พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 105 พ่อสื่อและสินสอด[รีไรท์]
บทที่ 105 พ่อสื่อและสินสอด[รีไรท์]
จ้าวปาเทียนพูดอย่างโกรธ ๆ “ข้าคิดว่าข้าคงตามใจเจ้าเรื่องนี้มากจนเกินไปแล้ว เจ้าถึงได้ประพฤติตัวเลยเถิดได้ถึงขนาดนี้ เจ้าไม่เข้าใจหรือไงว่าเขายังไม่ได้ส่งคนมาสู่ขอเจ้าเลยด้วยซ้ำ!?”
แม้ว่าจ้าวเหมิงลู่จะเห็นว่าจ้าวปาเทียนโกรธ แต่จ้าวเหมิงลู่ก็ไม่กลัว นางยิ้มอย่างเขิน ๆ และพูดว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปบอกให้เขาหาคนมาสู่ขอข้าที่ตระกูลเรา!”
จ้าวปาเทียนเมื่อได้เห็นอาการของจ้าวเหมิงลู่ในตอนนี้แล้วเขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร ทำได้แค่กรอกตามองเพดาน
“อ๋อใช่ ท่านปู่ สรุปแล้วท่านปู่จัดให้เด็ก ๆ ของเขาไปเรียนในชั้นเรียนไหนกันแน่?” จ้าวเหมิงลู่ถามอีกครั้ง “และท่านรู้ข่าวแล้วใช่ไหมที่หลิงยู่ชานสามารถเอาชนะเด็กที่อยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 10 ได้ด้วยระดับ 4 ของเขา ข้าว่าความสามารถของเขาน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมากเลยท่านปู่”
“และสำหรับเด็กคนอื่น ๆ แม้ว่าข้าจะยังไม่เห็นความสามารถของพวกเขา แต่ข้าเชื่อว่าพวกเขาที่ได้รับการสั่งสอนจากหลิงตู้ฉิง พวกเขาจะต้องยอดเยี่ยมมากเช่นกันแน่นอน”
จ้าวปาเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ถอนหายใจ “เจ้าจงไปบอกเขาให้เขามาหาปู่สถาบันราชวงศ์ที ปู่ต้องการคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว ปู่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ปู่ตัดสินใจอนุญาตให้เจ้าคบกับเขามันจะเป็นความผิดพลาดหรือเปล่า แต่นี่ยังดีที่เรื่องในเมืองฟีนิกซ์ยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้คนในเมืองหลวง และเรื่องข่าวการมาถึงเมืองหลวงของหลิงตู้ฉิงนั้นยังเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครรู้ไม่เช่นนั้น ปู่รับรองว่าพวกเจ้าจะต้องเจอปัญหามากมาย และนี่ยังไม่รวมถึงการที่เขายอมรับหัวหน้ากลุ่มเสื้อคลุมโลหิตมาเป็นสารถีอีก คราวนี้เมื่อรวมปัญหาของพวกเขาเข้าด้วยกันทั้งหมด แค่ปู่คิดว่าถ้าปู่เป็นเขา ปู่ก็แทบจะหัวระเบิดแล้วกับปัญหาที่จะต้องตามมาในภายหลัง”
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านปู่ เดี๋ยวข้าจะไปหาเขาและบอกให้เขามาหาท่านที่นี่เอง” จ้าวเหมิงลู่พยักหน้าและเตรียมตัวกำลังจะจากไปคฤหาสน์ของหลิงตู้ฉิง
จ้าวปาเทียนที่เห็นว่านางกำลังเดินออกไป เขาตะโกนไล่หลังว่า “ก่อนที่เจ้าจะได้เข้าเรือนหอกับเขา เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้นอนอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ปู่รู้นะว่าเจ้าเคยอาศัยอยู่ในเรือนของเขาในเมืองฟีนิกซ์ ที่เจ้าทำแบบนั้นมันดูไม่งามเลยนะเจ้ารู้บ้างไหม!”
