พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 130 สายเลือดบรรพบุรุษ[รีไรท์]
บทที่ 130 สายเลือดบรรพบุรุษ[รีไรท์]
เสี่ยวเยว่เฟิงและโม่หยูถังที่กำลังนั่งอยู่ด้านข้างหลิงตู้ฉิง รู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณที่กำลังหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของหลิงตู้ฉิงได้อย่างแจ่มชัด
ปรากฏการณ์เช่นนี้ทำให้พวกเขาทั้งคู่ต่างตกตะลึง เพราะโดยปกติแล้ว ผู้บ่มเพาะจะต้องทำการรวบรวมพลังวิญญาณโดยผ่านการฝึกเคล็ดวิชาต่าง ๆ แต่ตอนนี้พวกเขากลับเห็นหลิงตู้ฉิงเพียงแค่นั่งเฉย ๆ แต่กลับมีพลังวิญญาณมากมายไหลวนเข้าหา นี่เป็นสิ่งที่เหนือความเข้าใจของพวกเขามาก
และเมื่อยิ่งเห็นถึงจำนวนของพลังวิญญาณที่มากมายขนาดนี้ไหลเข้าสู่ร่างกายของหลิงตู้ฉิง แต่ระดับขอบเขตของเขากลับยังหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม นี่มันหมายความว่าพลังวิญญาณทั้งหมดนั้น หลิงตู้ฉิงได้จัดสรรให้พวกมันกลายเป็นรากฐานการบ่มเพาะของตัวเอง
ขอบเขตควบแน่นลมปราณที่ใช้พลังวิญญาณจำนวนมากกว่าที่ขอบเขตรวมแสงดารามี มาสร้างเป็นรากฐานการบ่มเพาะ?
เสี่ยวเยว่เฟิงและโม่หยูถัง พวกเขาขนลุกเมื่อจินตนาการนึกถึงวันที่หลิงตู้ฉิงบรรลุขอบเขตถัดไปแล้วเขาจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดไหน?
ในตอนนี้ หลิงตู้ฉิงกำลังจัดสรรพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลที่กำลังหลั่งไหลเข้ามา เขาแบ่งพลังวิญญาณไว้สามส่วนเพื่อนำพวกมันหลอมรวมเข้ากับอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับพวกมัน ส่วนอีกเจ็ดส่วนเขาใช้พวกมันในการสร้างแอ่งทะเลปราณขนาดยักษ์ลงในจุดตันเถียน
ตอนนี้ถึงแม้ว่าเขาจะมีแอ่งทะเลปราณอยู่ในจุดตันเถียน แต่ขอบเขตของเขานั้นยังไม่นับว่าอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณโดยตรง เนื่องจากภายในแอ่งทะเลปราณของเขานั้นว่างเปล่าพลังไม่มีพลังวิญญาณใด ๆ สะสมอยู่
แต่หากจะบอกว่าเขานั้นอยู่ในระดับจุดสูงสุดขอบเขตควบแน่นลมปราณเองก็ไม่ใช่เช่นกัน
หลิงตู้ฉิงในตอนนี้ไม่เร่งรีบในการทะลวงขอบเขตแต่อย่างใด จุดมุ่งหมายของเขาในตอนนี้คือสร้างรากฐานการบ่มเพาะให้มั่นคงที่สุดให้เหนือกว่าที่เขาเคยสร้างในชาติที่แล้ว ไม่เช่นนั้นเขาเกรงว่าเมื่อถึงเวลาทะลวงขอบเขตนิรันดร์กาล เขาอาจจะต้องผิดหวังอีกครั้ง
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก นอกจากเสี่ยวเยว่เฟิงและโม่หยูถัง คนอื่น ๆ ที่อยู่ในลานก็เริ่มลืมตาขึ้น ส่วนหลิงตู้ฉิงเองได้เสร็จสิ้นการดูดซับพลังวิญญาณที่ได้รับมาทั้งหมดแล้วเช่นกัน จากนั้นเขาจึงคลายกำแพงวิญญาณให้กับบรรดาผู้คนที่เริ่มตื่นขึ้น
