พ่อบ้านจักรพรรดิปีศาจ - ตอนที่ 52
“คุณหนู มากับข้า”
จั๋วฝานกวักมือเรียกลั่วหยุนชาง นางไม่ชัดเจนถึงเหตุผล แต่นางก็ทำตาม นางเต็มไปด้วยความยินดีเมื่อเห็นของมากมายที่ราชวงศ์นำมาให้
โดยเฉพาะสองผู้อาวุโสที่ยืนเฝ้า ตระกูลลั่วแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
“่พ่อบ้านจั๋ว มีอะไรงั้นเหรอ?”
ลั่วหยุนชางยิ้มขณะเข้าห้องเล็กไป จั๋วฝานปิดประตู ปิดหน้าต่างโดยไม่ตอบ ความคิดของนางเริ่มวิ่งไปทิศทางหนึ่งและใบหน้าของนางก็แดงก่ำ
“จั๋วฝาน เจ้าจะทำอะไรนะ?”ลั่วหยุนชางบิดตัว
จั๋วฝานสูดหายใจลึก”ข้าจะไปแล้ว!”
“ว่าไงนะ?”
ลั่วหยุนชางยืนนิ่งด้วยความตกใจ นางมีสีหน้าเหลือเชื่อ สงสัยว่านางหูฝาดหรือเปล่า แต่จั๋วฝานก็พูดย้ำ
“ทำไมกัน ตระกูลลั่วกำลังเติบโตและเป็นอันดับหนึ่งในเมืองเนตรสายลมแล้ว ทำไมเจ้าถึงอยากไป?”
“เพื่อความปลอดภัยของตระกูลลั่ว!”
น้ำเสียงของจั๋วฝานเคร่งขรึม”ตระกูลลั่วปลอดภัยแล้ว และก็ไม่มีตระกูลอื่นมายุ่งกับมัน แต่จำไว้ว่าเราต้องแลกอะไรเพื่อทั้งหมดนี้”
“เรายอมรับคำสั่งที่คลุมเครือของราชวงศ์และตอแยโหยวหมิงกู่ สำหรับศาลาเฉียนหลง ถ้าเราไม่เติบโตจนถึงระดับเจ็ดตระกูลใหญ่ พวกเขาจะเปลี่ยนท่าทีที่มีกับเรา!’
“งั้นเราก็ยิ่งต้องการเจ้า”ลั่วหยุนชางน้ำตาไหล หัวใจของนางไม่เต็มใจปล่อยเขาไป
จั๋วฝานปาดน้ำตานางอย่างอ่อนโยน”เจ้าอ้วนพูดถูกเรื่องหนึ่ง รากฐานของตระกูลคือพลัง ข้าจะไปเพื่อนำตัวยอดฝีมือกลับมาให้ตระกูลลั่ว เพื่อปกป้องอนาคตของเรา”
“นี่คือวิธีควบคุมค่ายกลทั้งสี่รอบภูเขาลมดำ มีแค่เจ้าถึงใช้มันได้ ถ้าข้ากลับมาไม่ทัน เจ้าสามารถเปิดใช้ค่ายกลเพื่อรับมือกับปัญหาได้ ทั้งสี่คือค่ายกลระดับห้า แถมด้วยค่ายกลวิญญาณพิโรธในป่าหมอก มันควรป้องกันเจ้าได้..”
จั๋วฝานมอบแท่งหยกให้ลั่วหยุนชางผู้รับมันทั้งน้ำตา นางถามเสียงเบา”เจ้าจะไปนานแค่ไหน?”
จั๋วฝานถอนหายใจ.”ข้าไม่รู้ แต่ข้าจะรีบกลับมา.”