จ้าวเหมิงลู่กลั้นเสียงหัวเราะไม่พูดอะไรและเดินจากไป ในความเป็นจริงแม้ว่านางจะอยู่ร่วมเรือนกับหลิงตู้ฉิง แต่นางกับเขาก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นจนเกินเลย
นางรีบเดินทางไปที่คฤหาสน์สราญรมย์เพื่อพบกับหลิงตู้ฉิง
เมื่อนางมาถึงที่คฤหาสน์สราญรมย์ นางจึงเล่าบทสนทนาของนางกับจ้าวปาเทียนให้หลิงตู้ฉิงฟัง
หลิงตู้ฉิงที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเสร็จ เขาก็พยักหน้าและพูดว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปพบปู่ของเจ้าที่สถาบันราชวงศ์”
“แล้วเรื่องของเสี่ยวเยว่เฟิงล่ะ? ที่เมืองหลวงนี้มีศัตรูของนางอยู่มากมายเต็มไปหมด แล้วท่านจะทำยังไงหากเกิดปัญหาขึ้นมา?” จ้าวเหมิงลู่ถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องนั้น นางสามารถดูแลตัวเองได้ดีกว่าที่เจ้าและปู่ของเจ้าคิดไว้เยอะ หากคนในเมืองหลวง ไม่สิ หากคนในทวีปนี้กล้ามาหาเรื่องกับนางแล้วล่ะก็ มันก็เหมือนกับพวกเขาแหย่เท้าข้างนึงไปแดนยมโลกแล้ว”
จากนั้นจู่ ๆ สีหน้าของจ้าวเหมิงลู่ก็ดูอึดอัดและนางเอ่ยถามด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “นี่…ถ้าท่านอยากให้ข้าเป็นแม่ของเด็ก ๆ แล้วท่านจะไปรับข้าเมื่อไหร่?”
“ข้าต้องไปรับเจ้าด้วยเหรอ? เจ้าเองก็กลับมาที่นี่เองได้ตลอดเวลาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” หลิงตู้ฉิงถามอย่างงุนงง
“ท่านนี่มันทึ่มจริง ๆ ที่ข้าบอกให้ท่านไปรับข้า ข้าหมายถึงเมื่อไหร่ท่านจะส่งคนมาสู่ขอข้าที่ตระกูลต่างหาก!” เมื่อตวาดจบประโยคจ้าวเหมิงลู่รวบรวมสมาธิอีกครั้งและอธิบายต่ออย่างอดทน “ท่านต้องทำอย่างนั้นก่อนข้าถึงจะสามารถเป็นแม่ให้ลูกของท่านได้…”
“งั้นเอาเป็นว่าข้าไปตอนนี้ด้วยตัวเองเลยดีไหม?” หลิงตู้ฉิงถาม
จ้าวเหมิงลู่ตอบ “ไม่ได้! ท่านต้องไปหาคนมาสู่ขอข้าที่ตระกูลก่อน และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะไม่มาที่นี่ จนกว่าท่านจะส่งใครก็ตามมาสู่ขอข้า ข้าจะรอท่านอยู่ที่ตระกูลข้าเท่านั้น ข้าขอเตือนท่านนะหลิงตู้ฉิง ท่านต้องรีบมาสู่ขอข้าให้เร็วที่สุดไม่งั้นข้าจะหนีท่านไปแต่งงานกับคนอื่น! แล้วอย่าลืมไปสถาบันราชวงศ์ในวันพรุ่งนี้ด้วย!”
