พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 114 ชั้นเรียนแรกของคณะเปิดชั่วคราว[รีไรท์]
บทที่ 114 ชั้นเรียนแรกของคณะเปิดชั่วคราว[รีไรท์]
หนึ่งในบรรดานักศึกษาหัวกะทิที่พูดจาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะถอนตัวจากคณะเปิดชั่วคราวแน่นอนคือ เจียงซิงเฉิง
เมื่อเจียงซิงเฉิงกลับไปถึงเรือน เขาบอกกับครอบครัวของเขาเกี่ยวกับคณะเปิดชั่วคราว
“ตาเฒ่าจ้าวนี่ต้องว่างมากแน่ ๆ ถึงได้นึกอะไรพิเรนทร์ ๆ แบบนี้ออกมาได้” เจียงเฉา ใช้น้ำเสียงเชิงเยาะเย้ยจ้าวปาเทียน
เจียงซิงเฉิงยิ้มและตอบกลับพ่อของเขา “ข้าก็ว่าหยั่งงั้นเหมือนกันท่านพ่อ ถึงแม้ว่าคณบดีคนใหม่นั่นจะมีประวัติเคยสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดารามาก่อน แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาอาศัยอาวุธวิเศษในการสังหารเท่านั้น ข้าคิดว่าจริง ๆ แล้วหากเขาไม่มีอาวุธนั่น เขาก็คงเป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญงอกง่อยธรรมดาที่ระดับขอบเขตยังไม่ถึงประสานทะเลปราณซะด้วยซ้ำ”
เจียงเฉาเมื่อได้ยินที่ลูกชายเขาพูด เจียงเฉารู้สึกตะหงิด ๆ คุ้น ๆ อะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งและรีบถามว่า “เดี๋ยวนะ ๆ คณบดีของคณะใหม่ที่เจ้าพูดถึงเขาชื่อหลิงตู้ฉิง และเป็นคนที่กำลังถูกพูดถึงกันอยู่เยอะ ๆ ในเมืองหลวงตอนนี้ใช่รึเปล่า?”
“ใช่แล้วท่านพ่อ ข้าล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมอธิการบดีจ้าวถึงให้ความสำคัญกับเขานักหนาเขาก็แค่…” เจียงซิงเฉิงกล่าว
ก่อนที่เขาจะจบประโยค พ่อของเขาก็ขัดจังหวะเขาด้วยเสียงตะโกน “ไอ้ลูกเวร! พรุ่งนี้แกต้องย้ายไปเรียนที่คณะเปิดชั่วคราวนั่นทันที ห้ามออกจากคณะเด็ดขาด แกเข้าใจไหม!” เจียงเฉาตะโกน
เจียงซิงเฉิงตกตะลึง เขามองไปที่พ่อของเขาและถามว่า “หะ!? ท่านพ่อ นี่ข้าหูเพี้ยนไปรึเปล่า สรุปแล้วท่านจะให้ข้าไปเป็นนักศึกษาที่คณะเปิดชั่วคราวหรือท่านไม่ต้องการให้ข้าไปที่นั่นกันแน่?”
เจียงเฉาพูดอย่างจริงจัง “เจ้าไม่ได้ฟังผิด! ข้าบอกให้เจ้าย้ายไปเป็นนักศึกษาที่คณะเปิดชั่วคราวนั่นซะในวันพรุ่งนี้!”
เจียงซิงเฉิงพูดด้วยความตกใจ “ท่านพ่อ ท่านพูดอะไรของท่านออกมาเนี่ย ท่านก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าระดับการบ่มเพาะของข้าตอนนี้อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณแล้ว และท่านกลับต้องการให้ข้าไปอยู่ในคณะที่มีคณบดีอยู่ระดับควบแน่นลมปราณเนี่ยนะ?”
เจียงเฉาพูดอย่างเย็นชา “เจ้าจะภูมิใจอะไรนักหนากับขอบเขตประสานทะเลปราณงอกง่อยของเจ้ากัน! ข้าแค่ใช้นิ้วเดียวก็ดีดเจ้าปลิวแล้วไอ้ลูกโง่! ฟังข้าให้ดีนะ ถ้าพรุ่งนี้เจ้ากล้าออกจากคณะเปิดชั่วคราวของหลิงตู้ฉิงแล้วล่ะก็ ข้าเอาเจ้าตายแน่!”
