึงมองที่เฉินจื่อหลงอีกครั้งแล้วพูดว่า “จื่อหลง อีกเดี๋ยวที่ลู่เฉินกลับมา แกก็ตั้งใจขอโทษเขาเสีย ท่าทางจริงใจหน่อย ตอนนี้ลู่เฉินเขาอยู่ในระดับสูงของทุกสนาม ชาตินี้ของแกก็ไม่แน่ว่าจะไล่ตามทัน”
ลู่เฉินอยู่ในระดับสูงของทุกสนาม ชาตินี้ทั้งชาติของเขาล้วนไม่แน่ว่าจะไล่ตามทัน!?
คำพูดของเฉินหยางทำให้เฉินจื่อหลงใจสั่น ยิ่งกว่านั้นในใจก็คือสงสัยใคร่รู้มากว่าลู่เฉินเป็นใครกันแน่