พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 103 ความอัดอั้นของหลิงไช่หยุน[รีไรท์]
บทที่ 103 ความอัดอั้นของหลิงไช่หยุน[รีไรท์]
หลิงตู้ฉิงมองไปยังถังชี่หยุนและตอบกลับ “สถาบันราชวงศ์ก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง เจ้าก็แค่สั่งใครก็ได้ให้ไปตามตัวลูกสาวของเจ้ามาที่นี่ หรือไม่ในอีกไม่กี่วันนี้ข้าก็จะเดินทางไปที่นั่นเหมือนกัน เจ้าก็รอเวลาไปพร้อมกับข้าที่สถาบันราชวงศ์พร้อมกับข้าก็ได้ ไม่อย่างนั้นหากเจ้าออกไปเพียงลำเพียง นั่นจะเท่ากับว่าเจ้าได้ละเมิดข้อตกลงสัญญาระหว่างเจ้ากับข้า ถึงแม้ว่าบทลงโทษที่เจ้าออกไปชั่วคราวคนเดียวจะไม่รุนแรง แต่เจ้าก็ต้องได้รับความเสียหายจากผลสะท้อนกลับของมันบ้างอยู่ดี”
ถังชี่หยุนนางพยักหน้าและพูดว่า “ท่านหลิงข้ารู้เรื่องนั้นดี แต่ข้าเกรงว่าหากวันนี้ข้าไม่ไปพบนางด้วยตัวข้าเองเพียงเพราะข้ากลัวผลสะท้อนกลับของสัญญาของเรา ข้าคิดว่าข้าคงจะไม่คู่ควรที่จะเป็นแม่คน และคงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสอนลูก ๆ ของท่านอีกต่อไป”
“หากเจ้าเตรียมใจแล้วก็จงไปเถอะ” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “และเนื่องจากเจ้าได้ทำการสอนลูกของข้ามาด้วยดีโดยตลอด ฉะนั้นข้าจะอนุญาตให้เจ้าพาลูกของเจ้ากลับมาอยู่อาศัยที่คฤหาสน์แห่งนี้ได้ และอีกอย่า งเจ้าจงนำกงหยูติดตามเจ้าไปด้วย ด้วยระดับของเจ้าในตอนนี้หากพบกับอันตรายในเมืองหลวงเจ้าคงไม่สามารถปกป้องตัวเองได้”
“ข้าขอขอบคุณท่านหลิงมาก” ถังชี่หยุนโค้งคำนับให้กับหลิงตู้ฉิงก่อนนางจะเดินนำกงหยูจากไป นางรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่หลิงตู้ฉิงอนุญาตให้นางนำลูกสาวของนางเข้ามาอยู่ด้วยได้ แต่ในอีกใจหนึ่งนางก็รู้สึกเสียดายที่ลูกชายของนางที่ประจำการอยู่ในกองทัพนั้นพลาดโอกาสที่จะได้ติดตามหลิงตู้ฉิงพร้อมกับนาง
เมื่อถังชี่หยุนกับกงหยูออกไปจากคฤหาสน์แล้ว หลิงตู้ฉิงได้มองกลับมายังเหล่าบรรดาทหารที่ในตอนนี้กลับมาตั้งแถวยืนตัวตรงรอรับคำสั่ง
หลิงตู้ฉิงที่เห็นถึงความมีระเบียบของเหล่าทหารเขาพยักหน้าและตะโกนขึ้น “นับแต่นี้ต่อไป ในเรื่องของเงินเดือนของพวกเจ้า พ่อบ้านโม่หยูถังของข้าจะเป็นผู้จัดการทำบัญชีจ่ายเงินและเขาจะเป็นคนมอบโอสถต่าง ๆ ที่ใช้ในการบ่มเพาะแก่พวกเจ้า”