หลังจากพูดกับลูกชายจบ เจียงเฉาก็ไล่ลูกของเขาให้ไปเตรียมตัวสำหรับการเข้าคณะใหม่ในวันพรุ่งนี้
เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นเลย หากเจียงเฉาไม่ใช่หนึ่งในคนกลุ่มเดียวกับกงหนิวที่บุกไปยังคฤหาสน์สราญรมย์ของหลิงตู้ฉิง
เขาเป็นหนึ่งในคนที่ไปยังที่นั่นและเห็นพลังของเสี่ยวเยว่เฟิง ก่อนที่จะรู้ว่าหลิงตู้ฉิงไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนอย่างที่คนภายนอกเข้าใจ และตอนนี้เทพปีศาจตนนี้ได้กลายมาเป็นอาจารย์และยังได้ดำรงตำแหน่งเป็นคณบดีของคณะใหม่ในสถาบันราชวงศ์อีกต่างหาก นี่มันเป็นเรื่องบ้าที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา และแถมยังเป็นโอกาสให้ลูกชายของเขาได้เรียนรู้และมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับตัวตนที่แข็งแกร่ง เขาเชื่อว่าลูกชายของเขาจะต้องได้รับผลประโยชน์จากหลิงตู้ฉิงอย่างมากมายแน่นอน!
ส่วนเรื่องความขัดข้องใจของลูกชายเขาต่อคำสั่งเขานั้น เขาต้องปล่อยมันไว้เช่นนั้นก่อน เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์สราญรมย์เขาไม่สามารถเล่าให้กับลูกชายของเขาฟังได้ เขาจึงทำได้เพียงบังคับให้ลูกชายของเขาเข้าร่วมกับคณะของหลิงตู้ฉิงอย่างไร้เหตุผลเพื่ออนาคตของลูกชายของเขาเอง
เจียงซิงเฉิงที่กลับไปถึงยังห้องของตัวเอง เขาตบหน้าตัวเองอย่างรุนแรงขณะที่เขาด่าตัวเอง “บ้าเอ้ย แล้วข้าดันลั่นคำพูดออกไปแล้วด้วยว่าจะไม่เข้าร่วมคณะบ้านั่นแน่นอน แล้วตอนนี้ข้าจะทำยังไงดีล่ะเนี่ย ๆๆ อ้ากกก”
ด้วยคำสั่งเด็ดขาดจากพ่อของเขา เจียงซิงเฉิงจึงไม่กล้าที่จะไม่เชื่อฟัง เขารู้ว่าหากเขาทำให้พ่อเขาโกรธ เขาต้องเจอกับปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน
และเหตุการณ์คล้ายกันนี้ก็ได้เกิดกับนักศึกษาหัวกะทิคนอื่นเช่นกัน
โกวเจี้ยนได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 2 ในตารางความแข็งแกร่งของคณะเตรียมทหาร กล่าวคือหากเขาจบการศึกษาจากคณะเตรียมทหาร ในอนาคตอย่างน้อยเขาต้องได้เป็นแม่ทัพของอาณาจักร
แต่ตอนนี้พ่อของเขาบังคับให้เขาออกจากคณะเตรียมทหาร และให้เขาเข้าคณะเปิดชั่วคราวแทน ซึ่งการทำเช่นนี้มันก็เหมือนกับการที่เขาลงแรงทั้งหมดที่ทำมาในคณะเตรียมทหารต้องสูญเปล่า นี่ทำให้ในหัวของเขามีแต่ความโกรธพ่อของตัวเองอย่างสุดขีด
แต่ไม่ว่าเขาจะโกรธพ่อเขาถึงขนาดไหน เขาเองก็เป็นเช่นเดียวกันกับเจียงซิงเฉิง เขาไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อเขาเอง
นอกจากนี้เขายังเคยลั่นวาจาสัญญากับอาจารย์ของเขาไปอีกต่างหากว่าเขาจะไม่เข้าคณะเปิดชั่วคราว แต่ตอนนี้เขาต้องผิดสัญญาเสียแล้ว…
เช้าวันรุ่งขึ้นที่สดใส
คฤหาสน์สราญรมย์ เช้านี้ระหว่างที่ทุกคนกำลังรอถังชี่หยุนเริ่มชั้นเรียนตามปกติ เมื่อทุกคนมากันจนครบและในขณะที่ถังชี่หยุนกำลังจะเริ่มสอน
หลิงตู้ฉิงตะโกนขัดขึ้นว่า “ตั้งแต่วันนี้ ชั้นเรียนของครูถังจะไม่เรียนที่นี่อีกต่อไป ชั้นเรียนของครูถังจะถูกย้ายไปสอนที่สถาบันราชวงศ์ในคณะที่ข้าเป็นผู้ดูแล ฉะนั้นบรรดาเหล่าทหารต่อไปนี้หน้าที่ของพวกเจ้าคือมุ่งเน้นไปที่การฝึกกระบวนรบแต่เพียงอย่างเดียว ส่วนครูถังเนื่องจากที่ข้าต้องรบกวนให้ท่านไปสอนที่สถาบัน ข้าจะสอนวิชาให้ท่านสองวิชาเพื่อเป็นการชดเชย”
