พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 11 ปลุกพรสวรรค์![รีไรท์]
บทที่ 11 ปลุกพรสวรรค์![รีไรท์]
หลิงไช่หยุนซึ่งมีอายุเพียง 3 ขวบ ตอนนี้ตัวนางถูกกดตัวไว้โดยพ่อของนาง นางจะหนีจากอ่างอาบน้ำได้อย่างไร?
นางจึงจำใจต้องทำการดูดซับธาตุไฟทั้งหมดลงในร่างกายอย่างช่วยไม่ได้ ในขณะที่ประท้วงเสียงดัง
“ท่านพ่อ ท่านเป็นจอมโกหก!” หลิงไช่หยุนตะโกน “ท่านไม่เคยโกหกข้ามาก่อน แต่ 2 วันที่ผ่านมาท่านโกหกข้ามาหลายครั้งแล้วนะ!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เจ้าไม่ต้องสนใจว่าพ่อจะเคยหรือไม่เคยโกหกเจ้ามาก่อนหรือเปล่าหรอก แต่ตอนนี้เจ้าจงทำตามที่พ่อบอกและดูดซับพลังธาตุไฟเข้าไปในร่างแต่โดยดีซะเถอะ!”
เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ดังลั่นของหลิงไช่หยุน ทุกคนในเรือนจึงเริ่มเดินมาดูที่ลาน
เมื่อทุกคนมาถึงพวกเขาต่างสับสน ไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงต้องการทำอะไรถึงได้กดหลิงไช่หยุนลงไปในอ่างอาบน้ำ
หลิงว่านถิงมองไปที่หม้อยาแล้วมองไปที่อ่างอาบน้ำก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ท่านพ่อท่านกำลังเคี่ยวเนื้อเหรอ? ไม่ต้องเป็นกังวลไป เดี๋ยวข้าจะรอล้างทำความสะอาดหม้อให้ท่านเอง พวกเราจะได้กินเนื้อในคืนนี้แล้ว ฮี่ฮี่ฮี่”
หลิงไช่หยุนตะโกนสวนทันทีว่า “ท่านพี่ท่านก็เป็นคนหลอกลวงเหมือนท่านพ่อ!”
มีเพียงจ้าวเหมิงลู่และโม่หยูถังเท่านั้นที่ดูเคร่งเครียดเมื่อเห็นการกระทำของหลิงตู้ฉิง พวกเขาเดาว่าน่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าการกระทำของหลิงตู้ฉิงหมายถึงอะไร
ในขณะที่ทุกคนเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ หลิงไช่หยุนดูดซับธาตุไฟจำนวนมากในอ่างอาบน้ำ
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่กำลังดิ้นรนอย่างรุนแรง ส่งผลให้นางสำลักน้ำ นางพยายามจะขย้อนน้ำในคอออกมา
อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะแก้แค้น หลิงไช่หยุนได้หันไปอาเจียนใส่พ่อของนาง หลังจากพ่นออกมาครั้งหนึ่ง นางก็พ่นออกมาอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ในครั้งที่สองนี้สิ่งที่ออกมาจากปากนางไม่ใช่น้ำแต่เป็นเปลวเพลิงพุ่งออกจากปากของนางไปทางหลิงตู้ฉิงแทน
หลิงตู้ฉิงเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้จึงรีบปิดปากของหลิงไช่หยุนด้วยมือของเขาและผนึกจุดลมปรานทั้งหมดของนางในเวลาเดียวกัน เมื่อไม่มีช่องให้นางปล่อยเปลวเพลิงที่อยู่ภายในร่างกาย ขณะที่นางกำลังหายใจไม่ออก ร่างของนางก็เริ่มมีเปลวเพลิงลุกขึ้นทั่วกาย
เมื่อเปลวเพลิงปกคลุมไปทั่วกายนาง หลิงไช่หยุนก็หมดสติ
หลิงตู้ฉิงอุ้มนางออกจากอ่าง ไม่สนใจว่าร่างกายของนางถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง จากนั้นเขาก็เริ่มตีก้นของนางเบา ๆ