คนส่วนใหญ่ที่ลืมตาขึ้นก่อนจะเป็นบรรดาผู้อาวุโสและอาจารย์ทั้งหลาย เนื่องจากพวกเขาบ่มเพาะมาแล้วเป็นเวลานาน พวกเขาจึงมีความเข้าใจในเส้นทางเต๋าของพวกเขามากกว่าบรรดาเด็ก ๆ
เมื่อพวกเขาตื่นขึ้น พวกเขาโค้งคำนับให้กับหลิงตู้ฉิงและเริ่มเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยจิตใจที่เบิกบาน
จากนั้นถังชี่หยุนและจ้าวเหมิงลู่ พวกนางเริ่มตื่นขึ้นตามลำดับ
หลังจากจ้าวเหมิงลู่ตื่นขึ้น นางได้เดินเข้ามาหาหลิงตู้ฉิงและจูบลงไปที่แก้มของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้ากลับไปฝึกต่อที่ตระกูลก่อนนะ”
เมื่อเห็นนางกำลังจะเดินจากไปหลิงตู้ฉิงสั่งขึ้น “เจ้าห้ามกลับไปบรรลุระดับเด็ดขาด เจ้าบรรลุระดับไวเกินไปแล้ว ต่อให้ข้าปรับแต่งรากฐานการบ่มเพาะของเจ้าให้แข็งแรงขึ้นแล้ว แต่เจ้าก็ไม่ควรจะบรรลุระดับไวเช่นนี้ มันจะส่งผลเสียต่อเจ้าในอนาคต”
“ข้าเข้าใจแล้ว ตั้งแต่ที่ข้าฟังที่ท่านบรรยายเมื่อสักครู่ ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าควรจะบ่มเพาะอย่างไรถึงจะถูกต้อง ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่เร่งรีบบรรลุระดับอีกต่อไปข้าสัญญา” จ้าวเหมิงลู่ตอบกลับ
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถอะ” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า
“ข้าจะกลับไปรอวันแต่งงานของเรา…” จ้าวเหมิงลู่เมื่อพูดจบนางรีบวิ่งออกไปจากลานด้วยใบหน้าอมชมพู
หลังจากจ้าวเหมิงลู่จากไป บรรดานักศึกษาก็เริ่มตื่นขึ้น ตอนนี้เหลือแต่เพียงบรรดาลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่นเมื่อไหร่
ตอนนี้ทุกคนที่ตื่นขึ้นแล้วต่างมองไปยังบรรดาลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงที่อยู่ในกำแพงวิญญาณทึบแสงด้วยความฉงน พวกเขาอยากรู้เป็นอย่างมากว่าลูก ๆ ของคนที่พิสดารเช่นหลิงตู้ฉิงจะบรรลุอะไร และทำไมถึงต้องใช้กำแพงทึบแสงไม่ให้พวกเขามองเห็น
เสี่ยวเยว่เฟิงในตอนนี้นางกำลังนั่งจ้องไปยังหลิงไช่หยุนที่อยู่ในกำแพงด้วยสายตาจดจ่อ
ผ่านไปสักพัก หลิงตู้ฉิงจึงสลายกำแพงวิญญาณที่คลุมลูก ๆ ของเขาออกทั้งหมด เผยให้เห็นบรรดาเด็ก ๆ ที่นั่งลืมตาอยู่ด้านใน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของพวกเขาสักเท่าไหร่
จะมีก็แต่เพียงหลิงไช่หยุนที่ในตอนนี้ยืนขึ้นด้วยเท้าที่ว่างเปล่า และผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง ยกเว้นชุดเสื้อที่หลิงตู้ฉิงสร้างให้นางใส่แล้ว เครื่องแต่งกายต่าง ๆ ล้วนถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ไปจนหมด
ก่อนที่ทุกคนที่เห็นสภาพของหลิงไช่หยุนและคิดอะไรออก เสี่ยวเยว่เฟิงรีบพุ่งไปยังหลิงไช่หยุนและนำผ้าผืนใหญ่สีแดงออกมาคลุมตัวหลิงไช่หยุนไว้และอุ้มนางขึ้น
เสี่ยวเยว่เฟิงยิ้มและพูดว่า “นายหญิงน้อยของข้า ให้ข้าพาท่านไปแต่งตัวให้ดีกว่านี้ก่อนดีไหม?”
