พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่ 119 งานแสดงนิทรรศกาลบ้านตระกูลจั่ว
บทที่ 119 งานแสดงนิทรรศกาลบ้านตระกูลจั่ว
สองวันมานี้บ้านตระกูลจั่วค่อนข้างจะครึกครื้น
เนื่องจากตระกูลจั่วได้ประมูล ไข่มุกราตรีหรือไข่มุกราตรีจากสมัยราชวงศ์ฉินมาได้สองเม็ด และกำลังเตรียมนำไปจัดแสดงที่กลุ่ม หยุนเฟย
แค่เพียงไข่มุกราตรีธรรมดาก็นับว่าหาดูได้ยากแล้ว แต่นี่คือไข่มุกราตรีในสมัยราชวงศ์ฉินที่ราคาแพงกว่าจะจินตนาการได้
สำหรับบรรดานักสะสมแล้วนั้น งานจัดแสดงในครั้งนี้จะพลาดไปไม่ได้เด็ดขาด
จากกำหนดการเดิมบ้านตระกูลจั่วจะจัดแสดงไข่มุกราตรีนี้ขึ้นในอีกสามปีข้างหน้า เพื่อส่งเสริมให้กลุ่ม หยุนเฟยพัฒนาขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
แต่เมื่อถูกลู่เฉินตัดช่องทางนำเข้าวัตถุดิบ จึงทำให้การประชุมที่จัดขึ้นครั้งที่แล้วถูกผู้คนหัวเราะเยาะ ตระกูล จั่วได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์วันนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อกลุ่มเครื่องประดับ หยุนเฟย การค้ามียอดตกลงต่ำสุดในรอบสิบปีเลยทีเดียว
การจัดแสดงไข่มุกราตรีในครั้งนี้พวกเขาต้องการกู้หน้ากลุ่มเครื่องประดับ หยุนเฟยขึ้นมาอีกครั้ง
เพียงแค่การจัดแสดงไข่มุกราตรีครั้งนี้สำเร็จลง กลุ่มเครื่องประดับ หยุนเฟยของพวกเขาจะขึ้นมาเป็นหนึ่งได้อีกครั้ง
บ้านตระกูลจั่วได้เรียนเชิญผู้มีความสนใจและพ่อค้าเครื่องประดับจำนวนมากมาร่วมงานจัดแสดงนี้ อีกทั้งตระกูลใหญ่หลายตระกูลก็ได้รับเชิญมาร่วมงานด้วย
รวมถึงอีกสามตระกูลใหญ่แห่งยวี่โจว และผู้มีอำนาจต่างๆ ล้วนถูกพวกเขาเชิญมาทั้งสิ้น
ในงานจัดแสดงที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ กลุ่มเครื่องประดับ หยุนเฟยจะต้องมีหน้ามีตาขึ้นมาอีกครั้งแน่
คุณชายจั่วไม่ได้เชิญลู่เฉินมาร่วมงาน แต่หวงยาวจุน หนึ่งในสามปรมาจารย์แห่งเมืองยวี่โจวเชิญเขามาด้วย
จากการจัดแสดงที่โรงแรมแชงกรีล่าในครั้งนั้น หวงยาวจจุนก็มองลู่เฉินด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป อาจพูดได้ว่าเขาชื่นชมลู่เฉินจากใจจริง
เมื่อตอนที่เขาแข่งขันกับเจิ้งซีเหอนั้นได้แพ้อย่างราบคาบ แต่ลู่เฉินกลับชนะเจิ้งซีเหอได้อย่างง่ายดาย
บ่งบอกว่าลู่เฉินมีความสามารถมากกว่าเขาเพียงใด
บุคคลเช่นนี้แม้จะค่อนข้างดุดัน แต่ก็ควรค่าต่อการคบหาสมาคม
”อาลู่ ทางนี้”
ณ ห้องโถงใหญ่ในกลุ่ม หยุนเฟย หวงยาวจุนโบกมือทักทายขึ้นลู่เฉิน
เมื่อลู่เฉินมองเห็นหวงยาวจุนก็เดินหน้าเข้าไปหา
ข้างๆหวงยาวจุนมีหยูเจิ้งเทาและเล่ยหมิงเฉาอยู่ด้วย ทั้งสองคนมองมายังลู่เฉินแต่ไม่ได้เอ่ยทักทายแต่ไม่แสดงสีหน้าใดๆออกมา