“พวกเจ้าที่มาที่นี่มีอยู่ 2 หน้าที่ หนึ่งคือฝึกบ่มเพาะอย่างตั้งใจ และสองเชี่อฟังคำสั่งของข้าจนกว่าชีวิตของพวกเจ้าจะดับสูญ แต่ข้าจะไม่บังคับพวกเจ้าหากพวกเจ้าไม่เต็มใจ ใครที่รับได้กับกฎของข้า พวกเจ้าจงก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแต่ถ้าหากรับไม่ได้ จงหันหลังและถอยจากไป ข้ารับรองว่าจะไม่มีผู้ใดเอาผิดเจ้า แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนผู้ใดที่เต็มใจติดตามข้า ข้าจะให้ผลประโยชน์แก่ผู้ติดตามข้าจนไม่อาจจะจินตนาการได้”
บรรดาทหารเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง พวกเขาต่างพร้อมใจกันก้าวเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างพร้อมเพรียงกันทุกคน
หลิงตู้ฉิงเมื่อเห็นภาพเช่นนี้เขายิ้มและเดินไปเอาหลิงจู้มาจากมี่ไล และจากนั้นเขาจึงเริ่มร่างสัญญาด้วยหลิงจู้ขึ้นไปบนอากาศ
เมื่อหลิงตู้ฉิงร่างสัญญาจนเสร็จเขาตะโกนขึ้นว่า “เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้าทุกคนตกลงปลงใจจะติดตามข้า พวกเจ้าจงก้าวเข้ามาและใช้เลือดของพวกเจ้าประทับลงในสัญญาของข้าตรงนี้ แต่ข้าขอเตือนไว้อีกครั้ง เมื่อพวกเจ้าได้ลงสัญญาไว้กับข้าเรียบร้อยพวกเจ้าทุกคนจะไม่สามารถทรยศข้าได้ หากพวกเจ้าทรยศข้า พวกเจ้าจะต้องได้รับผลสะท้อนกลับของสัญญาอย่างรุนแรง!”
บรรดาทหารเมื่อได้ยินคำขู่ของหลิงตู้ฉิง ไม่มีพวกเขาคนไหนที่มีท่าทีลังเล พวกเขาต่างพากันเดินเข้ามาและประทับเลือดของพวกเขาลงบนสัญญาจนครบทุกคน
หลิงตู้ฉิงเมื่อเห็นสัญญาที่ลงครบหมดแล้ว เขาจึงโบกหลิงจู้ปัดให้สัญญาที่อยู่บนอากาศสลายไป จากนั้นจึงพูดว่า “ข้าจะให้พวกเจ้าแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม หนึ่งกลุ่มของพวกเจ้าจะมีทั้งหมด 151 นาย สำหรับผู้นำกลุ่มของพวกเจ้าในตอนนี้พวกเขายังมาไม่ถึงที่เมืองหลวง พวกเขาอาจใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะมาถึงเพราะฉะนั้นในตอนนี้พวกเจ้าต้องฝึกฝนด้วยตัวของพวกเจ้าเองไปก่อน เอาล่ะพวกเจ้าเริ่มจัดแบ่งกลุ่มกันได้แล้ว!”
เมื่อสิ้นเสียงของหลิงตู้ฉิง บรรดาทหารจึงแยกแถวและวิ่งไปรวมกลุ่มกันแยกเป็น 5 กลุ่ม
“เอาล่ะ และต่อไปข้าจะตั้งชื่อกลุ่มให้กับพวกเจ้าทุกกลุ่ม เริ่มจากกลุ่มแรกที่อยู่ด้านขวามือของข้าไล่ไปจนสุดทางซ้าย”
“กลุ่มแรกข้าจะตั้งชื่อให้ว่า ตุ่นปีศาจอเวจี ถัดมาเป็นกลุ่ม กิเลนเพลิง ถัดมา ราชสีห์คำราม ถัดมา เต่าอัสนีทมิฬ และสุดท้าย กลุ่ม มังกรวารี ทุก ๆ กลุ่มข้าจะมอบรูปแบบกระบวนรบเฉพาะกลุ่มตามชื่อกลุ่มของพวกเจ้าให้ไปฝึกฝน”