เมื่อจ้าวเหมิงลู่พูดจบนางก็รีบวิ่งออกจากคฤหาสน์ไป
หลังจากที่จ้าวเหมิงลู่จากไป หลิงตู้ฉิงก็ใช้คริสตัลสื่อสารติดต่อหาโม่หยูถังให้มาหาเขาทันที
เมื่อโม่หยูถังเดินเข้ามาหาเขา หลิงตู้ฉิงจึงบอกความตั้งใจของจ้าวเหมิงลู่กับโม่หยูถัง
โม่หยูถังเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดเขาหัวเราะ “นายท่าน อันดับแรกเราต้องหาพ่อสื่อหรือไม่ก็แม่สื่อที่เป็นคนใหญ่คนโตก่อน ยิ่งคนที่เราส่งไปตระกูลจ้าวมีสถานะอยู่ในตระกูลที่สูงส่งขนาดไหน ก็จะยิ่งแสดงถึงการให้เกียรติตระกูลจ้าวมากขึ้นเท่านั้น นี่เป็นธรรมเนียมปกติที่ปฏิบัติกันทั่วไป นอกจากนี้เรายังต้องเตรียมของขวัญเป็นสินสอดที่อาจจะต้องล้ำค่าสักหน่อยให้สมฐานะของท่าน”
“พ่อสื่อแม่สื่อที่อยู่ในตระกูลใหญ่? สินสอดอันล้ำค่า?” หลิงตู้ฉิงพึมพำ
หลิงตู้ฉิงปวดหัวอย่างมากกับการเลือกสินสอด ของล้ำค่า? ก็ต้องเป็นสมบัติวิเศษ? และเนื่องจากสมบัติวิเศษที่หลิงตู้ฉิงคิดว่าล้ำค่าสำหรับเขา สมบัติเหล่านั้นมันแทบจะเป็นสิ่งที่คนธรรมดาน้อยคนมากที่จะสามารถนำไปใช้งานได้
ตัวอย่างเช่น หลิงจู้ที่คนธรรมดามองว่ามันมีค่า แต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นสิ่งที่ธรรมดามากและไม่สามารถถือได้ว่ามีค่าอะไรสักเท่าไหร่ นอกจากนี้แม้ว่าเขาจะมอบหลิงจู้ให้กับตระกูลจ้าวแต่จำนวนคนของตระกูลจ้าวที่สามารถใช้หลิงจู้ได้นั้นก็อาจจะไม่มีเลยสักคน
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดใช้ความคิดอย่างหนักเรื่องนี้ โม่หยูถึงจึงพูดเสนอความคิด “นายท่าน เอาอย่างนี้ไหม ท่านก็ให้ปู่ของท่านที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ไปเป็นพ่อสื่อให้ท่านสิ เท่านี้ท่านก็ไม่ต้องห่วงเรื่องหน้าตาของตระกูลจ้าวแล้ว ส่วนเรื่องสินสอด ท่านก็เตรียมพวกสมบัติวิเศษอะไรก็ได้ที่ดี ๆ หน่อยให้กับพวกเขา เท่านี้ก็เพียงพอแล้วนายท่าน”
“อืมดีเป็นความคิดที่ดี! แล้วสินสอดนี่ข้าให้เป็นสมบัติระดับวิญญาณนี่เจ้าว่าเพียงพอไหม?” หลิงตู้ฉิงถามด้วยความสับสน
“นายท่าน ข้าว่ามันออกจะระดับสูงไปหน่อย ข้าเกรงว่าต่อให้ท่านให้พวกเขาไป พวกเขาอาจจะใช้มันไม่ได้อยู่ดี” โม่หยูถังยิ้มอย่างขมขื่น
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะสร้างอาวุธแบบง่าย ๆ ให้กับพวกเขาก็แล้วกันใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็เสร็จ แต่ข้าต้องไปเตรียมวัตถุดิบสักหน่อย”
เมื่อพูดจบหลิงตู้ฉิงก็เดินจากไปเริ่มเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ ส่วนโม่หยูถังเองก็ทำหน้าที่อย่างรู้งานโดยไม่จำเป็นต้องให้หลิงตู้ฉิงบอก นั่นคือเขาได้เดินไปหาหลิงฉุยฟงเพื่อให้เขาไปเชิญหลิงเจิ้งสงมาเป็นพ่อสื่อให้กับหลิงตู้ฉิง