”อ้าว ท่านศาสตราจารย์ทั้งสองก็อยู่ด้วยเหรอครับ” ลู่เฉินยิ้มแล้วเอ่ยทักทายขึ้นก่อน
ทั้งสองคนแค่ตอบรับเบาๆจากนั้นไม่พูดอะไรออกมาอีก
เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังรู้สึกไม่ดีขึ้นกับลู่เฉินแม้แต่นิดเดียว
”อาลู่ งานจัดแสดงไข่มุกราตรีในครั้งนี้ คุณมองว่าอย่างไร?” หวงยาวจุนเอ่ยถาม
”น่าจะเป็นของแท้นะครับ ไม่อย่างนั้นบ้านตระกูลจั่วคงไม่กล้านำมาจัดแสดงในงานยิ่งใหญ่แบบนี้” ลู่เฉินพูดแล้วหัวเราะ
”นั่นสินะ ครั้งนี้บ้านตระกูลจั่วเชิญผู้คนมีอำนาจมามากมายจริงๆ หากไข่มุกราตรีเป็นของปลอมคงจะแย่แน่ๆ” หวงยาวจุนพยักหน้าตอบรับ
”หลินดาไห่ทำไมยังไม่มากัน? งานใหญ่ขนาดนี้เขาจะพลาดไปได้ยังไง?” หยูเจิ้งเทารู้สึกไม่พอใจที่หวงยาวจุนเอาแต่พูดคุยกับลู่เฉิน จึงได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาแทรกเข้ามา
”น่าจะติดธุระอะไรอยู่มั้ง หรือไม่ก็รถติด เขาชื่นชอบงานแบบนี้จะตายไปยังไงก็ต้องมาแน่ๆ” หวงยาวจุนพูดขึ้น
”เขาอาจจะไม่ได้มาครับ” ลู่เฉินยิ้ม
วังเสวี่ยเอาเงินสี่สิบล้านไปเล่นพนันจนหมดแล้ว ต่อให้หลินดาไห่ระงับอารมณ์ไว้ได้ ก็ควไม่มีกะจิตกะใจมางานเช่นนี้แน่นอน
”ถ้าอย่างนั้นก็ไม่รอเขาแล้วนะ มาๆๆ เรามาดื่มกันเถอะ” เลายหมิงเฉาเอ่ยขึ้นพร้อมยกแก้วขึ้นมาชนกับหวงยาวจุนและหยูเจิ้งเทาโดยไม่สนใจลู่เฉินแม้แต่น้อย
เมื่อหวงยาวจุนเห็นดังนั้นจึงได้หันแก้วไปทางลู่เฉินแล้วพูดว่า “อาลู่ มาๆๆ ดื่ม!”
”ครับ” ลู่เฉินเพียงยิ้มแล้วยกแก้วขึ้นชนกับหวงยาวจุน
”อ้าวคุณลู่มาด้วยเหรอคะเนี่ย”
ในขณะนั้นเอง สาวงามสองคนก็เดินเข้ามาทักทายลู่เฉินอย่างเป็นมิตร
ลู่เฉินหันไปมองตามต้นเสียง เป็นสองพี่น้องเฉินจือหรานและเฉินเสี่ยวปิง
”คุณลู่คะ พวกเราไปโต๊ะนั้นกันดีกว่าค่ะ โต๊ะนั้นมีแต่วัยรุ่นนะคะ” เฉินเสี่ยวปิงมองดูพวกเขาอีกสามคนแล้วพูดออกมา
”ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่ที่นี่ดีกว่า” ลู่เฉินส่ายหัว เขาไม่ได้สนิทกับสองสาวนี่สักหน่อย แน่นอนว่าต้องไม่สนิทกับเพื่อนๆของเธอด้วย แม้หยูเจิ้งเทาและเล่ยหมิงเฉาจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าเขานัก แต่เขาก็สบายใจกว่า
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอนั่งที่นี่ด้วยคนนะคะ” เฉินจือหรานพูดออกมาตรงๆ เธอไม่สนใจว่าพวกลู่เฉินจะคิดอย่างไร เธอได้นั่งลงอย่างรวดเร็วไม่รอคำตอบใดๆ
เนื่องจากการจัดแสดงในครั้งนี้ไม่ได้แบ่งแยกระดับใดๆในชนชั้น จึงไม่บังคับว่าใครนั่งโต๊ะไหน
ศาสตราจารย์ทั้งสามคนแม้จะค่อนข้างอึดอัดแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพียงแต่ขมวดคิ้วมองดู