จากนั้นหลิงตู้ฉิงจึงได้เรียกแต่ละกลุ่มเดินตามเขาไปยังอีกมุมหนึ่งของลานฝึกเพื่อถ่ายทอดรูปแบบกระบวนรบให้ทีละกลุ่มจนครบทั้งหมด
เหล่าทหารเองที่ได้ฟังเคล็ดของรูปแบบกระบวนรบ พวกเขาได้แต่ทำหน้าสงสัยว่ากระบวนรบที่ประหลาดและซับซ้อนเหล่านี้ที่หลิงตู้ฉิงถ่ายทอดให้มันจะมีพลังอำนาจถึงขนาดไหน
“พวกเจ้าต้องจำรายละเอียดของรูปแบบกระบวนรบที่ข้าสอนไว้ให้ขึ้นใจและทบทวนพวกมันด้วยในเวลาที่พวกเจ้าว่าง รอให้หัวหน้ากลุ่มทั้งห้าของพวกเจ้ามาถึงเสียก่อน จากนั้นจะข้าให้พวกเจ้าได้เริ่มฝึกใช้รูปแบบกระบวนรบร่วมกัน”
หลิงฉุยฟงเองที่ได้เดินตามหลิงตู้ฉิงไปฟังรายละเอียดของกระบวนรบทุกแบบ เขาเองรู้สึกขนลุกถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ด้วยความซับซ้อนของมันเขาเองก็พอเดาได้ว่าหากนำกระบวนรบของหลิงตู้ฉิงมาเทียบกับกระบวนรบของพ่อเขาแล้วนี่มันถือว่าเป็นคนระดับกันโดนสิ้นเชิง
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย หลิงฉุยฟงจึงเดินยิ้มเข้าไปหาหลานของเขาและพูดว่า “หลานรัก ข้าคิดว่ากลุ่มทั้งห้านี้ยังไม่มีผู้บัญชาการเลยสินะ เอาอย่างนี้ไหมข้าเองก็เป็นแม่ทัพมาตั้งนมนาน ข้าขอเสนอตัวเองเป็นผู้บัญชาการของทั้งห้ากลุ่มนี้ให้กับเจ้า เจ้าว่าดีไหม?”
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วมองไปยังหลิงฉุยฟงและพูดว่า “ท่านมีศักดิ์เป็นถึงอาของข้า ข้าเห็นว่ามันไม่น่าจะเหมาะสักเท่าไหร่ที่จะให้ท่านมารับคำสั่งของข้าและทำสัญญา ส่วนอีกเรื่องคือระดับการบ่มเพาะของท่านค่อนข้างจะต่ำไปสักหน่อย”
หลิงฉุยฟงได้ยินเช่นนั้นเขารีบพูดทันที “ไม่เป็นไร ๆ ก็แค่ลงชื่อในสัญญาเอง ข้ายินดี ๆ มา ๆๆ รีบร่างสัญญาให้ข้าประทับเลือดเลย ตราบใดที่เจ้าให้ข้านำทหารของเจ้า ข้าจะรับปากเจ้าทุก ๆ อย่าง ส่วนเรื่องระดับการบ่มเพาะ เดี๋ยวข้าจะขยันฝึกเอง!”
เมื่อได้ยินคำอ้อนวอนซ้ำ ๆ ของหลิงฉุยฟง หลิงตู้ฉิงหลี่ตามองไปที่เขาและเริ่มใช้น้ำเสียงจริงจัง “นี่ท่านแน่ใจดีแล้วใช่ไหม ที่จะทำสัญญาประทับเลือดกับข้า ข้าขอบอกไว้ก่อน หลังจากที่ท่านทำสัญญากับข้าแล้ว ท่านไม่อาจผิดคำพูดกับข้าได้อีกต่อไป”
หลิงฉุยฟงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่มีปัญหา ๆ ข้าจะไม่คืนคำแน่นอน”
เมื่อเห็นสีหน้าที่ดูจริงจังของหลิงฉุยฟง
หลิงตู้ฉิงจึงร่างสัญญาให้หลิงฉุยฟงลงชื่อจนเสร็จ
เมื่อลงสัญญาเสร็จหลิงฉุยฟงจึงได้กล่าวถามขึ้น “แล้วข้าควรจะทำอะไรต่อดี?”
