พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 135 เสร็จสมบูรณ์[รีไรท์]
บทที่ 135 เสร็จสมบูรณ์[รีไรท์]
ในขณะที่พวกผู้ใหญ่กำลังคุยกันเรื่องต่าง ๆ บรรดาเด็ก ๆ รุ่นลูกรุ่นหลานก็จับกลุ่มคุยกันเช่นกัน
ครั้งล่าสุดที่หลิงยู่ชานและคนอื่น ๆ ติดตามหลิงตู้ฉิงมาที่คฤหาสน์ตระกูลหลิง พวกเขาทุกคนต่างได้รับการต้อนรับอันน่าผิดหวังกลับไป
แต่หลังจากที่พวกเขารู้ความลับเล็ก ๆ ที่หลิงตู้ฉิงบอกกับหลิงไช่หยุน พวกเขาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับลมปากของคนตระกูลหลิงอีกต่อไป
แต่เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เมื่อหลิงเจิ้งสงรู้ถึงเรื่องที่บรรดาลูกสะใภ้และหลาน ๆ ทำปากพล่อยกับลูกของหลิงตู้ฉิง หลิงเจิ้งสงจึงลงโทษทุกคนที่เกี่ยวข้องรวมไปถึงบรรดาหลาน ๆ เองก็ได้รับโทษหนักเช่นกัน
จากเหตุการณ์นั้นจึงส่งผลให้เด็ก ๆ ที่อยู่ในคฤหาสน์หลิง เหม็นขี้หน้าลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็น หลิงยู่ชานและคนอื่น ๆ พวกเขาจึงรวมตัวกันเดินเข้ามาหาเรื่องทันที
หลิงอาหู่มองไปที่หลิงยู่ชานและคนอื่น ๆ และถามอย่างไม่พอใจ “เมื่อเร็ว ๆ นี้มีแต่คนเขาร่ำลือกันว่าพวกคนที่อยู่ในศาลาศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะกันทั้งนั้น และพวกเจ้าเองก็เป็นหนึ่งในคนของศาลาศักดิ์สิทธิ์ จะว่าอะไรไหมหากข้าจะขอทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเจ้าสักที ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่ามันจะเหมือนกับที่ปากคนอื่นเขาเล่ากันต่อมาไหม”
หลิงยู่ชานยิ้มและพูดว่า “ท่านก็ชมพวกเราเกินไปพี่อาหู่ ถึงแม้ว่าพวกเราจะพอมีฝีมือ แต่บนโลกนี้ก็ยังมีคนอื่น ๆ ที่มีฝีมือมากกว่าพวกเราอยู่ดี”
นับตั้งแต่ที่หลิงยู่ชานรู้ความลับเล็ก ๆ คำพูดของหลิงยู่ชานก็เริ่มไม่อ่อนข้อมากอีกต่อไป แต่เขาก็ไม่ได้ใช้คำที่ยั่วยุฝั่งตรงข้ามนัก เพราะเขาไม่มีเจตนาจะทะเลาะเบาะแว้งด้วย
“หึ ก็ข้าได้ยินมาตั้งมากมายว่าทุกคนในศาลาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าล้วนแต่เป็นอัจฉริยะและไม่มีใครเทียบได้ ข้าแค่อยากเห็นว่าไอ้คำว่าอัจฉริยะของพวกเจ้าน่ะมันของจริงรึเปล่า?” หลิงอาหู่ยังคงพูดต่อไป
หลิงว่านถิงหัวเราะ “นี่ท่านพี่อาหู่ พวกเราจะถือว่าเป็นอัจฉริยะหรือไม่ยังไงข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ท่านพ่อของข้าพึ่งถ่ายทอดเคล็ดวิชาบางอย่างให้ข้า ถ้าท่านอยากจะเห็นนักล่ะ ข้าก็ยินดีจะให้ท่านลิ้มรสมันสักหน่อยก็ได้นะ”
