พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 113 คณะเปิดชั่วคราว[รีไรท์]
บทที่ 113 คณะเปิดชั่วคราว[รีไรท์]
หลิงตู้ฉิงไม่ได้พาใครติดตามมาด้วยนอกจากเสี่ยวเยว่เฟิงที่เป็นสารถีและกงหนิวที่ทำหน้าที่ลากรถม้า
หลังจากมาถึงหน้าสถาบันราชวงศ์ เสี่ยวเยว่เฟิงจึงเก็บรถม้าไว้ในแหวนมิติ ส่วนกงหนิวเองก็ย่อตัวลงให้มีขนาดเท่ากับกระทิงปกติธรรมดา และเก็บเพลิงที่ลุกโชนอยู่รอบกายกลับเข้าไปเพื่อที่จะได้ไม่เป็นจุดสนใจกับผู้คนในสถาบันจนมากเกินไป
จ้าวปาเทียนที่ทราบจากปากของหลิงตู้ฉิงว่าวันนี้เขาจะมาที่สถาบัน ด้วยความที่เขากลัวว่าจะมีบางอย่างผิดพลาดเกิดขึ้น เขาจึงแจ้งให้เฮ่อเจี้ยนปิงยืนรอรับพวกของหลิงตู้ฉิงที่ทางเข้าสถาบัน
“อาจารย์หลิง ท่านอาจารย์ส่งข้ามาให้ช่วยเหลือท่านจัดการเกี่ยวกับการบริหารต่าง ๆ ในคณะใหม่ที่ท่านอาจารย์ตั้งขึ้นมาให้ท่าน” เฮ่อเจี้ยนปิงพูดกับหลิงตู้ฉิงอย่างสุภาพ
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและถามขึ้น “แล้วจ้าวเหมิงลู่ล่ะ นางอยู่ที่ไหน ทำไมหลายวันมานี้นางถึงไม่หาข้าที่คฤหาสน์เลย”
“เอ่อ…อาจารย์หลิง ข้าเกรงว่าข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน…” เฮ่อเจี้ยนปิงพูดไม่ออก เขาได้แต่คิดว่าท่านเป็นคู่หมั้นกับนางแท้ ๆ ถ้าท่านไม่รู้แล้วข้าจะรู้ได้ยังไง?
“ไม่เป็นไร ถ้าเช่นนั้นเจ้าช่วยส่งข่าวให้นางมาเป็นผู้ช่วยข้าที” หลิงตู้ฉิงพูดต่อ “นอกจากนี้แนะนำข้าทีว่าการอยู่ที่นี่ข้าต้องทำอะไรบ้างและควรจัดการอะไรยังไงกับคณะใหม่ที่อาจารย์เจ้าตั้งขึ้นมาให้ข้า”
เฮ่อเจี้ยนปิงเมื่อได้ยินคำสั่งของหลิงตู้ฉิงเขาจึงตอบกลับ “ไม่มีปัญหาอาจารย์หลิง ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้อาจารย์ทราบ แต่อันที่จริงเรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหา จ้าวเหมิงลู่นางสำเร็จการศึกษาแล้ว ดังนั้นนางจึงสามารถเป็นผู้ช่วยให้ท่านได้”
เมื่อพูดจบเฮ่อเจี้ยนปิงจึงพาหลิงตู้ฉิงเดินดูสถานที่ต่าง ๆ บริเวณรอบสถาบัน จนสุดท้ายพวกเขาจึงได้มาหยุดอยู่ที่อาคารที่ดูโอ่อ่าขนาดใหญ่สองชั้นที่อยู่พื้นที่ด้านหลังของสถาบัน
