พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่ 87 โอ้อวด
บทที่ 87 โอ้อวด
การที่บ้านตระกูลวังตัดสินใจสลายตัวบริษัทไปนั้นเท่ากับว่าเป็นการตัดแขนตัวเองไปข้างหนึ่งก็ว่าได้ หากลู่เฉินให้ตู้เฟยไปก่อความวุ่นวายกับบริษัทหวางกรุ๊ปเพิ่มขึ้นละก็ วังชิจูคงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามีคนกำลังเล่นงานเขาอยู่แน่นอน หลังจากนั้นเขาคงจะสืบและมาหาตู้เฟยเพื่อทำการเจรจา
ลู่เฉินวางแผนออกหน้าเองเมื่อตอนนั้น
อีกหลายวันต่อมาบริษัทหวางกรุ๊ปได้ถูกรังควานโดยวิธีต่างๆ ลูกน้องของเขามีข่าวเสียหายออกมานับไม่ถ้วน
แม้กระทั่งวังซิงและวังเหวินเสวี่ยได้ทำเรื่องผิดกฎหมายไว้ก่อนหน้านี้มากมาย ก็ถูกเผยแพร่ออกมาทางอินเตอร์เน็ต ทำให้วังชิจูปวดหัวอย่างมาก เขาไม่มีกะจิตกะใจจะไปจัดการกับลู่เฉินแม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกันลู่เฉินก็ได้รับข่าวดีๆมาเรื่องหนึ่ง
ลู่จงไม่เพียงแต่ซื้อเทคโนโลยีชิปหลักของTSMCได้เท่านั้น แต่ยังจ้างวิศวกรด้านเทคนิคของTSMCเจ็ดคนให้เขาด้วย
เจ็ดคนนี้ถึงแม้จะไม่ได้เก่งกาจที่สุดในด้านของเทคโนโลยี แต่ก็เป็นคนที่ได้ทำการวิจัยจนกระทั่งมีชื่อเสียง
เพียงแต่TSMCไม่มีเงินสนับสนุนเข้ามาให้พวกเขาทำการค้นคว้าวิจัย จึงทำให้พวกเขาไม่สามารถมีอนาคตที่รุ่งเรืองไปได้มากกว่านี้
ลู่เฉินเดินทางไปพบเจ็ดคนนี้ด้วยตนเอง จากนั้นเขาได้ให้สัญญาว่าจะจัดตั้งศูนย์การวิจัยขึ้นมา ให้พวกเขาได้ค้นคว้าอย่างเต็มที่
จวบจนปัจจุบันเทคโนโลยีอี้ฉีรับสมัครพนักงานด้านการค้นคว้าและวิจัยมาได้ หกสิบกว่าคน ซึ่งห่างจากเป้าหมายเดิมคือสองพันคนอยู่อีกมาก แต่สำหรับการลงทุนในช่วงแรกนั้นคาดการณ์ไว้ว่าจะมีนักวิทยาศาสตร์จำนวน 500-600 คน ลู่เฉินมั่นใจว่าเมื่อเทคโนโลยีอี้ฉีก่อตั้งขึ้นมาสำเร็จแล้ว จำนวนนักวิจัยในช่วงแรกก็คงจะหาได้ครบพอดี
เมื่อเจรจากับพวกเขาทั้งเจ็ดคนเป็นที่เรียบร้อย ลู่เฉินก็เตรียมตัวจะกลับบ้าน ทันใดนั้นก็ได้รับโทรศัพท์จากหลินดาไห่พูดว่า
“ลู่เฉิน มาที่บ้านพ่อหน่อยสิ พ่อมีบุคคลสำคัญจะแนะนำให้รู้จัก”
“บุคคลสำคัญเหรอครับ?” ลู่เฉินถามด้วยความสงสัย เขาไม่คิดว่าหลินดาไห่จะรู้จักบุคคลสำคัญอะไรได้
“ใช่แล้ว รีบมานะลูก เรื่องนี้สำคัญกับลูกมากอีกทั้งถ้าลูกพยายามผสานความสัมพันธ์กับฝั่งตรงข้าม บ้านตระกูลวังรับรองว่าไม่กล้าแตะต้องลูกอย่างแน่นอน” หลินดาไห่พูดอย่างมั่นใจ
“ได้ครับผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้” ลู่เฉินยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น เขารู้ดีว่าหลินดาไห่คงไม่รู้จักบุคคลที่มีชื่อเสียงนัก แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธ น้ำใจของเขาได้
สำหรับหลินดาไห่แล้วนั้น ลู่เฉินเป็นเพียงบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง
ลู่เฉินยังไม่ทันไปถึงบ้านหลินดาไห่ ก็มีครอบครัวหนึ่งเดินทางมาถึงเสียก่อน