หลิงว่านถิงโดยปกติแล้วนางไม่มีความอดทนเท่าหลิงยู่ชาน และยิ่งบวกกับรอบก่อนหน้านี้ที่นางมาครั้งล่าสุดและโดนดูถูกนั้นนางยังจำแค้นนั้นฝังใจไม่หาย ตอนนี้เมื่อนางสามารถบ่มเพาะได้แล้วแถมยังมาเจอกับการยั่วยุเช่นนี้อีกนางย่อมไม่อดทนอีกต่อไป
หลิงไช่หยุนยิ้มและพูดว่า “พี่อาหู่ ข้าเองก็รู้วิธีการบ่มเพาะด้วยเช่นกันถ้าท่านต้องการจะลองดูฝีมือของพวกเราท่านสามารถมาลองกับข้าก็ได้”
ตอนนี้เมื่อเห็นบรรยากาศทางฝั่งของเด็ก ๆ กำลังจะปะทุได้ทุกเมื่อ หลิงฉิงเฟิงที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ตลอด จึงรีบเข้ามาหยุดพวกเขาอย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นหากเขาปล่อยให้เด็ก ๆ เหล่านี้สู้กัน ความซวยจะต้องตกมาอยู่ที่บรรดาพวกผู้ใหญ่อีกรอบจากความโกรธเกรี้ยวของหลิงเจิ้งสงแน่นอน
หลิงฉิงเฟิงตะโกนเรียกหลิงอาหู่และคนอื่น ๆ ให้ถอยออกมาทันที หลิงยู่ชานที่เห็นสถานการณ์เริ่มบานปลายก็รีบหยุดบรรดาน้อง ๆ ของเขาเองเช่นกัน
“พวกเจ้าทุกคนคิดว่าตัวเองแน่แค่ไหนกัน ถ้าพ่อของพวกเจ้าไม่ใช่คณบดีของศาลาศักดิ์สิทธิ์พวกเจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้อยู่ในคณะนั้นหรอก” หลิงอาหู่ยังคงเยาะเย้ย
หลิงไช่หยุนเริ่มเดือดและตอบกลับว่า “พวกข้าก็ไม่ได้เก่งอะไรนักหนาหรอก ตอนนี้ข้าก็แค่อยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 5 ทั้งที่อายุข้ายังไม่ถึง 4 ขวบด้วยซ้ำ! ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าตอนท่านมีอายุเท่าข้าท่านอยู่ในระดับไหนกันพี่คนเก่ง?”
ขณะที่นางพูด นางแบมือเรียกประกายไฟให้ปรากฏขึ้นในมือ เพื่อแสดงให้เห็นว่านางไม่ได้โกหก
หลิงฟ่างหัวพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็พึ่งเริ่มบ่มเพาะได้เมื่อ 2 เดือนก่อนและตอนนี้ข้าก็อยู่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 2 ไม่ทราบว่าตอนที่ท่านเริ่มบ่มเพาะได้ 2 เดือน ท่านอยู่ในระดับไหนกัน?”
คำพูดของเด็กหญิงตัวน้อยทั้งสองทำให้ใบหน้าของหลิงอาหู่เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธและอับอาย เขาไม่กล้าพูดอะไรตอบโต้กลับไปยังอัจฉริยะที่อยู่ตรงหน้าอีกต่อไป
หลิงฉิงเฟิงที่ตอนนี้พยายามทำให้สถานการณ์สงบลง เขาจึงพูดขู่อาหู่ว่า “อาหู่ เจ้ายังกล้าทำตัวอันธพาลแบบนี้อีกงั้นเหรอ เจ้ายังจำรสชาติไม้เรียวของพ่อเจ้าเมื่อครั้งก่อนไม่ได้ใช่ไหม เจ้าอยากจะโดนฟาดก้นอีกครั้งหรือไง?”