เมื่อตีไปได้สักพัก หลิงไช่หยุนก็คืนสติและดึงเปลวไฟกลับเข้าไปในร่างกายของนาง
ทันทีที่นางตื่นขึ้นมานางก็ส่งเสียงดัง นางรู้สึกเสียใจและพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านไม่รักข้าอีกแล้ว ท่านทำให้ข้าหายใจไม่ออกจนเกือบตาย!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ” พ่อจะคิดร้ายต่อเจ้าได้อย่างไร เจ้าควรลองโคจรทักษะพลังชีพหวนคืนก่อนแล้วคอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
หลิงไช่หยุนกำลังร้องไห้ขณะที่นางกำลังรู้สึกเสียใจ นางค่อย ๆ แอบโคจรเคล็ดวิชาพลังชีพหวนคืน นางจึงหยุดร้องไห้
จากนั้นก็มองหลิงตู้ฉิงด้วยความประหลาดใจ
หลิงตู้ฉิงลูบหัวของหลิงไช่หยุนและพูดพร้อมกับยิ้มว่า “เอาล่ะ เจ้าไปเล่นได้แล้ว พ่อจะ ‘อาบน้ำ’ ให้เจ้าในอีกไม่กี่วันนี้ข้างหน้านี้ จงฝึกฝน ‘พลังชีพหวนคืน’ ให้ดีมันจะช่วยให้เจ้าตัวสูงขึ้น”
คราวนี้หลิงไช่หยุนไม่ปฏิเสธ นางหอมแก้มหลิงตู้ฉิง และพูดเบา ๆ ว่า “ท่านพ่อ คืนนี้ท่านต้องนอนอยู่กับข้า ท่านสัญญากับข้าแล้วนะว่าจะนอนกับข้า 1 เดือน”
“เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่มีปัญหา!” หลิงตู้ฉิงตกลง
จ้าวเหมิงลู่และโม่หยูถังมองหลิงตู้ฉิงราวกับว่าพวกเขากำลังดูสัตว์ประหลาด ด้วยอายุเพียงเท่านี้หลิงไช่หยุนสามารถบ่มเพาะได้แล้วหรือ?
ไม่ใช่ว่านางควรจะฝึกฝนได้หลังจากอายุครบ 7 ปีไม่ใช่หรือ?
ยิ่งกว่านั้นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้พึ่งจะถูกไฟคลอกทั่วร่างกายแต่กลับไม่เป็นอะไร สถานการณ์แบบนี้มันคืออะไร
นอกเหนือจากนั้นทำไมพลังของเปลวเพลิงของนางจึงดูรุนแรงโหดเหี้ยมนัก
ในเวลานี้หลิงตู้ฉิง ส่งยิ้มให้กับลูก ๆ ของเขาที่ยืนตะลึงอยู่และพูดว่า “การปลุกพรสวรรค์ของไช่หยุนนั้นง่ายที่สุดดังนั้นพ่อจึงปลุกพรสวรรค์ของนางขึ้นมาก่อน หลังจากนี้พ่อจะช่วยปลุกพรสวรรค์ของพวกเจ้าทุกคนให้ตื่นขึ้น สำหรับพ่อแล้วพวกเจ้าทุกคนล้วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน”
จากที่ทุกคนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลิงไช่หยุน เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิงทุกคนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างเริ่มไม่เข้าท่า
หลิงว่านถิงพูดอย่างเกรงกลัว “ท่านพ่อพวกเราจะเป็นลมเหมือนไช่หยุนหรือไม่”
“ก็อาจจะไม่!”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นกลับรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม
อย่างไรก็ตามสิ่งที่จ้าวเหมิงลู่กังวลเป็นเรื่องอื่น นางถามอย่างไม่แน่ใจ “ไช่หยุนนาง…สำเร็จวิชาพลังชีพหวนคืนแล้วงั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองมาที่นางแล้วพูดว่า “ในตอนนี้เจ้าสามารถไปขอคำแนะนำจากนางได้”
จ้าวเหมิงลู่ปิดหน้าตัวเองแล้ววิ่งหนีไป ตอนนี้นางเชื่อแล้วจริง ๆ ว่านางโง่มากไม่สามารถแม้แต่จะเปรียบได้กับเด็กอายุ 3 ขวบได้เลย!