หลิงไช่หยุนที่กำลังอยู่ในอ้อมกอดของเสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้าและยิ้มอย่างมีความสุข “ขอบคุณ พี่สาว”
ตอนนี้หลิงไช่หยุนนางรู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมากกับผ้าผืนใหญ่สีแดงที่ห่อหุ้มตัวนางอยู่ในขณะนี้
เสี่ยวเยว่เฟิงเมื่อได้ยินหลิงไช่หยุนเรียกตัวนางว่าพี่สาว นางสะดุ้งตกใจจนแทบจะทำหลิงไช่หยุนหล่น และจึงพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ “นายหญิงน้อยของข้า ข้าต่ำต้อยเกินกว่าจะให้ท่านเรียกข้าว่าพี่สาว ข้าขอให้ท่านเรียกข้าว่าสารถีหรือไม่ก็เรียกข้าว่า ‘เฟิง’ สั้น ๆ ก็เพียงพอแล้ว”
หลิงไช่หยุนเมื่อได้ยินเช่นนั้นนางจึงหันไปหาหลิงตู้ฉิงเพื่อดูสัญญาณจากพ่อของนาง และเมื่อนางว่าพ่อของนางพยักหน้าให้นางจึงตอบกลับว่า “อย่างนั้นก็ได้ ขอบคุณนะ เฟิง!”
ถึงแม้ว่าหลิงไช่หยุนจะไม่เข้าใจว่าทำไมเสี่ยวเยว่เฟิงจะต้องสุภาพกับนางขนาดนี้ แต่นางก็ตอบรับการปฏิบัติเช่นนี้แต่โดยดี ตามสัญญาณของพ่อนางที่ส่งมา
เสี่ยวเยว่เฟิงที่ในตอนนี้กำลังอุ้มหลิงไช่หยุนอยู่ นางเดินเข้ามาหลิงตู้ฉิงและพูดว่า “นายท่าน ข้าขอพานายหญิงน้อยกลับเข้าไปในอาคารเพื่อแต่งตัวให้เรียบร้อยกว่านี้ก่อน และ ข้าอยากมอบผ้าคลุมนี้ที่ห่มร่างกายนายหญิงน้อยให้ท่านช่วยใช้มันในการตัดเย็บชุดให้กับนายหญิงน้อยใหม่ ไม่ทราบว่าท่านจะยินดีไหม”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ได้สิ”
จากนั้น เสี่ยวเยว่เฟิงจึงอุ้มหลิงไช่หยุนเข้าไปในอาคารของคณะเพื่อแต่งตัวให้เรียบร้อย
เมื่อเสี่ยวเยว่เฟิงจากไป หลิงว่านถิงและหลิงฟ่างหัวได้เดินเข้ามาหาหลิงตู้ฉิง พวกนางต่างพูดขึ้นพร้อม ๆ กันว่า “ท่านพ่อตอนนี้พวกเราคิดว่า พวกเราสามารถเริ่มบ่มเพาะได้แล้ว!”