ในท้ายที่สุดพวกเขาก็แยกย้ายและสลายตัวกันออกไปอยู่ที่ใครที่มัน
ในคฤหาสน์สราญรมย์ มี่ไลและมี่ตั้วตั้วที่พึ่งฉลองเทศกาลปีใหม่ด้วยอาหารค่ำเสร็จ
มี่ตั้วตั้วในตอนนี้กำลังนั่งแสดงสีหน้าหดหู่เมื่อคิดถึงการสร้างเจดีย์ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
มี่ไลที่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของพ่อนาง นางจึงพูดขึ้น “ท่านพ่อ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตระกูลของเราที่รุ่งเรืองมาถึงทุกวันนี้ได้นั้นเป็นเพราะท่าน ถึงแม้ว่าข้าจะเคยพูดกับท่านว่า ท่านผลักไสให้ข้ามาอยู่กับนายท่านหลิงก็เถอะ แต่ผลลัพธ์มันก็ออกมาอย่างที่เราเห็นกันอยู่ว่าท่านคิดถูกแล้วที่ให้ข้ามาอยู่กับเขา ตอนนี้ลูกสาวของท่านนั้นมีความสุขเป็นอย่างมากกับการตัดสินใจของท่าน ฉะนั้นท่านพ่อ ท่านเป็นคนที่ตัดสินใจอะไรได้ถูกมาตลอด ข้าเชื่อในตัวท่านพ่อ ท่านพ่อจะต้องสร้างสมบัตินั่นได้สำเร็จอยู่แล้วไม่ช้าก็เร็ว หรือต่อให้ท่านคิดไม่ออกจริง ๆ อย่างที่เคยบอกกับท่านไป รอท่านหลิงกลับก่อนแล้วข้าจะช่วยพูดกับเขาให้ช่วยท่านพ่ออีกแรง”
มี่ตั้วตั้วถอนหายใจ “ถีงแม้ว่าเจ้าจะบอกให้ปรมาจารย์หลิงช่วยพ่อ และสมมุติว่าปัญหานี้สามารถแก้ได้โดยเขาก็เถอะ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นพ่อก็คงจะต้องติดค้างใจเรื่องนี้ไปตลอดชีวิตและพ่อเกรงว่าสมบัตินี้จะไม่สมบูรณ์อย่างที่เป็น ปรมาจารย์หลิงเองได้ย้ำกับพ่อไว้แล้วว่า การสร้างสมบัติชิ้นนี้พ่อจะต้องทำมันด้วยตัวเองเท่านั้นมันคือสมบัติของโชคชะตาตระกูลเรา มันไม่สามารถให้คนอื่นมาแทรกแซงได้ง่าย ๆ อย่างที่เจ้าว่าหรอก”
มี่ไลเองนางคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน สมบัติที่เกี่ยวพันกับชะตาของตระกูลจะให้คนที่ไม่อยู่ในตระกูลเดียวกันเข้ามาแก้ไขให้สมบูรณ์ได้ยังไง?
แต่เมื่อนางนึกถือภาพของเหรียญ 4 เหรียญนั้น มี่ไลถอนหายใจและพยายามพูดต่อ “ท่านพ่อ เช่นนั้นท่านได้ลองหยิบมันเก็บเขาไปในแหวนแล้วรึยัง? ไม่แน่นะเมื่อท่านเก็บมันไปแล้ว เจดีย์นั่นอาจจะสมบูรณ์ขึ้นมาทันทีเลยก็ได้”
มี่ตั้วตั้วส่ายหัว “เหรียญนั่นไม่สามารถ หยิบ จับ หรือเคลื่อนย้ายไปที่ไหนได้ทั้งนั้น ทางเดียวที่จะทำให้พวกมันหายไปคือ ทำให้มันเข้าไปหลอมรวมกับเจดีย์เก้าชั้นเท่านั้น”
เมื่อเห็นสีหน้าของพ่อนางไม่ดีขึ้นเลย มี่ไลจึงพูดหยอกล้อพ่อของนางว่า “ท่านพ่อ ท่านจำได้ไหม ตั้งแต่ที่ข้ากับน้องจำความได้ ท่านจะให้อั่งเปากับพวกเราสองพี่น้องทุกปี แต่ปีนี้ท่านกลับใช้เงินทั้งหมดที่เรามีไปกับการสร้างเจดีย์ ข้าคิดว่าปีนี้ท่านคงไม่มีอั่งเปาให้ข้าเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมาแล้วแน่นอนเลย หึหึหึ”