“อาจารย์หลิง นี่คืออาคารของคณะเราที่จะใช้ในการเรียนการสอน ภายในนั้นมีอุปกรณ์การเรียนการสอนอย่างครบครันไม่ว่าจะเป็น ลานฝึกในร่ม ห้องบรรยายขนาดใหญ่ ห้องนิรภัยที่ไว้ใช้สำเร็จปิดด่านทะลวงขอบเขต และอื่น ๆ ส่วนเรื่องนักศึกษาของคณะเรา วันพรุ่งนี้ข้าจะประกาศรับสมัครนักศึกษาเข้าร่วมคณะของเรา ท่านเห็นด้วยหรือไม่อาจารย์หลิง”
“ไม่มีปัญหา พรุ่งนี้เจ้าออกประกาศรับสมัครได้เลย แต่ระบุไว้ว่าเราจะเปิดรับสมัครแค่เพียงวันเดียวและวันมะรืนจะเป็นการเปิดการสอนครั้งแรก” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ
“เช่นนั้นท่านหลิงโปรดเดินสำรวจอาคารดูด้วยตนเองตามสบาย ข้าขอตัวไปจัดการ เรื่องของคณะก่อน” เฮ่อเจี้ยนปิงกล่าว
“ไปเถอะ” หลิงตู้ฉิงตอบ
เมื่อได้ยินที่หลิงตู้ฉิงตอบ เฮ่อเจี้ยนปิงจึงจากไปจัดการงานเอกสารการรับสมัครนักศึกษาเข้าร่วมคณะทันที เขารู้ว่าแม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะเป็นคณบดีของคณะ แต่ด้วยลักษณะนิสัยของหลิงตู้ฉิงที่ไม่ชอบอะไรวุ่นวาย เขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าหน้าที่การจัดการดำเนินงานของคณะนี้เขาต้องรับผิดชอบเองทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว
บรรดานักศึกษาและอาจารย์ทุกคนต่าง งงงวยกับการเปิดตัวของคณะใหม่ที่ตอนนี้ใช้ชื่อว่า ‘คณะเปิดชั่วคราว’
แต่เดิมสถาบันราชวงศ์นั้นมีคณะอยู่ 4 คณะหลัก ประกอบไปด้วย คณะศาสตร์ยุทธ คณะโอสถศาสตร์ คณะช่างหลอม และคณะเตรียมทหาร
แต่ตอนนี้กลับมีคณะใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ทุกคนในสถาบันประหลาดใจอย่างมาก แถมชื่อที่ถูกตั้งขึ้นยังเป็นชื่อแปลก ๆ ที่ดูเหมือนไม่เต็มใจอยากจะเปิดยังไงยังงั้นก็ไม่รู้ และข้อมูลของคณะอะไรต่าง ๆ ก็ไม่ได้ระบุว่าเปิดขึ้นมาเพื่อจะมุ่งเน้นการสอนไปที่สาขาวิชาแขนงไหน ไม่มีการระบุจำนวนที่เข้ารับสมัครได้กี่คน ไม่มีอะไรเลยนอกจากการประกาศชื่อคณะออกมาโต้ง ๆ และมีการเปิดลงทะเบียนนักศึกษาเพื่อเข้าสู่คณะ
เมื่อมีเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้เกิดขึ้น เสียงวิจารณ์ของเหล่านักศึกษาจึงดังขึ้นทั่วสถาบัน
“พวกเจ้า ได้ยินเรื่องคณะชั่วคราวอะไรนั่นที่เปิดใหม่กันไหม?”
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมข้าจะไม่ได้ยินกันเล่า!”
“พวกเบื้องบนของสถาบันพวกเขากำลังทำบ้าอะไรกัน”
“ใครมันจะอยากไปสมัครไอ้คณะบ้านี่กัน รายละเอียดอะไรก็ไม่มีข้าไม่มีทางฝากอนาคตไว้ด้วยแน่!”