หลิงตู้ฉิงมองไปยังหลิงฉุยฟงด้วยสายตาจริงจังและพูดว่า “ตอนนี้ข้าจะถ่ายทอดรูปแบบเคลื่อนทัพให้ท่านสามรูปแบบ รูปแบบแรกชื่อของมันคือ ท่องเมฆา รูปแบบที่สอง ปฐพีอำพลาง และรูปแบบที่สาม พเนจรทั่วสมุทร เมื่อท่านเข้าใจพวกมันทั้งหมดสามรูปแบบแล้ว ท่านจงนำพวกมันไปปรับใช้ตามสถานการณ์ต่าง ๆ กับทหารเหล่านี้”
หลิงฉุยฟงเมื่อได้เรียนรู้รูปแบบเคลื่อนทัพทั้งสามแล้ว เขารู้สึกตื่นตะลึงและสงสัยเป็นอย่างมาก จากบรรดารูปแบบกระบวนรบและรูปแบบเคลื่อนทัพทั้งหมดที่หลิงตู้ฉิงให้เขาและเหล่าทหารทั้งหมดได้ฝึกทำความเข้าใจ หากพวกเขาสำเร็จพวกมันได้ทั้งหมดแล้ว ความแข็งแกร่งเมื่อพวกเขารวมตัวกันคงไม่อาจจะจินตนาการได้
หลิงตู้ฉิงต้องการนำเขาและเหล่าทหารพวกนี้ไปทำการใหญ่อะไรกันแน่?
และที่สำคัญหลิงตู้ฉิงไปเอารูปแบบกระบวนรบและรูปแบบเคลื่อนทัพอันลึกลับและทรงพลังเหล่านี้มาจากที่ไหน?
หลิงฉุยฟงตอนนี้มีคำถามมากมายอยู่ในหัว แต่เขาเองเมื่อมองไปยังท่าทางอันจริงจังของหลิงตู้ฉิง เขาจึงไม่กล้าเอ่ยถามอะไรต่อ เขาทำได้แต่เพียงพยักหน้าซ้ำ ๆ แสดงให้เห็นว่าเขารับทราบและพร้อมจะปฏิบัติตามที่หลิงตู้ฉิงสั่ง
หลังจากที่ถ่ายทอดรูปแบบเคลื่อนทัพและกระบวนรบทั้งหมดให้กับหลิงฉุยฟงและเหล่าทหารเรียบร้อย หลิงตู้ฉิงจึงเดินไปไล่ดูบรรดาลูก ๆ ของเขาทำการฝึกฝนทีละคน
จนสุดท้ายหลิงตู้ฉิงไปหยุดยืนดูหลิงไช่หยุนที่ในตอนนี้นางได้ฝึกเสร็จแล้วและกำลังปีนภูเขาจำลองเล่นอยู่
หลิงไช่หยุนเมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงได้เดินเข้ามา นางจึงตะโกนทักขึ้น “เอ๊ะ ท่านพ่อท่านมาทำอะไรที่นี่?”
“ก็พ่อมาดูว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ยังไงล่ะ” หลิงตู้ฉิงตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้ลูกสาวของเขา
“ข้ากำลังเล่นอยู่” หลิงไช่หยุนหัวเราะ
“เล่นอะไรก็ระวังล่ะ อย่าให้ตกลงมา” เมื่อหลิงตู้ฉิงพูดจบเขาจึงหมุนตัวจะเดินจากไป
หลิงไช่หยุนเมื่อเห็นพ่อของนางกำลังจะจากไป นางจึงกระโดดลงจากภูเขาจำลอง และวิ่งเข้าไปหาพ่อของนางและพูดว่า “ท่านพ่อ เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป”
“มีอะไรงั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงหันกลับมาถามลูกสาวของเขา
หลิงไช่หยุนนางยืนอยู่หน้าของหลิงตู้ฉิงนางก้มลงมองไปยังพื้นและพูดออกมาเบา ๆ “ท่านพ่อ ท่านช่วยคลายผนึกเพลิงบนตัวข้าให้หน่อยได้ไหม ข้าต้องการใช้พลังเพลิงของข้า…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วและถามขึ้น “มีอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ ไหนบอกพ่อมาหน่อยสิ”
“……”
“บอกพ่อมาเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น”
หลังจากหลิงตู้ฉิงถามย้ำอยู่หลายครั้ง หลิงไช่หยุนจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “ท่านพ่อ…เมื่อวาน…มีบางคนที่บ้านของท่านปู่ทวด…พวกเขาบอกว่าข้าและพวกพี่ ๆ ไม่ใช่ญาติของพวกเขา…พวกเขาบอกว่าพวกเราไม่สามารถบ่มเพาะได้…เพราะอย่างนั้น…เพราะอย่างนั้น…ข้าเลย…ข้าเลยอยากแสดงให้พวกเขาเห็นว่าข้าเองก็สามารถบ่มเพาะได้ ข้าอยากให้พวกเขารู้ว่าข้าเก่ง ข้าอยากพิสูจน์ตัวเอง และที่สำคัญข้าไม่อยากให้ท่านพ่อต้องขายหน้ากับพวกเขาเพราะข้า…”
หลิงตู้ฉิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงอุ้มหลิงไช่หยุนขึ้นมาบนบ่าและพูดว่า “เจ้าไม่ต้องไปสนใจพวกเขา ลูกของพ่อพวกเจ้าเก่งกันทุกคนอยู่แล้ว พวกเจ้าไม่ได้ทำให้พ่อขายหน้ากับใครเลย พ่อภูมิใจจะตายที่มีลูกแบบพวกเจ้า โดยเฉพาะเจ้า ไช่หยุนน้อยที่น่ารักของพ่อ ไหนเจ้าลองบอกมาอีกสิว่านอกจากนั้นแล้วพวกคนที่นั่นพวกเขาพูดว่าอะไรอีก?”