เขาไม่ได้ไปแค่เพื่อหายอดฝีมือ แต่ยังเพื่อค้นหาเศษเสี้ยวจักรพรรดิสวรรค์ที่หลงจิ่วพูดถึงในหุบเขาสายฟ้า
“เอาล่ะ ไปซะ เรียกหัวหน้าผางกับหยุนไห่มาหาข้าด้วย”
ลั่วหยุนชางพยักหน้าแต่ก็หยุดเพื่อจูบแก้มจั๋วฝาน เขาตัวแข็งไปชั่วขณะและมองนางเดินออกไปด้วยแววตาลึกล้ำ
ลั่วหยุนชางหน้าแดงแต่ไม่หันกลับมาขณะพึมพำ”รีบกลับมานะ”
เมื่อได้ยินเสียง นางก็ไปแล้ว
ไม่นาน หัวหน้าผางก็นำลั่วหยุนไห่เข้ามา แม้กระทั่งทั้งคู่ก็ตกใจที่จั๋วฝานนจะไป
“เด็กโง่ เจ้าเป็นผู้ชายคนเดียวของตระกูลลั่ว พี่สาวเจ้าจะต้องพึ่งพาเจ้าในอนาคต เจ้าต้องทำตัวให้สมกับเป็นผู้นำตระกูลที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบของตระกูล”จั๋วฝานตบไหล่หยุดไห่
ลั่วหยุนไห่พยักหน้าสะอื้น
เขาหันไปมองหัวหน้าผาง มือของจั๋วฝานสะบัด เผยให้เห็นแท่งหยก แต่เมื่อหัวหน้าผางกำลังจะรับมือ จั๋วฝานก็กำหมัดแน่น
หัวหน้ามองเขาอย่างสงสัย
จั๋วฝานจ้องเขา”ผางยู่ เจ้าจำที่หลงขุ่ยพูดได้ไหม?นางพูดถูก ด้วยพรสวรรค์เจ้า อย่างมากเจ้าก็เป็นได้แค่ผู้บ่มเพาะกลั่นลมปราณ”
หัวหน้าผางหน้าดำ มือของเขาสั่นและถอนไป
“แต่”น้ำเสียงของจั๋วฝานเปลี่ยนไป”ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง ข้ามีวิธีเปลี่ยนแปลงร่างกายเจ้าใหม่ เพื่อให้ได้รับพลังน่าทึ่ง แต่สิ่งที่เจ้าต้องเจอนั้นจะเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย มันเป็นความเจ็บปวดสุดทานทน เจ้าเต็มใจหรือไม่?”
หัวหน้าผางตกตะลึง จากนั้นก็ดีใจ
“จริงรึ?
จั๋วฝานพยักหน้า”นี่คือเคล็ดบ่มเพาะปีศาจระดับนภาขั้นกลาง เคล็ดวิญญาณพิโรธ!มันไม่เหมือนเคล็ดบ่มเพาะอื่น มันไม่เหมือนเคล็ดบ่มเพาะอื่น มันคือเคล็ดบ่มเพาะสำหรับร่างกาย โดยไม่สนใจพรสวรรค์การบ่มเพาะหรือรากฐาน แค่ว่าการบ่มเพาะจะทำให้ชีวิตเจ้ากลายเป็นเหมือนตกอยู่ในนรก มันไม่ต่างอะไรกับการถูกต้มทั้งเป็น และเมื่อเริ่ม เจ้าจะต้องไม่หยุด ไม่งั้นดวงวิญญาณของเจ้าจะดับสูญ!”
หัวหน้าผางเลียริมฝีปากแห้ง แต่เขาไม่กลัว ดวงตาของเขามีแต่ความตื่นเต้น
“ไม่ต้องห่วง ตราบเท่าที่ข้าแกร่งขึ้นได้ ไม่มีอะไรที่ข้าจะกลัว”หัวหน้าผางคว้าแท่งหยก
จั๋วฝานเตือนเขา”ความกลัวที่เจ้าจะประสบจากการบ่มเพาะมันไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะคิดได้ บางทีเจ้าอาจจะตกอยู่ในความเจ็บปวดจนจิตใจแหลกสลายและตาย นี่คือเคล็ดบ่มเพาะระดับนภาขั้นกลางที่เทียบได้กับขั้นสูง แต่กระบวนการโหดร้ายกว่ามาก ผู้บ่มเพาะปีศาจหลายคนยังไม่กล้าแตะต้องมัน จงเลือกให้ดี!”
หัวหน้าผางโบกมือ
“น้องจั๋ว ความทรมานเดียวของเฒ่าผาวงในชีวิตนี้คือการเห็นผู้นำตระกูลตายต่อหน้าและไม่สามารถหยุดมนัได้ ตอนนี้ ความปรารถนาเดียวของข้าคืออยากปกป้องคุณหนูกับนายน้อย”
หัวหน้าผางดูซาบซึ้ง”น้องจั๋ว ขอบคุณเจ้ามากที่มอบโอกาสนี้ให้ข้า”
หัวใจของจั๋วฝานสั่นสะท้านขณะที่เขาพยักหน้า ดวงตาของเขาแสดงถึงความเคารพ
“ครั้งหน้าที่เราเจอกัน ข้าหวังจะได้เห็นเฒ่าผางที่ทรงพลัง ไม่ใช่ซากศพ!”