ส่วนใหญ่นักศึกษาแทบทุกคนจะมีความเห็นไปในทางลบแทบทั้งสิ้น
แต่ยังมีนักศึกษาบางส่วนที่สนใจในคณะใหม่ที่กำลังจะเปิดขึ้น
“เฮ้อ…ข้าศึกษามา 5 ปีเต็มแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถพัฒนาทักษะการหลอมโอสถได้สักที หลอมเท่าไหร่ยังไงโอสถของข้าก็ดันกลายเป็นยาพิษไปได้ซะทั้งหมดยังไงก็ไม่รู้ ข้าคงต้องถอดใจจากคณะโอสถศาสตร์ ลองย้ายไปคณะใหม่ดูก็แล้วกัน…”
ในวันถัดมา เมื่อหลิงตู้ฉิงมาที่สถาบันอีกครั้ง จ้าวเหมิงลู่ได้ยืนรอเขาอยู่แล้วที่หน้าอาคารคณะเปิดชั่วคราวของเขา
เมื่อนางเห็นหลิงตู้ฉิงกำลังเดินเข้ามา ด้วยความดีใจนางจึงวิ่งเข้าไปกระโดดกอดเขาทันทีพร้อมกับหัวเราะแล้วพูดว่า “นี่ท่านคิดถึงข้ามาก จนต้องร้องขอให้ข้ามาเป็นผู้ช่วยเชียวเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและตอบกลับ “ใช่ ข้านึกถึงเจ้า ไม่งั้นข้าจะให้เจ้ามาเป็นผู้ช่วยข้าเหรอ?”
เมื่อจ้าวเหมิงลู่ได้ยินเช่นนี้ นางยิ้มหน้าบาน “ได้ยินแบบนี้ข้าก็ชื่นใจ มา! ข้าจะพาท่านไปที่ห้องทำงาน”
นางจะไม่มีความสุขได้ยังไง ในเมื่อผู้ชายซื่อบื้อเหมือนท่อนไม้อย่างหลิงตู้ฉิงถึงขนาดเอ่ยออกมาว่านึกถึงนาง
ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่ที่มีอยู่หลายโต๊ะ เฮ่อเจี้ยนปิงที่กำลังวุ่นวายอยู่กับเอกสารต่าง ๆ เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าสองคู่ที่กำลังเดินเข้ามา เขาจึงเงยหน้าขึ้นเห็นหลิงตู้ฉิงและจ้าวเหมิงลู่กำลังเดินจูงมือกันเข้ามา
จ้าวเหมิงลู่ที่สังเกตเห็นว่าเฮ่อเจี้ยนปิงอยู่ในห้องทำงานและกำลังจ้องมายังนางและหลิงตู้ฉิง นางจึงรีบปล่อยมือที่จับไว้ด้วยความเขินอาย
เฮ่อเจี้ยนปิงที่เห็นอาการเขินอายของจ้าวเหมิงลู่ เขาแสร้งทำเป็นไม่สนใจและพูดขึ้นด้วยอารมณ์หม่นหมอง “อาจารย์หลิง ข้าได้ทำการประกาศรับสมัครนักศึกษาของคณะเราเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าการตอบรับดูเหมือนจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่…”
“แล้วตอนนี้มีกี่คนที่สมัครเข้ามา?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น
“อาจารย์หลิง ในตอนนี้มีผู้สมัครแล้วจำนวน 31 คน” เฮ่อเจี้ยนปิงตอบพร้อมกับยิ้มแห้ง ๆ
“ 31 คนเชียวเหรอ?” หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้ว “ทำไมจำนวนถึงได้เยอะขนาดนี้กัน ช่างมัน! คนมากหน่อยก็ได้ ในเมื่อพวกเขากล้ามาสมัครข้าก็กล้ารับเหมือนกัน”
“นี่ท่าน…” เฮ่อเจี้ยนปิงมองไปทางหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาแปลกประหลาด
โดยปกติแล้วหากคณะไหนเปิดการทดสอบเพื่อรับคน อย่างน้อยก็ต้องมีนักศึกษามาลงทะเบียนไม่ต่ำกว่าร้อย แต่เขากลับบอก 31 คนนี่เยอะเกินไปงั้นเหรอ!?