หลิงไช่หยุนเมื่อได้ยินคำปลอบของหลิงตู้ฉิง จากนั้นนางก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่นางและบรรดาพี่ ๆ ของนางประสบในช่วงที่หลิงตู้ฉิงแยกตัวเข้าไปคุยกับหลิงเจิ้งสง
“ท่านพ่อ จริง ๆ แล้วพี่ใหญ่ได้กำชับไว้กับพวกเราไม่ให้บอกเรื่องนี้กับท่าน” หลิงไช่หยุนกล่าวด้วยอารมณ์รู้สึกผิด
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “เจ้าจำไว้นะ ถ้าหากคนพวกนี้ในอนาคตพวกเขาปฏิบัติกับเจ้าเช่นญาติพี่น้อง เจ้าก็จงนับพวกเขาให้เป็นญาติพี่น้อง แต่ถ้าหากพวกเขาไม่ทำ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องไปนับญาติกับพวกเขาเช่นกัน พ่อจะบอกความลับเล็ก ๆ ให้เจ้าฟังเรื่องหนึ่ง…อันที่จริงแล้วพ่อไม่ใช่ญาติจริง ๆ ของพวกเขาหรอก”
“เอ๊ะ ท่านพ่อไม่ใช่หลานจริง ๆ ของท่านปู่ทวดงั้นเหรอ?” หลิงไช่หยุนอุทานด้วยน้ำเสียงตกใจ
“ใช่แล้ว พ่อไม่ใช่ญาติจริง ๆ ของพวกเขา แต่บังเอิญว่าผู้นำตระกูลของพวกเขากับปู่ของเจ้าทำข้อตกลงอะไรกันบางอย่างและประกอบกับผู้นำของพวกเขาเองก็ปฏิบัติกับพ่อเป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นพ่อก็เลยยอมรับสถานะการเป็นคนในตระกูลของพวกเขา”
หลิงไช่หยุนที่ได้ยินเช่นนั้น นางจึงแสดงสีหน้าดีขึ้น “ท่านพ่อ แล้วตอนนี้ท่านพอจะมีเงินอีกไหม ข้าได้ยินท่านย่าใหญ่ได้บอกว่า พวกเขาได้ใช้เงินไปเป็น 10 ล้านเพื่อซื้อคฤหาสน์ให้พวกเราอยู่ นางบอกว่าพวกเราเอาเปรียบพวกเขาทั้ง ๆ ที่ท่านปู่ทวดไม่เคยให้เงินพวกเขาจำนวนมากขนาดนี้มาก่อนเลย”
หลิงตู้ฉิงได้ยินเช่นนี้เขาขมวดคิ้วอีกครั้งและพูดว่า “ตอนนี้พ่อยังไม่มี แต่เจ้าไม่ต้องห่วง พ่อมีวิธีหาเงินใช้คืนพวกเขาอย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลาที่พวกเจ้าเจอกับพวกเขาครั้งหน้า พวกเจ้าจะสามารถเชิดหน้าสู้กับพวกเขาได้อย่างทัดเทียม!”
“ท่านพ่อ ท่านเยี่ยมที่สุดไปเล้ย!” หลิงไช่หยุนตะโกนดีใจเสียงดัง