“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องห่วง ข้าดื้อ ข้าไม่ยอมตายง่ายๆหรอก!”หัวหน้าผางหัวเราะ สวมกอดจั๋วฝานแน่นด้วยดวงตาชุ่มชื้น
“น้องชาย รีบกลับมาละ ตระกูลลั่วจะไม่เหมือนเดิมถ้าไม่มีเจ้า!”
หัวหน้าผางตบไหล่จั๋วฝาน จากไปพร้อมหยุนไห่ ตามคำขอของจั๋วฝาน เหล่ยยู่ถิงจึงก้าวมาต่อ
“แม่นางเหล่ย งานที่ข้ามอบหมายให้เจ้าเป็นเยี่ยงไร?”จั๋วฝานยิ้ม
เหล่ยยู่ถิงหน้าแดงขณะพยักหน้า”พี่จั๋ว เด็กอายุ 10 ขวบ 600 คนที่ท่านขอให้ข้ารวบรวมมาถึงแล้ว พวกเขาล้วนมีพรสวรรค์สูงและกำลังรอคำสอนของท่าน”
จั๋วฝานสบตานางแล้วพยักหน้า”เจ้ารู้ได้ไงว่าข้าอยากสอนพวกเขา?”
เหล่ยยู่ถิงพูดด้วยความมั่นใจ”ข้ารู้จักท่านดี เชื่อว่าท่านคงช่วยเหลือเด็กกำพร้านั่นเพราะความเมตตา ข้าจึงเดาว่าท่านอยากฝึกพวกเขาเป็นองครักษ์ตระกูลลั่วและทำให้ข้าเป็นหัวหน้าพวกเขา”
จั๋วฝานนึกถึงบางสิ่งและถอนหายใจ
[เมตตา?ครึ่งหนึ่งข้าเคยเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยความเมตตาและดูสิว่ามันทำให้ข้าเป็นเยี่ยงไร ไม่ใช่ว่าสุดท้ายเขาก็ทรยศข้า?]
ดวงตาของจั๋วฝานฉายแววเย็นชา ทำให้เหล่ยยู่ถิงกลัว
“แม่นางเหล่ย”จั๋วฝานถือแท่งหยก”นี่คือเคล็ดบ่มเพาะระดับจิตวิญญาณขั้นกลาง เคล็ดเงาไหลลื่น บ่มเพาะมันซะและจากนั้นก็มอบมันให้คนที่เจ้าไว้ใจจากหน่วยเงา ปกป้องตระกูลในที่มืด เริ่มจากเด็กที่เจ้ารับมา”
“ใช้คนที่อ่อนด้อยสุดเป็นองครักษ์ พวกฝีมือทั่วไปให้เป็นหน่วยเงา และพวกหัวกะทิให้ส่งไปหาหัวหน้าผางเพื่อฝึกในที่ลับ ถ่ายทอดคำพูดข้าให้เขาฟัง เขาจะเข้าใจเอง”
เหล่ยยู่ถิงรับมันด้วยแววตาว่างเปล่า จากนั้นก็จ้องจั๋วฝานด้วยความไม่สบายใจ”ทำไมเจ้าไม่ทำมันเองล่ะ?”
“ข้ากำลังจะไปแล้ว”
“ว่าไงนะ?”เหล่ยยู่ถิงถาม”ทำไม?”
จั๋วฝานถูกบังคับให้ต้องเล่าเหตุผลอีกครั้ง เหล่ยยู่ถิงพยักหน้า แต่ก่อนนางจะเดินไปตรงประตู นางก็หอมแก้มจั๋วฝาน
เขาจ้องนางวิ่งออกไป
[เกิดอะไรขึ้น?ผู้หญิงทุกคนชอบหอมแก้ม?]
ต่อไปถึงคราวของเหล่ยหยุนเทียน จั๋วฝานอธิบายเรื่องของเขาและเหล่ยหยุนเทียนก็ปฏิบัติตามคำแนะนำด้วยความจริงใจ
แม้เขาจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ เขาก็ชัดเจนว่าจั๋วฝานคือคนควบคุมทุกอย่าง
“ผู้อาวุโสเหล่ย!