ลู่เฉินก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา คุณหนูบ้านตระกูลเฉินทั้งสองมาชวนเขาไปนั่งด้วยแต่เขาไม่ไป พวกเธอจึงนั่งร่วมโต๊ะด้วย จะให้เขาว่าอย่างไรอีก
เพียงแต่เขาเองก็รู้สึกไม่อยากให้ทั้งสองคนนั่งอยู่ต่อไปจริงๆ
เพราะขณะเดียวกันเขาได้เหลือบไปเห็นอีกสองคนเดินเข้ามา
และทั้งสองคนนั้นถูกสาวงามทั้งสองดึงดูดมาอย่างแน่นอน
”จือหราน พวกคุณนั่งโต๊ะนี้เหรอครับ” จางดาวเรนทักทายเฉินจือหรานด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และชวนให้ชายอีกคนในชุดทักซิโดนั่งลงข้างๆ
ทำให้ศาสตราจารย์ทั้งสามคนไม่พอใจเข้าไปใหญ่
สายตาพวกเขามองมาที่ลู่เฉินอย่างไม่เป็นมิตรนัก
หากลู่เฉินยอมไปกับผู้หญิงสองคนเมื่อครู่ ตอนนี้สองคนนั้นคงไม่เดินมาร่วมโต๊ะด้วย
ชูเฉียวจื่อรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย และเมื่อจางดาวเรนมองไปเห็นหยูเจิ้งเทา หวงยาวจึนและเล่ยหมิงเฉาทั้งสามคนเข้า แววตาก็เป็นประกาย “อ้าว ท่านศาสตราจารย์ทั้งสามนี่เองครับ สวัสดีครับสวัสดี”
ทั้งสามนั้นมีชื่อเสียงด้านของสะสมโบราณในเมืองยวี่โจว ในฐานะบุตรหลานบ้านตระกูลจาง เขายิ่มรู้จักสามคนนี้เป็นธรรมดา
”คนนี้คือ?” เล่ยหมิงเฉามองไปยังจางดาวเรน เขาไม่รู้จักชายหนุ่มคนนี้
”อ้อ ผมชื่อจางดาวเรน คุณปู่ผมคือจางเซิงเฉียวครับ” จางดาวเรนยิ้มตอบ
”อ้อ คุณชายจางนี่เอง ยินดีที่รู้จักครับ” เล่ยหมิงเฉาสายตาแวววาว ตระกูลจางถือเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ เขาไม่กล้าจะขัดใจลูกหลานตระกูลนี้แน่นอน
”ท่านอาจารย์ทั้งสามครับ ผมขอดื่มเพื่อให้เกียรติ” จางดาวเรนกล่าวแล้วยกแก้วขึ้นดื่ม
เมื่อได้ยินจางดาวเรนแนะนำตัวเรียบร้อยแล้ว หยูเจิ้งเทาและหวงยาวจุนก็ไม่กล้าเสียมารยาท ยกแก้วขึ้นดื่มเช่นกัน
ชูเฉียวจื่อเองก็ยกดื่มแก่ศาสตราจารย์ทั้งสามเช่นกัน
เพียงแต่ตัวตนของเขานั้นไม่อาจไปเทียบกับจางดาวเรนได้ ศาสตราจารย์ทั้งสามคนจึงไม่รู้จักเขา
จางดาวเรนพูดคุยกับพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง หลังยกแก้วดื่มไปสามจอกก็แสร้งเป็นตกใจเมื่อมองเห็นลู่เฉิน เขาจึงพูดขึ้นว่า “ท่านทั้งสามครับ เขาคนนี้นั่งโต๊ะเดียวกันกับพวกท่าน คงจะเป็นเพื่อนของพวกท่านใช่ไหมครับ ขอเชิญท่านทั้งสามแนะนำเขาหน่อยเป็นอย่างไร?”
สองสามวันมานี้เขาพยายามสืบหาข้อมูลของลู่เฉิน แต่ก็ไม่มีข้อมูลคืบหน้าเลย เขาไม่รู้จริงๆว่าลู่เฉินเป็นใครมาจากไหน
ในงานวันเกิดครบรอบ70ปีของนายท่านตระกูลเฉินครั้งนั้น เขาถูกลู่เฉินทำให้อับอายขายหน้าอีกทั้งลู่เฉินยังทำให้สาวในดวงใจที่หมายปองลอยหายไปต่อหน้าต่อตา
เกลียดลู่เฉินเข้ากระดูกดำ เกลียดแบบไม่สามารถให้อภัยได้