มี่ตั้วตั้วยิ้มอย่างขมขื่น “อั่งเปา? ตอนนี้อย่าว่าแต่ให้อั่งเปาเจ้าเลย หากพ่อไม่ได้มาอาศัยอยู่ที่นี่ ข้าวที่จะกินพ่อยังไม่มีปัญญาที่จะซื้อเลย ไว้เจ้ารอให้พ่อหาเงินได้เพิ่มอีกสักหน่อยก่อน พ่อจะให้อั่งเปาเจ้า….”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ มี่ตั้วตั้วหยุดอ้าปากค้างด้วยอาการตกตะลึง
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไร?” มี่ไลถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นสีหน้าอันตกตะลึงของพ่อนาง
มี่ตั้วตั้วโบกมือให้กับมี่ไล และเขาลุกขึ้นวิ่งอย่างรวดเร็วไปทางเจดีย์ทองคำทันที
มี่ไลเมื่อเห็นพ่อของนางวิ่งออกจากห้องไปด้วยอาการตื่นเต้น นางจึงรีบวิ่งตามไปติด ๆ และหยุดอยู่ข้างพ่อของนางที่กำลังยืนจ้องไปยังเจดีย์ทองคำ
ในเวลานี้นางไม่กล้าไม่แต่จะส่งเสียงใด ๆ รบกวนพ่อของนาง นางเข้าใจได้ทันทีว่าพ่อของนางในตอนนี้หาหนทางที่จะทำให้เจดีย์นี้สมบูรณ์ได้แล้ว
มี่ตั้วตั้วในตอนนี้จ้องไปยังเจดีย์ด้วยสายตาที่ตื่นเต้น เขารู้แล้วว่าปัญหาที่เขาไม่สามารถทำให้เหรียญทั้งสี่นี้หลอมรวมเข้าไปยังเจดีย์ไม่ได้เพราะอะไร
เมื่อมี่ตั้วตั้วนึกถึงเรื่องอั่งเป่าของมี่ไล มันกลับทำให้เขาเข้าใจว่าเขาพลาดอะไรไป มันกลับกลายเป็นว่าเหรียญทั้งสี่ที่เหลือนี้ เขาคิดผิดมาตลอด เหตุผลที่พวกมันไม่หลอมรวมกันเจดีย์ก็เพราะเขาเอาแต่คิดว่าเขาหามันมาอย่างไรเพียงอย่าเดียว แต่เขาไม่ได้คิดว่าเหรียญนี้ได้รับมาจากใครหรือมันเป็นตัวแทนของอะไร
เขานึกย้อนไปก่อนที่จะนำกองเหรียญทองเหล่านี้มาไว้ที่คฤหาสน์สราญรมย์ว่ามันยังมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่ได้นำพวกมันมารวมด้วยกับทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาต้องใช้ในการสร้างเจดีย์ และในช่วงเวลาตอนที่เขานำทองมากองชุดสุดท้าย หลิงตู้ฉิงได้หยิบเหรียญขึ้นมาสามเหรียญและบอกกับเขาว่าจะใช้เหรียญทั้งสามนี้เป็นเหรียญตัวแทนถึงทรัพย์สินที่เขาไม่ได้นำมา
เหรียญที่หนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของเรือนในเมืองฟินิกซ์ที่เขายังไม่ได้ขาย เหรียญที่สองเป็นตัวแทนของคฤหาสน์ในเมืองหลวงที่ยังอยู่ดี เหรียญที่สามเป็นตัวแทนของหอประมูลและบรรดาวัตถุดิบต่าง ๆ ที่หลงเหลือไว้ในคลังตระกูลเพื่อแผนการเปิดตัวโอสถกำเนิดรากฐาน