เมื่อหลิงฉุยฟงได้รับแจ้งจากโม่หยูถังว่าหลิงตู้ฉิงต้องการที่จะให้พ่อของเขาเป็นพ่อสื่อ หลิงฉุยฟงก็รู้สึกว่าเรื่องนี้พ่อของเขาน่าจะยินดีทำให้อยู่แล้ว เนื่องจากการที่พ่อของเขาให้ความสำคัญกับหลิงตู้ฉิง ซึ่งเขาต้องเห็นด้วยกับเรื่องนี้ หลังจากนั้นหลิงฉุยฟงก็ส่งข่าวไปยังหลิงเจิ้งสงในทันที
หลิงเจิ้งสง ในขณะนี้ที่เขากำลังนั่งคิดถึงเรื่องของหลิงตู้ฉิงอยู่ จู่ ๆ เขาก็ได้รับการติดต่อจากหลิงฉุยฟงในเรื่องการเป็นพ่อสื่อ เขารู้ได้ทันทีว่านี่เป็นโอกาสที่จะสร้างความพอใจให้กับหลิงตู้ฉิง และเป็นการทำดีไถ่โทษในประเด็นที่ลูกหลานตระกูลเขาไปดูถูกลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิง
เมื่อคิดได้สักพัก เขาจึงรีบบินไปยังทิศทางที่คฤหาสน์ตระกูลจ้าวตั้งอยู่ทันที
หลิงเจิ้งสงที่รับหน้าที่เป็นพ่อสื่อ เมื่อบินไปถึงคฤหาสน์ตระกูลจ้าว เขาตรงเข้าไปคุยกับจ้าวปาเทียนและพ่อแม่ของจ้าวเหมิงลู่ทันที เขาพูดอย่างตรงประเด็นถึงจุดประสงค์ในการมาเยือนครั้งนี้เพื่อสู่ขอจ้าวเหมิงลู่ให้กับหลิงตู้ฉิง
พ่อแม่ของจ้าวเหมิงลู่เมื่อเห็นหลิงเจิ้งสงเป็นผู้ออกหน้าเองเพื่อเป็นพ่อสื่อให้ พวกเขาจึงไม่อาจปฏิเสธอะไรได้ ประกอบกับการแต่งงานครั้งนี้เป็นความสมัครใจของลูกสาวของพวกเขาเองด้วย พวกเขาจึงตอบตกลง
เมื่อทั้งหลิงเจิ้งสง จ้าวปาเทียนและพ่อแม่ของจ้าวเหมิงลู่ตกลงกันได้เรียบร้อย หลิงเจิ้งสงจึงกลับไป
หลังจากส่งหลิงเจิ้งสงกลับไป พ่อของจ้าวเหมิงลู่ จ้าวเทียนจุนพูดกับจ้าวปาเทียน พ่อของเขาว่า “ท่านพ่อ ข้าสังเกตเห็นได้ว่าท่านแม่ทัพใหญ่หลิงนั้นค่อนข้างที่จะเอาใจหลิงตู้ฉิงเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแค่ที่เราได้ข่าวว่าเขาซื้อคฤหาสน์สราญรมย์ให้เพียงเท่านั้น แต่นี่เขาถึงกับออกหน้าด้วยตนเองมาเป็นพ่อสื่อให้ ข้าว่าความสำคัญของหลิงตู้ฉิงในใจของหลิงเจิ้งสงนั้นมากเกินกว่าหลานธรรมดาทั่วไปแล้วแน่นอน”
จ้าวปาเทียนพยักหน้าและพูดว่า “อืม ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าหลิงเจิ้งสงจะออกหน้าแทนแบบนี้ นี่มันเป็นไปได้ว่าอาจจะมีเรื่องความลับอะไรบางอย่างของหลิงตู้ฉิง ที่หลิงเจิ้งสงยังต้องเอาใจเขาเป็นอย่างมาก”
จ้าวเทียนจุนถอนหายใจ “เฮ้อ ข้าเองในตอนแรกคิดไว้ว่าจะจับคู่ให้เหมิงเอ๋อกับพวกเชื้อพระวงศ์สักหน่อย หากไม่ใช่เพราะนางดื้อดึงดันปฏิเสธอยู่ตลอดเวลา ป่านนี้ข้าคงให้นางแต่งงานไปแล้ว ถึงแม้ว่าหลิงตู้ฉิงนั้นจะอยู่ในตระกูลหลิง แต่สถานะของเขาก็เป็นแค่ลูกของบุตรนอกสมรสเท่านั้น ซึ่งมันไม่ค่อยจะดูดีเอาซะเลย”
จ้าวปาเทียนหัวเราะแล้วพูดว่า “สำหรับข้า ขอแค่เหมิงเอ๋อชอบพอในตัวเจ้าหนุ่มนั่นก็เพียงพอ และต่อให้เจ้าหนุ่มหลิงตู้ฉิงนั่นจะเป็นลูกของบุตรนอกสมรสแล้วจะเป็นไง ด้วยความแข็งแกร่งและความลึกลับพิสดารของเขา ข้ามั่นใจว่าไอ้เจ้าหนุ่มนั่นจะสามารถทำให้หลานของข้ามีชีวิตที่ดีได้แน่นอน”