จากนั้นหลิงตู้ฉิงจึงเดินไปหาถังชี่หยุนเพื่อถ่ายทอดวิชาสองอย่าง วิชาแรกคือ วิชาหลอมผลึกจิต ซึ่งสามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพลังจิต วิชาที่สองคือ วิชาวิญญาณคืนสภาพ วิชานี้สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของวิญญาณได้
ถังชี่หยุนเมื่อได้รับการถ่ายทอดแล้วนางจึงกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ
หลิงตู้ฉิงยิ้มและกล่าวต่อว่า “ด้วยวิชาทั้งสองที่ข้าถ่ายทอดให้ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ข้าต้องการให้ครูถังย่นระยะรอบการบรรยายบทเรียนพิเศษให้สั้นลงเหลือทุก ๆ 10 วัน ครั้ง และท่านไม่ต้องกังวล ด้วยสองวิชานี้ท่านจะไม่มีปัญหากับความเสียหายทางจิตวิญญาณแน่นอน”
ถังชี่หยุนยิ้มอย่างมีความสุข “ข้าจะทำตามที่ท่านหลิงสั่ง”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า จากนั้นเขาจึงหันไปสั่งให้เสี่ยวเยว่เฟิงและกงหนิวเตรียมรถม้า
หมิงจู้ที่ได้เห็นรถม้าคันนี้เป็นครั้งแรกนางรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ด้วยภายนอกของรถม้าคันเล็กเพียงแค่นี้แต่ภายในห้องโดยสารกลับใหญ่จนสามารถจุคนได้เป็น 10 คน
เมื่อทุกคนขึ้นรถม้าเรียบร้อย ภายใต้การลากรถของกงหนิว เงาของรถม้าได้หายออกไปจากลานของคฤหาสน์ภายในชั่วพริบตาเดียว
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ รถม้าที่ถูกลากด้วยกงหนิวก็ได้มาถึงที่หน้าอาคารคณะเปิดชั่วคราวของหลิงตู้ฉิงเรียบร้อย
ด้วยความเร็วของกงหนิว พวกเขาจึงมาถึงก่อนเวลาและยังไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลย
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงจึงได้เดินนำพวกเขาไปยังลานบรรยายกลางแจ้งขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านข้างอาคาร
ลานกลางแจ้งสำหรับบรรยายขนาดใหญ่นี้ถูกออกแบบให้เป็นลานยกสูงจากพื้น 1 ฟุตแบบเปิดโล่งสามารถจุคนได้หลายร้อยคนพร้อมกัน บริเวณสุดปลายลานมีเวทีสำหรับผู้บรรยายตั้งตระหง่านอยู่
เมื่อเดินเข้าไปในลานทุกคนจึงหยิบเก้าอี้ของตนเองออกมาจากแหวนมิติและนั่งลงคอยถังชี่หยุน
ส่วนถังชี่หยุน นางได้เดินขึ้นไปยังบนเวทีเพื่อเริ่มการสอนประจำวัน
ในขณะเดียวกับที่ถังชี่หยุนเริ่มการบรรยายของนาง เฮ่อเจี้ยนปิงและจ้าวปาเทียนก็มาถึง
เมื่อพวกเขาเห็นการสอนของถังชี่หยุนเริ่มขึ้นแล้ว พวกเขาจึงหยิบเก้าอี้ออกมานั่งอยู่บริเวณด้านหลังท้ายแถวและนั่งลงฟังอย่างเงียบ ๆ
เฮ่อเจี้ยนปิงที่เคยได้ประจักษ์ถึงบทเรียนพิเศษเกี่ยวกับกฎฤดูทั้งสี่ของถังชี่หยุนแล้ว เขาจึงตั้งหน้าตั้งตารอ แต่น่าเสียดายที่ชั้นเรียนในวันนี้เป็นเพียงบทเรียนเรื่องธรรมดา
เมื่อได้ยินบทเรียนธรรมดาของถังชี่หยุน จ้าวปาเทียนก็ขมวดคิ้ว
ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษเลย? นี่มันแค่บทเรียนพื้นฐานที่ไว้สอนเด็กเล็กธรรมดาเท่านั้น!