“อ้าว คุณจ้าว ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่กัน?” หลินดาไห่เปิดประตูออกไปก็พบว่ามีสามีภรรยาวัยกลางคนหนึ่งคู่และบุตรชายวัยรุ่น
สองสามีภรรยาคู่นี้คือเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขาในสมัยก่อน จ้าวชุนเล่ยและ กูซินหยาน อีกทั้งบุตรชายอันทรงหล่อเหลาของเขาจ่าวเสี่ยวเหริน
“แหม ไม่ได้เจอกันตั้งนาน พอดีวันนี้จ่าวเสี่ยวเหรินได้เข้าทำงานที่เทคโนโลยีอี้ฉี ก็เลยว่าจะเดินทางมานั่งเล่นสักหน่อย ตอนกลางคืนพวกเราไปกินข้าวด้วยกันเถอะนะ” กูซินหยานเอ่ยออกมา
“อ้าว อี้เจียก็อยู่นี่ โอ้โห!ไม่เจอกันตั้งหลายปีอี้เจียก็ยังสวยงามอยู่เหมือนเดิม อีกทั้งยังกลายเป็นสาวสะพรั่งเต็มตัวเชียว” กูซินหยานมองไปทางหลินอี้เจียแล้วยิ้มทักทาย
การที่เขาเดินทางมาบ้านหลินดาไห่ในวันนี้ที่จริงก็เพื่อหลินอี้เจีย
ในสมัยก่อนสองบ้านพวกเขาเป็นเพื่อนบ้านกัน จ่าวเสี่ยวเหรินชอบหลินอี้จุน และเคยให้ผู้ใหญ่มาเจรจาแล้ว แต่ใครจะไปรู้กันล่ะว่าเมื่อหลินอี้จุนเรียนจบมหาวิทยาลัยก็แต่งงานกับลู่เฉินทันที ไม่ให้โอกาสจ่าวเสี่ยวเหรินเลย
หลังจากบ้านตระกูลจ่าวย้ายออกไปและกลับเข้ามาใหม่ในวันนี้ พวกเขาเพียงแค่ต้องการตัวหลินอี้เจียให้แต่งงานกับลูกชายตนเท่านั้น
“สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า เชิญนั่งก่อน” หลินอี้เจียทักทายผู้ที่มาเยือนอีกทั้งมองไปทางจ่าวเสี่ยวเหรินที่มองตัวเองด้วยสายตาเจ้าชู้ เธอได้แต่ขำแล้วพูดว่า “พี่จ่าวเสี่ยวเหริน”นั่งก่อนค่ะ
“ครับขอบคุณมาก” จ่าวเสี่ยวเหรินพยักหน้าด้วยความดีใจ
หลินอี้เจียแม้จะไม่มีเสน่ห์งดงามเท่ากับหลินอี้จุนแต่ก็ถือว่าเป็นสาวงามที่หาได้ยากนัก จ่าวเสี่ยวเหรินใจเต้นรัว
หลินอี้เจียจัดการชงชาและเสิร์ฟแก่พวกเขา ส่วนหลินดาไห่พูดคุยกับจ้าวชุนเล่ยจิปาถะ
ในขณะนั้นเองก็มีคนเคาะประตูขึ้น หลินอี้เจียเดินไปเปิดประตูออก
“อ้าว พี่เขยคะ มาแล้วเหรอ?” หลินอี้เจียทักทายลู่เฉิน
แม้เหตุการณ์ในหลายวันก่อนที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาไม่พอใจนัก แต่สองวันมานี้บ้านตระกูลวังไม่ได้มาหาเรื่องรังควานพวกเขา ทำให้พวกเขาค่อนข้างมั่นใจในตัวลู่เฉินมากขึ้น
“อืม”ลู่เฉินพยักหน้าเบาๆ เมื่อมองเห็นจ่าวเสี่ยวเหรินและครอบครัว เขาก็ฝืนยิ้มออกมาไม่ได้ จ่าวเสี่ยวเหรินเป็นคู่ต่อสู้ด้านความรักของเขานี่ หรือพวกเขาไปได้ดิบได้ดีจากที่ไหนมา พ่อตาจึงมองเห็นพวกเขาเป็นคนใหญ่คนโตไปได้!
“อ้าว นั่นใครนะที่แต่งตัวงั้นๆ ความเป็นอยู่งั้นๆน่ะ” กูซินหยานมองดูลู่เฉินจากนั้นพูดออกมาด้วยความไม่เกรงใจ เนื่องจากเขาแย่งลูกสะใภ้ที่สวยสดงดงามและเพียบพร้อมไปจากเธอ ถ้าเธอจะมีความรู้สึกชื่นชมลู่เฉินก็คงแปลก
ลู่เฉินได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว สายตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาและพูดตอบกลับไปว่า “ก็ต้องดูว่าคุณนิยามคำว่าใช้ชีวิตอย่างไร แบบไหนถึงเรียกว่าใช้ชีวิตดี ยังไงถึงเรียกว่าใช้ชีวิตงั้นๆ?”