“อาจารย์หลิง ข้าคิดว่าพวกเราควรขยายเวลาการรับสมัครเพิ่มอีกสัก 2 วันดีไหม?” เฮ่อเจี้ยนปิงถามขึ้น ด้วยความกังวลว่าหากจำนวนคนในคณะน้อยจนเกินไปคณะที่เปิดใหม่ขึ้นมานี้ มันจะยิ่งเหมือนกลายเป็นเรื่องน่าตลกที่สุดของสถาบัน
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ไม่จำเป็น ให้ยึดตามแผนเดิม พรุ่งนี้คือวันสิ้นสุดการรับสมัคร มีคนมาสมัครเท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น”
เฮ่อเจี้ยนปิงพยักหน้าและเดินจากไป เขารีบเดินตรงไปที่ห้องทำงานของจ้าวปาเทียนทันที เพื่อรายงานผลการรับสมัครของคณะเปิดชั่วคราว
เฮ่อเจี้ยนปิงที่อยู่ในห้องทำงานจ้าวปาเทียนพูดด้วยสีหน้ากังวล “ท่านอาจารย์ ตอนนี้จำนวนผู้เข้าสมัครคณะเปิดชั่วคราว มีจำนวนน้อยกว่าที่เราคาดไว้มาก”
จากนั้นเฮ่อเจี้ยนปิงจึงเริ่มอธิบายสาเหตุและข่าวลือต่าง ๆ ในสถาบัน ที่บรรดานักศึกษาไม่มีความเชื่อมั่นในคณะใหม่ที่กำลังจะเปิด
จ้าวปาเทียนที่ได้ยินเช่นนั้น เขาขมวดคิ้วแน่นและพูดว่า “ข้าอุตส่าห์ลงทุนไปมากมายเพื่อให้เขามาสอนให้สถาบันเรา แล้วนี่กลับมีแค่นักศึกษาท้ายตารางแค่ 30 กว่าคนมาสมัครเข้าแค่นี้เนี่ยนะ! ไม่ได้! ในเมื่อบอกให้มาสมัครกันดี ๆ แล้วไม่มากัน ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องใช้ไม้แข็ง!”
หลังจากนั้นจ้าวปาเทียนจึงดำเนินการส่งประกาศออกไปทั่วสถาบันทันที เนื้อหาที่ส่งออกไปคือให้นักศึกษาหัวกะทิ 5 อันดับแรกของแต่ละคณะต้องเข้าร่วมกับคณะเปิดชั่วคราวที่ตั้งขึ้นมาใหม่
การประกาศเช่นนี้ส่งผลกระทบระลอกใหญ่ให้กับทั้งนักศึกษาและอาจารย์ทุกคนทั่วทั้งสถาบัน
อาจารย์หลายคนตะโกนร่ำร้องอยู่ในใจ ลูกศิษย์ที่พวกเขาอุตส่าห์สั่งสอนมากับมือจนได้ดิบได้ดี แต่จู่ ๆ กลับมีคำสั่งบ้า ๆ บอ ๆ ให้พวกเขานำลูกศิษย์ของตัวเองไปมอบให้คนอื่นดูแลต่อเนี่ยนะ?
ส่วนบรรดาลูกศิษย์ 5 อันดับแรก พวกเขารู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก พวกเขาที่ไม่เคยทำตัวบกพร่องและสร้างชื่อเสียงให้กับสถาบันมาตลอด จู่ ๆ กลับถูกอธิการบดีบังคับให้พวกเขาต้องไปเข้าร่วมกับคณะใหม่ ที่พวกเขาไม่รู้ถึงรายละเอียดอะไรของคณะเลยด้วยซ้ำ
ทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศนี้จึงรวมตัวกัน บุกเข้าไปยังห้องอธิการบดีเพื่อขอคำอธิบาย
เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากทั้งอาจารย์และนักศึกษา จ้าวปาเทียนจึงได้แต่พูดอย่างประนีประนอมกับบรรดานักศึกษา “เอาอย่างนี้ไหม พวกเจ้าก็ลองสมัครเข้าไปก่อน แล้วลองไปเข้าชั้นเรียนของคณะเปิดชั่วคราวในวันพรุ่งนี้ดู และหากเมื่อเข้าไปเรียนแล้วพวกเจ้าไม่พอใจ พวกเจ้าสามารถกลับไปอยู่คณะเดิมของพวกเจ้าต่อได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้บรรดานักศึกษาที่ในตอนแรกมีอารมณ์ที่เดือดดาล ตอนนี้พวกเขาจึงใจเย็นลงและจึงเดินออกไปจากห้องทำงานของจ้าวปาเทียน
เมื่อนักศึกษาทั้งหมดออกไป จ้าวปาเทียนจึงหันมาทางบรรดาอาจารย์และพูดว่า “ทุกท่าน พวกท่านเองก็รู้ใช่ไหมว่าหลิงตู้ฉิงเป็นใคร และก็รู้ใช่ไหมว่าเขาทำอะไรได้บ้าง ข้าไม่เข้าใจว่าพวกท่านจะกังวลใจอะไร พวกท่านไม่อยากให้ลูกศิษย์ของท่านได้รับการสั่งสอนโดยคนเก่งเช่นเขางั้นเหรอ?”