เขาขมวดคิ้วและมองไปที่เฮ่อเจี้ยนปิง และเฮ่อเจี้ยนปิงเองก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้
ครู่ต่อมา จ้าวเหมิงลู่ก็มาถึง
จ้าวเหมิงลู่ขยิบตาให้สัญญาณกับจ้าวปาเทียน จากนั้นนางก็นั่งลงข้าง ๆ หลิงตู้ฉิง
ครู่ต่อมา หลายคนจากสถาบันราชวงศ์ เริ่มทยอยเข้ามามุงดูการบรรยายชั้นเรียนของถังชี่หยุนจากรอบนอกลาน เมื่อมีผู้คนมากขึ้นพวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันเองทำให้มีเสียงค่อนข้างดังไปทั่วบริเวณ
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วและส่งสัญญาณไปยังมี่ไลให้ส่งหลิงจู้ให้
เมื่อได้รับหลิงจู้ หลิงตู้ฉิงจึงโบกมันเพื่อสร้างม่านปิดกั้นเสียงของทุกคนที่อยู่รอบนอก เพื่อไม่ให้เสียงคุยของพวกเขามารบกวนชั้นเรียนของถังชี่หยุน
เมื่อม่านกั้นเสียงปรากฏขึ้น ท่าทีของจ้าวปาเทียนก็เปลี่ยนไปและดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น ในที่สุดเขาก็ถามเฮ่อเจี้ยนปิงว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าการบรรยายของครูถังทำให้เจ้ารู้สึกถึงฤดูกาลที่เปลี่ยนไป?”
เฮ่อเจี้ยนปิงยิ้มอย่างขมขื่น “อาจารย์ข้าจะโกหกท่านเรื่องนี้ได้ยังไง แต่ว่าสำหรับบทเรียนในวันนี้ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงต่างจากครั้งนั้นมากขนาดนี้”
จ้าวปาเทียนครุ่นคิดอยู่นานแล้วจึงพูดด้วยรอยยิ้มที่ดูกังวล “หรือนี่อาจเป็นการลองดูความตั้งใจของผู้สมัคร?”
“ท่านอาจารย์ ข้าควรออกไปเตือนพวกเขาไหม?” เฮ่อเจี้ยนปิงถามอย่างรีบร้อน
จ้าวปาเทียนส่ายหัว “ปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาเถอะ บางสิ่งบางอย่างมันขึ้นอยู่กับสวรรค์ลิขิต ยังไงเสียชะตากรรมของทุกคนล้วนขึ้นอยู่กับตัวเอง ไม่จำเป็นต้องบอกให้พวกเขารู้ เดี๋ยวมันจะกลายว่าพวกเราเป็นคนไปทำลายแผนการของไอ้เจ้าหนุ่มนั่น”
กลุ่มคนที่ยืนดูอยู่รอบนอก ล้วนมองเข้าไปยังลานบรรยายด้วยสายตาแปลกประหลาด เนื่องจากพวกเขาเห็นทั้งเด็กตัวเล็ก ๆ ที่นั่งฟังบรรยาย และที่สำคัญรวมไปถึงหมิงจู้ที่เป็นดาวเด่นหญิงงามของคณะศาสตร์ยุทธก็ยังนั่งรวมอยู่ในนั้นด้วย
และที่สำคัญบทเรียนที่พวกเขากำลังฟัง มันคือบทเรียนพื้นฐานทั่วไปสำหรับเด็กเท่านั้น
พวกคนที่ถูกบังคับให้เข้าสมัครคณะนี้ เริ่มหน้าเสีย พวกเขาต่างคิดในใจ “นี่มันคณะบ้าอะไรกัน และบทเรียนการสอนระดับต่ำแบบนี้จะสอนไปเพื่ออะไร นี่มันสถาบันระดับสูงสุดของอาณาจักรที่สอนแต่ผู้เชี่ยวชาญระดับสูง ถ้าพวกเขาจะต้องอยู่ในคณะนี้เพื่อฟังบทเรียนแบบนี้ทุกวัน มันจะไม่เป็นการทำลายอนาคตพวกเขาเองหรอกหรือไง?”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ บรรดาคนที่ตั้งใจมาเข้าร่วมก็เริ่มทยอยถอนตัวจากไป
ส่วนบรรดาพวกหัวกะทิ 5 อันดับแรก สีหน้าของพวกเขาเมื่อได้ฟังบทเรียนเช่นนี้นั้นมีแต่ความเหยียดหยาม
พวกเขาทุกคนต่างมองไปยังร่างของจ้าวปาเทียนที่กำลังนั่งฟังบทเรียนอยู่ในลาน ด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองที่บังคับให้พวกเขาต้องมาเสียเวลานั่งฟังบทเรียนระดับต่ำแบบนี้
ตอนนี้บรรดาหัวกะทิทุกคนล้วนต่างมีความคิดเดียวกันคือหลังจากวันนี้ พวกเขาทั้งหมดถอนตัวแน่นอน!