ด้วยความเครียดและความกังวลเขาก็ลืมเรื่องที่หลิงตู้ฉิงได้บอกเขาตั้งแต่เริ่มแรกถึงเหรียญสามเหรียญนี้ไปซะสนิท
ตอนนี้มี่ตั้วตั้วนั่งลงขัดสมาธิกับพื้น และเริ่มรำลึกถึงความหมายของทั้งสามเหรียญนี้ที่หลิงตู้ฉิงได้ใช้พวกมันเป็นตัวแทนทรัพย์สินของตระกูลเขาที่ยังเหลืออยู่
เสียง ‘ติ้ง’ ได้ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเหรียญ 3 เหรียญที่อยู่ในกองได้บินลอยเข้าไปหาเจดีย์ทองคำและถูกกลืนเข้าไป
มี่ไลที่อยู่ด้านข้าง มองภาพที่ปรากฏขึ้นด้วยแววตาตื่นเต้นเต้น พร้อมกับนึกเอาใจช่วยพ่อของนางในใจ
มี่ตั้วตั้วที่ในตอนนี้กำลังมองไปยังเหรียญทองเหรียญสุดท้าย มองไปได้สักพักดวงตาของเขาก็เริ่มพร่ามัวไปด้วยน้ำตา
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าการดำรงอยู่ของเหรียญสุดท้ายเหรียญนี้หมายถึงอะไร
เหรียญนี้คือตัวแทนของอั่งเปาแรกที่เขาได้มาจากพ่อแม่ของเขา มันคือเหรียญที่เป็นตัวแทนความรักของพ่อแม่ที่มีมอบให้ต่อลูกของตน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ มี่ตั้วตั้วจึงเพ่งความคิดของเขาไปยังเหรียญสุดท้ายทันที
แต่ผลกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหรียญยังคงนิ่งไม่ไหวติง…
มี่ตั้วตั้วที่เห็นเช่นนั้น เขาขมวดคิ้วสงสัยเป็นอย่างมาก
หรือว่าเขาคิดผิด? หรือว่าเหตุผลเบื้องหลังของเหรียญนี้จะไม่ใช่ความรัก? แล้วอะไรที่จะเหนือกว่าความรัก? หรือว่าแค่เหตุผลความรักอย่างเดียวจะไม่สมบูรณ์?
มี่ตั้วตั้วนั่งคิดอยู่สักพัก การให้เพราะความรักนั้นเป็นส่วนสำคัญก็จริงแต่การให้นั้นรวมไปถึงการ ‘เสียสละ’ ด้วยเช่นกัน
เมื่อนึกถึงเหตุผลที่สมบูรณ์นี้ได้เสียงใสกังวานได้ดังมาจากตัวเหรียญ ‘ติ๊ง’ เหรียญสุดท้ายได้พุ่งเข้าไปหลอมรวมกับเจดีย์ทันที
เมื่อเหรียญสุดท้ายได้หลอมรวมเข้ากับเจดีย์ ปรากฎการณ์อันมหัสศจรรย์ก็เกิดขึ้น เจดีย์ได้เปล่งลำแสงสีทองอร่ามยิงพุ่งขึ้นไปนยังท้องฟ้า กลายเป็นภาพเสมือนเสาทองคำปักอยู่กลางเมืองหลวง
ในเวลานี้ เจดีย์ทองคำเสร็จสมบูรณ์แล้ว จากนั้นมี่ตั้วตั้วโบกมือบังคับเจดีย์ให้ลอยเข้ามาหาตนเองเพื่อที่จะเก็บมันเข้าไปในแหวนมิติ แต่ในขณะที่เจดีย์ลอยเข้ามาหา มันไม่ได้หยุดลงหายไปในแหวนมิติแต่มันกลับพุ่งตรงหายเข้าไปในร่างของมี่ตั้วตั้วแทน
เมื่อเจดีย์ทองคำหลอมรวมเข้าไปยังร่างกายของมี่ตั้วตั้ว รัศมีแห่งดวงดาราสองจุดได้เปล่งขึ้นมาจากร่างกายของเขาทันที รัศมีแสงดาราทั้งสองสายนี้ได้พุ่งไปยังท้องฟ้า ซึ่งเป็นสัญญาณว่า การทะลวงขอบเขตรวมแสงดารากำลังเริ่มขึ้นแล้ว…