แต่ถึงแม้ว่านางจะอับอายแค่ไหนก็ตาม นางจำเป็นต้องเรียนรู้เคล็ดวิชาพลังชีพหวนคืน ดังนั้นนางจึงจำเป็นต้องไปหาหลิงไช่หยุน
เมื่อเห็นหลิงไช่หยุนฝึกฝนอย่างจริงจัง จ้าวเหมิงลู่จึงพูดพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “ไช่หยุนน้อย พี่สาวขอถามได้ไหมว่าเจ้าฝึกทักษะพลังชีพหวนคืนได้อย่างไร?”
“พี่สาว?” หลิงไช่หยุนหยุดการฝึกฝนและถามว่า “ถ้าท่านให้ข้าเรียกท่านว่าพี่สาว ท่านจะไม่สามารถเป็นแม่ของข้าได้นะ”
จ้าวเหมิงลู่ตกตะลึง นางอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้าหมายความว่ายังไง?”
หลิงไช่หยุนมองจ้าวเหมิงลู่แล้วพูดว่า “ถึงท่านจะโง่นิดหน่อย แต่ก็ให้เงินกับพวกเรามากมาย นอกจากนี้พ่อของข้าน่าจะมีความรู้สึกบางอย่างกับท่านไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่น่าจะพาท่านกลับมา!
ท่านเป็นหญิงสาวคนแรกที่ท่านพ่อพากลับมาที่เรือนและท่านก็สวยพอที่จะเป็นแม่ของข้า! ต่อไปนี้ข้าจะเรียกท่านว่า ‘ท่านน้า’ เว้นแต่ท่านจะไม่ต้องการเป็นแม่ของข้าจริง ๆ ข้าถึงจะเรียกท่านว่าพี่สาว”
“แม่ของเจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ?” จ้าวเหมิงลู่ถามด้วยความอยากรู้
หลิงไช่หยุนพูดอย่างใจเย็น “พวกเราล้วนเป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อแม่ ท่านพ่อคือพ่อบุญธรรมของเรา”
ในที่สุดจ้าวเหมิงลู่ก็เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างหลิงตู้ฉิงและเด็กเหล่านี้เสียที นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็รู้สึกประหม่าอีกครั้งทันที
เพราะนางรู้สึกว่าตัวนางนั้นโง่มาก ๆ และเด็ก ๆ เหล่านี้ต่างก็ฉลาดเป็นกรด นางจะเป็นแม่ให้พวกเขาได้อย่างไร?
นางควรจะบอกกับหลิงไช่หยุนว่านางกับหลิงตู้ฉิงรู้จักกันแค่วันสองวัน และนางยังไม่ได้มีความคิดตั้งใจจะแต่งงานกับหลิงตู้ฉิงดีไหม?
หลิงไช่หยุนมองจ้าวเหมิงลู่ และพูดว่า “ท่านน้า ข้าจะสอนวิชาพลังชีพหวนคืนให้ท่าน”
จากนั้นทั้งสองก็เริ่มฝึกวิชา
ในอีกด้านหนึ่ง หลิงตู้ฉิงได้นำแก่นแท้เลือดที่เขารวบรวมมาก่อนหน้านี้เทลงในหม้อยาเพื่อเริ่มการกลั่น
ในขณะที่โยนโน่นโยนนี่จากแหวนมิติลงไปในหม้อ เขาก็ยิ้มให้หลิงยู่ชาน
เมื่อเห็นรอยยิ้มของหลิงตู้ฉิง หลิงยู่ชานและโม่หยูถังก็รู้สึกขนลุกซู่
“ท่านพ่อ ท่านอย่ายิ้มแบบนี้ ท่านทำให้ข้าเริ่มรู้สึกกลัวแล้วนะ!” หลิงยู่ชานพูดอย่างกลัว ๆ
อย่างไรก็ตามหลิงตู้ฉิงไม่ได้หยุดยิ้ม ตรงกันข้ามรอยยิ้มของเขากลับยิ่งแปลกขึ้นเรื่อย ๆ