“แน่นอนว่าข้าต้องกังวล!” อาจารย์ร่างสูงจากคณะโอสถศาสตร์ตะโกนขึ้น “ข้าได้ยินข่าวของหลิงตู้ฉิงกับอาวุธวิเศษของเขาเช่นกันท่านอธิการบดี ข้ารู้ว่าเขาสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราได้ แต่มันเกี่ยวอะไรกับลูกศิษย์ของข้าที่ศึกษาด้านการหลอมโอสถ! ข้าไม่เคยได้ยินว่าเขามีสามารถหลอมโอสถหรือมีความรู้ในด้านสมุนไพรมาก่อนแล้วท่านจะให้ข้าส่งลูกศิษย์ของข้าไปให้กับเขาได้ยังไง?”
จากนั้นบรรดาอาจารย์จากคณะต่าง ๆ จึงเริ่มประท้วงกันขึ้นอย่างดุเดือด
จ้าวปาเทียนที่เห็นว่าบรรดาอาจารย์ยังไม่ยอมเข้าใจเขาจึงพูดว่า “ต่อให้พวกท่านไม่ตกลง แต่การตัดสินใจมันขึ้นอยู่กับนักศึกษาที่จะลองไปเข้าชั้นเรียนของคณะเปิดชั่วคราวในวันพรุ่งนี้ หากพวกเขาตกลง พวกท่านก็ไม่มีสิทธิ์แทรกแซง!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เป็นไปตามที่ลูกศิษย์ของข้าตัดสินใจ!” หนึ่งในบรรดาอาจารย์ตะโกนขึ้น
จากนั้นเมื่อบรรดาอาจารย์เห็นท่าทีของจ้าวปาเทียนที่ไม่ยอมถอยให้กับพวกเขา พวกเขาจึงเริ่มเดินออกจากห้องไป และตรงดิ่งไปหาบรรดาลูกศิษย์ของพวกเขาเพื่อโน้มน้าวให้ตัดสินใจไม่เข้าร่วมกับคณะใหม่ในวันพรุ่งนี้
แต่อันที่จริงพวกเขาเองไม่มีความจำเป็นต้องโน้วน้าวใด ๆ เลย ในความคิดของบรรดาลูกศิษย์หัวกะทิทุกคนล้วนตรงกัน พวกเขาเองล้วนไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมกับคณะที่พึ่งเปิดใหม่นี้อยู่แล้ว
“อาจารย์ ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่มีวันเข้าร่วมกับคณะบ้านั้นแน่นอน” บรรดานักศึกษาต่างพูดให้คำมั่นสัญญา
เมื่อได้ยินคำสัญญาของบรรดานักศึกษาที่ดูมั่นใจ พวกอาจารย์จึงผ่อนคลายความกังวลลง
ตอนนี้พวกเขาจึงได้แต่ตั้งตารอวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นการเปิดสอนวันแรกของคณะใหม่ที่ใช้ชื่อตั้งขึ้นมาอย่างลวก ๆ ว่า ‘คณะเปิดชั่วคราว’