“ข้าเข้าใจท่านพ่อ แต่ยังไงซะเราต้องมาดูกันก่อนว่าสินสอดที่ทางฝั่งตระกูลหลิงเตรียมมาจะเป็นอย่างไร หากสินสอดที่พวกเขาเตรียมมาไม่สมเกียรติกับตระกูลของเราแล้วล่ะก็ ฮึ่ม ข้าจะไม่ยกลูกสาวข้าให้กับพวกเขาแน่!” จ้าวเทียนจุนพูดขึ้น
ในระหว่างที่พ่อลูกตระกูลจ้าวกำลังคุยกันอยู่นั้น ทางด้านหลิงตู้ฉิงเองตอนนี้เขาได้หลอมอาวุธที่ไว้ใช้สำหรับเป็นสินสอดให้กับตระกูลจ้าวอยู่จนมืดค่ำ
อาวุธที่หลอมขึ้นมานี้ออกมากลายเป็นคันฉ่อง ขนาดของมันเท่าหัวคน ส่วนกรอบถูกขึ้นรูปเป็นลักษณะจันทร์เสี้ยวและประดับประดาไปด้วยลวดสีน้ำเงินแวววาว
“นายท่าน อาวุธชิ้นนี้ที่ท่านหลอมขึ้นมันคือสมบัติระดับวิญญาณขั้นไหนกัน?” โม่หยูถังที่มองไปยังคันฉ่องด้วยความสงสัยได้เอ่ยถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงที่กำลังเพ่งพินิจคันฉ่องที่อยู่ในมือด้วยสายตาผิดหวังและพูดว่า “น่าเสียดาย วัสดุที่ข้ามีอยู่นั้นมีระดับต่ำเกินไป ข้าจึงทำได้แค่ หลอมอาวุธชิ้นนี้ให้อยู่ได้แค่ระดับวิญญาณขั้นสูงเท่านั้น แต่ข้าได้จารึกอักขระกฎของโลกลงไป มันจึงสามารถยืมพลังวิญญาณจากรอบ ๆ ตัวมันมาใช้ได้ และการใช้งานมันนั้นง่ายมาก ข้าปรับแต่งให้มันใช้เพียงแค่การสังเวยโลหิตของผู้เป็นเจ้าของเพื่อเปิดใช้งานมัน ส่วนพลังอำนาจของมันนั้นเพียงพอที่จะสังหารผู้ที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราได้ทั้งหมด”
เมื่อโม่หยูถังได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิงเขาทำหน้าตางุนงง เขารู้สึกว่าความสามารถของหลิงตู้ฉิงนั้นลึกลับเกินจะหยั่งถึงมากเกินไป
สามารถที่จะหลอมอาวุธระดับวิญญาณขั้นสูงโดยใช้เพียงวัสดุระดับต่ำ โม่หยูถังรู้สึกว่าตัวตนของหลิงตู้ฉิงมันออกจะขัดกับหลักสามัญสำนึกไปหน่อยไหม?
“นายท่าน ข้ามีเรื่องที่จะขอร้องท่าน ในอนาคตข้าขอรบกวนให้นายท่านช่วยหลอมอาวุธให้ข้าสักหน่อย ไม่ทราบว่านายท่านจะว่าอะไรไหม?” โม่หยูถังถือโอกาสลองขอหลิงตู้ฉิงดูบ้าง
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดว่า “ไม่มีปัญหา ขอเพียงเจ้านำพวกแร่หรือวัตถุดิบมาให้ข้า ข้าจะหลอมให้เจ้าด้วยตัวข้าเอง ส่วนเรื่องการบ่มเพาะของเจ้า รอให้ข้าทะลวงไปถึงขอบเขตประสานทะเลปราณเสียก่อน จากนั้นข้าจะช่วยให้เจ้าบ่มเพาะได้อีกครั้งหนึ่ง”
“ขอบคุณ นายท่าน!” โม่หยูถังโค้งคำนับหลิงตู้ฉิงด้วยความดีใจ
วันถัดมา เมื่อถังชี่หยุนเลิกชั้นเรียน หลิงตู้ฉิงได้ยื่นเหรียญตราสีทองแปดเหลี่ยมอันใหม่ที่ใช้สำหรับควบคุมค่ายกลบริเวณรอบอาณาเขตคฤหาสน์สราญรมย์ให้หลิงยู่ชาน
จากนั้นเมื่อหลิงตู้ฉิงตรวจสอบความเรียบร้อยของคฤหาสน์จนหมดแล้ว เขาจึงเรียกเสี่ยวเยว่เฟิงให้ไปส่งเขาที่สถาบันราชวงศ์ทันที