จั๋วฝานหยิบแท่งหยกอีกอันออกมา”นี่คือวิชายุทธ์ระดับนภาที่ข้าบันทึกหลังผสานวิชายุทธ์ของสามตระกูล วิชายุทธ์มังกรวายุสายฟ้าสะบัดหาง!เนื่องจากนี่เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจที่ราชวงศ์มอบ นี่จะเป็นวิชายุทธ์ที่ดีสุดของตระกูลลั่วบนผิวเผิน ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ เจ้าต้องหมั่นขยันฝึก”
เหล่ยหยุนเทียนเลิกคิ้วแต่ก็พยักหน้า
จั๋วฝานย้ำว่า’ผิวเผิน’ ทำให้ชัดเจนว่าเขามีวิชายุทธ์ระดับสูงอื่นที่ราชวงศ์ไม่รู้เป็นอาวุธลับ
วันหนึ่งอาจมาถึงเมื่อราชวงษ์พบว่าตระกูลที่แปดหลุดการควบคุม แต่ตอนนั้น มันคงสายเกินไปแล้ว
จั๋วฝานยังเด็ก แต่สติปัญญากับความเฉลียวฉลาดก็ทำให้ชายชราชื่นชม
“มั่นใจได้ พ่อบ้านจั๋ว ข้าจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ที่ดีสุด”เหล่ยหยุนเทียนหัวเราะ
แม้จะไร้คำเตือนของจั๋วฝาน เขาก็ชัดเจนว่ามันหมายถึงการยืนอยู่ใกล้กับผู้ปกครองและราชวงศ์ก็เชื่อใจไม่ได้
“ใช่แล้ว พ่อบ้านจั๋ว แล้วตระกูลไช่ล่ะ?”
เหล่ยหยุนเทียนขมวดคิ้ว”มันผ่านมาสามเดือนแล้วตั้งแต่รวมสามตระกูล แต่ข้ายังรู้สึกว่าตระกูลไช่มีความคิดแตกต่าง มักทำตัวน่าสงสัย ผู้คุ้มกันของภูเขาลมดำก็เป็นคนจากคฤหาสน์ไช่ ข้ากลัวว่า..”
“ปล่อยพวกมันไป!’
จั๋วฝานโบกมือด้วยรอยยิ้ม”ตระกูลไช่เป็นส่วนหนึ่งของแผน ถ้าเราจัดการกับพวกมัน เราจะต้องรับความเดือดดาลของตระกูลราชวงศ์ แต่ถ้าพวกมันทรยศเราก่อน ฮี่ๆๆ..”
ดวงตาของเหล่ยหยุนเทียนเป็นประกาย”เจ้าน่าทึ่งมาก พ่อบ้านจั๋ว”
จั๋วฝานหรี่ตา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
…
เช้าของวันที่สอง จั๋วฝานออกภูเขาลมดำไปด้วยตัวเอง บนยอดเขา ลั่วหยุนชาง เหล่ยยู่ถิง และเหล่ยหยุนเทียนพร้อมสมาชิกตระกูลลั่วคนอื่นมาส่งลาเขา ยกเว้นสองพ่อลูกตระกูลไช่
แต่ในป่าทางขึ้นภูเขา ไช่หรงกับบุตรชายเขาจ้องจั๋วฝานด้วยสายตาเย็นชา
“ฮึ่ม หากไร้เจ้าเด็กนี่ ตระกูลลั่วจะต้องตกจากที่สูงแน่”ไช่เซียวถิงแค่นเสียง”นางผู้หญิงตัวเหม็นนั่น ลั่วหยุนชางจ้องจั๋วฝานไม่เว้นวัน ไม่เหลียวแลข้าสักนิด ด้วยจั๋วฝานที่ไปแล้ว ภูเขาลมดำจะเป็นของเรา!’
“เห้อ ต้องกยความดีความชอบให้จั๋วฝานจริงๆ เขามีศาลาเฉียนหลงกับเจ้าชายสามหนุนหลัง ขณะที่ตัวเขามีอำนาจเขย่าสามตระกูล ภูเขาลมดำทั้งหมดรู้ว่าผู้นำตระกูลตัวจริงเป็นเขา”
ไช่หรงส่ายหัว”โชคร้ายสุดคือเขาเลือกต่อต้านเรา เนื่องจากเขากำลังจะไป เราก็อาจเอาทุกอย่างกลับคืนมาได้”
“พ่อ เราจะทำยังไง?”ไช่เซียวถิงถาม
ไช่หรงส่ายหัว”อย่าเพิ่งรีบร้อน ด้วยจั๋วฝานที่ไปแล้ว ตระกูลลั่วก็ไม่มีอะไร ตระกูลเหล่ยคือศัตรูตัวจริงของเรา เราต้องการพันธมิตร และแข็งแกร่งกว่าตระกูลเหล่ย..”