หลิงตู้ฉิงยิ้มให้กับพวกนางและพูดว่า “ดีมาก เช่นนั้นเดี๋ยวพ่อจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้กับพวกเจ้าทีละคนเดี๋ยวนี้แหละ”
จากนั้นหลิงตู้ฉิงจึงเรียกหลิงว่านถิงเข้ามาถ่ายทอดวิชาให้ก่อน “วิชาที่พ่อจะถ่ายทอดให้เจ้านั้นชื่อว่าเคล็ดวิชาเทวะลอกเลียน เจ้าต้องทำความเข้าใจเคล็ดวิชานี้ให้ดี และเมื่อเจ้าฝึกมันจนช่ำชองเมื่อไหร่ พ่อจะมอบหลิงจู้ให้กับเจ้าไว้ได้ใช้ ตอนนี้ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่อาวุธระดับราชวงศ์ แต่มันเป็นอาวุธที่สามารถเติบโตเลื่อนระดับขึ้นไปได้อีกด้วยการหล่อเลี้ยงของมี่ไล ฉะนั้นเจ้าต้องตั้งใจฝึกฝนและนำมันไปใช้ในอนาคต”
หลังจากเสร็จจากการถ่ายทอดให้กับหลิงว่านถิงเสร็จ หลิงตู้ฉิงจึงเรียกหลิงฟ่างหัวเข้ามาถ่ายทอดวิชาให้ต่อ “ฟ่างหัว พ่อยอมรับกับเจ้าตรง ๆ ว่าพ่อไม่มีเคล็ดวิชาระดับสูงสุดให้กับเจ้า เหมือนที่พ่อมีให้กับพี่น้องเจ้าคนอื่น ๆ เนื่องจากพรสวรรค์ของเจ้านั้นค่อนข้างพิเศษเป็นอย่างมาก ตอนนี้พ่อมีเพียงเคล็ดวิชาที่อยู่ในระดับราชวงศ์ขั้นสูงสุดให้กับเจ้าเพียงเท่านั้น เจ้าจงใช้มันบ่มเพาะไปจนถึงขอบเขตนภาให้ได้ก่อน จากนั้นในอนาคตพ่อจะหาเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกว่านี้ให้เจ้าเมื่อเวลามาถึง”
หลิงฟ่างหัวยิ้มและตอบกลับ “ท่านพ่อ ในอนาคตท่านคิดว่าข้าสามารถสร้างเคล็ดบ่มเพาะของตัวข้าเองได้ไหม?”
“แน่นอน ว่าเจ้าต้องทำได้” หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
“ถ้าอย่างนั้นในอนาคตข้าจะต้องสร้างเคล็ดการบ่มเพาะของข้าเองให้ได้เลย! แต่ว่าท่านพ่อ ท่านต้องชดเชยให้ข้าด้วยที่ท่านไม่สามารถถ่ายทอดเคล็ดวิชาดี ๆ ให้ข้าได้เหมือนกับคนอื่น ๆ ท่านจะต้องมาคุยกับข้าบ่อย ๆ ท่านจะต้องให้ของขวัญข้าเยอะ ๆ ท่านจะต้องโอ๋ข้าให้มาก ๆ นะท่านพ่อ!” หลิงฟ่างหัวพูดพลางเดินเข้าไปกอดหลิงตู้ฉิง
“แน่นอน แน่นอน แน่นอน ลูกสาวที่น่ารักของพ่อ พ่อรับปาก ๆ” หลิงตู้ฉิงรีบตอบรับด้วยสีหน้าอมยิ้ม “มา ถึงเวลาที่พ่อจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้เจ้าแล้ว สำหรับเคล็ดวิชาที่พ่อจะถ่ายทอดให้นั้นชื่อ เคล็ดวิชาบังคับกระแสมิติ และนอกจากที่พ่อจะถ่ายทอดวิชาให้เจ้าแล้ว พ่อจะไถ่โทษให้เจ้าด้วยการที่พ่อจะเอาสมบัติที่พ่อพึ่งได้มา มาปรับแต่งประตูของเจ้าให้สวยงามและแข็งแกร่งขึ้นไปอีกเจ้าว่าดีไหม?”