จ่าวเสี่ยวเหรินมองดูลู่เฉินแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ถ้าคุณมีงานทำดีๆสักแห่ง มีเงินเดือนหลายหมื่นก็แค่นี้ก็เรียกว่ามีชีวิตที่ดีแล้ว”
ลู่เฉินขมวดคิ้วแล้วรู้สึกว่า ความคิดของเจ้านี่ช่างธรรมดาเสียจริงๆ สำหรับเขานั้นเงินเดือนหลายล้านก็ยังไม่นับว่ามีชีวิตที่ดี
“พูดอย่างนี้ก็แสดงว่าเงินเดือนพี่จ่าวคงได้หลายหมื่นเลยสิคะ?” หลินอี้เจียพูดแทรกออกมา
“อี้เจีย พี่จ่าวของลูกวันนี้เพิ่งถูกเทคโนโลยีอี้ฉีรับเข้าทำงาน ขนาดขั้นตอนการทดลองงานนะ เงินเดือนตั้ง12,000 หากได้เป็นพนักงานประจำแล้วก็คงจะได้ประมาณ 20,000” กูซินหยานหัวเราะอย่างพออกพอใจ
ในยวี่โจวนั้นบุคคลธรรมดาทั่วไปเงินเดือนเดือนละ 5-6 พันก็ถือว่าไม่เลวแล้ว พวกเงินเดือนเป็นหมื่นมีแต่ผู้บริหารระดับสูง แต่ลูกชายของเธอหลังจากรับเข้าบรรจุจะมีเงินเดือนถึง 20,000 นับว่าเป็นผู้บริหารระดับสูงที่มีคุณภาพมากทีเดียว
เธอก็สมควรที่จะภูมิใจมิใช่หรือ?
เมื่อได้ยินว่าเขาได้ถูกเทคโนโลยีสีรับเข้าทำงาน ลู่เฉินก็คิดว่าเขาผู้นี้คงพอมีความสามารถอยู่บ้างไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เข้าไปในเทคโนโลยีอี้ฉีอย่างแน่นอน
เพียงแต่เจ้าหมอนี่ทำเบ่งต่อหน้าเจ้าของบริษัทอย่างเขา ทำให้เขารู้สึกน่าขันยิ่งนัก
“อี้เจีย เทคโนโลยีอี้ฉีนั้นยิ่งใหญ่ที่สุดในยวี่โจวของเราแล้ว แน่นอนว่าเงินเดือนก็จะสูงพอๆกับในเมืองหลวง คนธรรมดาทั่วไปเข้าทำงานที่นี่ไม่ได้หรอก” จ่าวเสี่ยวเหรินพูดตามหลักการ
หลินอี้เจียหัวเราะอยู่ในใจ เธอไม่พูดอะไรออกมาเพียงแต่นึกว่าเงินเดือนเดือนละ 20,000 ทำเป็นอวดดี พี่เขยของฉันทำให้พ่อได้กำไรคืนหนึ่งตั้ง 40 ล้านน่ะ
“อี้เจีย ตอนเดินทางมาที่บ้านพี่ได้แวะไปซื้อกระเป๋ามาให้น่ะ” จ่าวเสี่ยวเหรินรู้สึกว่าได้เวลาอันสมควรแล้วจึงหยิบกระเป๋าออกมายื่นให้ หลินอี้เจีย
“โอ้โหสวยจริงๆ น่าจะแพงอยู่ล่ะ” หลินดาไห่พูดออกมา
“5000กว่าก็แพงอยู่บ้าง แต่ถ้าอี้เจียชอบก็ผมก็ดีใจ” จ่าวเสี่ยวเหรินพูดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
“คุณลุงครับ ผมมีชามาฝากด้วย เป็นชาต้าหงผาวที่แท้จริงจากภูเขาอู่อี๋ซาน คุณอาลองดื่มดูสิครับ” จ่าวเสี่ยวเหรินหยิบแพคเกจอันสวยงามส่งไปให้หลินดาไห่
“โอ้โห!ผมจะรับไว้ได้ยังไงกันนี่ทั้งกระเป๋าแล้วก็ยังมีชาอีก ชานี่ก็ไม่ถูกเลยนะเนี่ย” หลินดาไห่ยิ้มแล้วลุกขึ้นจะไปชงชา
“ไม่หรอกค่ะ เพื่อนของจ่าวเสี่ยวเหรินให้เขามาอีกทีหนึ่ง ได้ยินว่าราคาครึ่งกิโลกรัมละ 6,000 ช่วงนี้มีคนมาให้จ่าวเสี่ยวเหรินจัดการธุระให้หลายอย่าง ก็เอาชามาให้เยอะแยะมากมาย ฉันแค่ให้เขาสุ่มหยิบมาแค่กล่องนึงเท่านั้นแหละ” กูซินหยานพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความมั่นใจ
หลินดาไห่หัวเราะ แต่ภายในใจเขารู้สึกขำยิ่งนัก ก็แค่เงินไม่กี่พันมีอะไรให้น่าอวดกัน ลูกเขยผมเมื่อคืนก่อนทำเงินให้ผมถึง 40 ล้านอีกทั้งเขาเองก็ยังมีทรัพย์สินมากกว่า 100 ล้านด้วย
เมื่อเห็นหลินดาไห่เดินไปชงชา ลู่เฉินจึงนั่งลงข้างๆหลินอี้เจียแล้วเอ่ยถามว่า “กระเป๋า LV ที่ซื้อในห้างซินเทียนเจ๋อวันนั้นพังแล้วเหรอ กระเป๋าตั้งหลายแสนทำไมพังง่ายจัง?”