“จ้าวเหมิงลู่! เอาอสูรเกราะเหล็กมาให้ข้าด้วย!” หลิงตู้ฉิงตะโกนอย่างกะทันหัน
จ้าวเหมิงลู่ที่กำลังเรียนรู้ทักษะอายุยืนรีบเอามาให้และถามว่า “ข้าจะขยายมันได้อย่างไร”
“เจ้าจะต้องผวนตราประทับใหม่เพื่อให้สิ่งของมันขยายใหญ่ขึ้น จากนั้นมันถึงจะเป็นการลบตราประทับเดิมทิ้งออกไป” หลิงตู้ฉิงวาดนิ้วของเขาไปบนร่างของอสูรเกราะเหล็กและถอนตราประทับของจ้าวเหมิงลู่ออก ทันใดนั้นร่างของอสูรเกราะเหล็กก็ถูกขยายใหญ่ขึ้นบนลานทำให้ทุกคนตกตะลึง
หลังจากนั้นหลิงตู้ฉิงก็เอาเลือดของอสูรเกราะเหล็กมา 2-3 หยดและใส่ลงในหม้อ จากนั้นเขาก็นำเอาเลือดของอสูรเพลิงปฐพีใส่ลงไปในหม้อและเริ่มคนมันให้เข้ากัน
เมื่อเห็นว่ายาในหม้อเดือดได้ที่แล้วหลิงตู้ฉิงตะโกนไปยังหลิงยู่ชานที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ “อ้าปาก!”
หลิงยู่ชานอ้าปากโดยไม่รู้ตัว จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็จี้จุดปิดผนึกไม่ให้หลิงยู่ชานขยับตัวได้ และเขาก็ตักเลือดที่เดือดแล้วเทใส่ปากของหลิงยู่ชาน
เมื่อเห็นเลือดที่กำลังเดือดหลิงยู่ชานตกใจมาก เขาพยายามจะหุบปากทันที แต่กลับพบว่าตนเองไม่สามารถหุบปากหรือขยับได้ เขามองหลิงตู้ฉิงอย่างอับจน เมื่อเลือดเดือดถูกเทเข้าปาก มันร้อนเหมือนเหล็กหลอมเดือด ๆ ไหลผ่านเข้าไปในท้องมันแทรกซึมเข้าไปในทุกส่วนของร่างกายทำให้เขาก็เจ็บปวดเป็นอย่างมาก
หลิงว่านถิงและคนอื่น ๆ เหงื่อแตกพลัก นี่เป็นอะไรที่น่าเจ็บปวดและน่ากลัวกว่าการปลุกพรสวรรค์ของหลิงไช่หยุนเสียอีก
“ท่านพ่อ ทำไมถึงได้โหดร้ายกับพี่ยู่ชานแบบนี้?” หลิงว่านถิงทำอะไรไม่ได้นอกจากถามพร้อมกลืนน้ำลาย
หลิงตู้ฉิงตอบด้วยรอยยิ้ม “ต่อไปจะมีเรื่องที่โหดร้ายมากกว่านี้อีก!”
อันที่จริงแล้วในใจของหลิงตู้ฉิงเองก็ยุ่งเหยิงมากเช่นกันแต่นี่คือวิธีปลุกสายเลือดทรราชย์สวรรค์ให้ตื่นขึ้นมา แม้ว่าหลิงยู่ชานจะได้รับความทุกข์ทรมานบ้าง แต่หลังจากนี้เจ้าตัว(หลิงยู่ชาน)จะได้รู้เองว่าสายเลือดนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่สายเลือดที่ทรงพลังธรรมดา ๆ ทั่วไป !
แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่หลิงตู้ฉิงไม่ได้เผยออกมาอีกเรื่องหนึ่งคือ นี่เป็นแค่การปลุกพรสวรรค์สายเลือดหลิงยู่ชานเพียงส่วนเดียว มันยังมีขั้นตอนมากมายอีกในอนาคตที่หลิงยู่ชานจะต้องเผชิญ
เมื่อเห็นการแสดงออกของหลิงตู้ฉิง ในตอนนี้ทุกคนก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัวต่อชะตากรรมการฝึกของตนเองที่ในอนาคตพวกเขาจะต้องเผชิญเช่นกัน