“ขอบคุณ ท่านพ่อ” หลิงฟ่างหัวเราะด้วยความดีใจ
ในบรรดาลูกทั้งเจ็ดของหลิงตู้ฉิง ตอนนี้เหลือเพียงแค่หลิงว่านจุนและหลิงยี่เทียนที่ยังไม่สามารถบ่มเพาะได้ หลิงตู้ฉิงจึงบอกให้พวกเขาฝึกฝนการเดินหมากต่อไป
ไม่นานนักเสี่ยวเยว่เฟิงเดินออกมาพร้อมกับอุ้มหลิงไช่หยุนที่แต่งตัวเรียบร้อยมิดชิด
เสี่ยวเยว่เฟิงที่ตอนนี้นางรู้ถึงตัวตนของหลิงไช่หยุน นางประคบประหงมหลิงไช่หยุนราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า นางมอบแม้กระทั่งผ้าคลุมเลือดฟินิกซ์ ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของยอดเขาหมื่นเซียนไว้ให้หลิงตู้ฉิงตัดเย็บมันให้กลายเป็นชุดใหม่ของหลิงไช่หยุน
เสี่ยวเยว่เฟิงอุ้มหลิงไช่หยุนไปหาหลิงตู้ฉิงและส่งเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนให้กับหลิงตู้ฉิงด้วยความเคารพ จากนั้นนางจึงเอ่ยถามขึ้น “นายท่าน นายหญิงน้อยคือร่างจุติของบรรดาบุตรหลานของบรรพบุรุษยอดเขาหมื่นเซียนของข้าใช่ไหม? จะเป็นไปได้ไหมหากข้าจะขออนุญาตพานางกลับไปที่ยอดเขาหมื่นเซียน?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้าพานางกลับไปตอนนี้ นางยังไม่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะปกป้องตัวเอง”
“ถ้าอย่างนั้นท่านจะอนุญาตให้ข้านำข่าวนี้บอกกับคนอื่น ๆ ที่ออกมาจากยอดเขาหมื่นเซียนพร้อมกับข้าได้ไหม? พวกเขาทุกคนล้วนเป็นคนที่ไว้ใจได้ หากพวกเขารู้ข่าวเรื่องนี้ พวกเขาย่อมจะตามมาที่นี่เพื่อช่วยกันปกป้องนายหญิงน้อย นอกจากนั้นนายท่านเองยังได้ประโยชน์จากการมีผู้ติดตามที่แข็งแกร่งไว้คอยเรียกใช้มากขึ้น” เสี่ยวเยว่เฟิงถาม
“ตอนนี้เจ้าห้ามแจ้งข่าวนี้กับใคร ไม่งั้นมันอาจจะเกิดเรื่องวุ่นวายตามมามากขึ้นโดยไม่จำเป็น และเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของลูกข้า ตราบใดที่ไช่หยุนมีข้าเป็นพ่อของนางและคอยอยู่เคียงข้างนาง ข้าสามารถรับรองความปลอดภัยของนางได้มากกว่าคนของพวกเจ้ารวมกันหมดทั้งยอดเขา! และเจ้าเองในวันนี้ เจ้าเปิดเผยตัวตนของเจ้ามากเกินไป โชคดีที่พ่อบ้านโม่ไม่ใช่คนอื่น ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจมีปัญหาได้ คราวหลังเจ้าต้องระวังตัวให้มากกว่านี้” หลิงตู้ฉิงพูด
เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้าและเดินไปหลบด้านข้างอย่างเงียบ ๆ
หลิงไช่หยุนมองไปที่พ่อของนางแล้วมองไปที่เสี่ยวเยว่เฟิง นางดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ลังเล หลิงตู้ฉิงเมื่อเห็นท่าทางของหลิงไช่หยุน เขาจึงโบกมือสร้างกำแพงปิดกั้นเสียงและพูดว่า “หากเจ้าต้องการถามอะไร เจ้าถามพ่อมาได้เลย ตอนนี้ไม่มีใครได้ยินที่เราคุยกันแล้ว”
หลิงไช่หยุนเมื่อเห็นพ่อของนางถามขึ้นนางจึงตอบว่า “ท่านพ่อ ทำไมเฟิงถึงปฏิบัติกับข้าดีแบบนี้?”