พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 139 ผิดแผน[รีไรท์]
บทที่ 139 ผิดแผน[รีไรท์]
เมื่อเห็นว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราทั้งสามจากไปแล้ว มี่ไลจึงตะโกนพูดกับพ่อนางให้ผู้คนที่เหลือที่ยังยืนสังเกตการณ์อยู่ได้ยินว่า “ท่านพ่อ ท่านหลิงรู้ดีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับตระกูลเรา เขาจึงบอกให้ข้านำอาวุธวิเศษของเขามาช่วยท่าน ท่านไม่ต้องกังวลไป เมื่ออยู่ต่อหน้าอาวุธวิเศษนี้ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบรวมแสงดาราก็ไม่สามารถต่อต้านมันได้”
มี่ตั้วตั้วยิ้มและตอบกลับอย่างมีความสุข “ดีมาก ดีจริง ๆ”
เมื่อชมมี่ไลเสร็จ มี่ตั้วตั้วก็หันไปหาเหลียงเจียฮุย และพูดว่า “ขอบคุณผู้บัญชาการเหลียงสำหรับความช่วยเหลือของท่าน!”
เหลียงเจียฮุยหัวเราะ “อันที่จริงข้าไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ถ้าแม่นางมี่มาเร็วกว่านี้บางทีการปรากฎตัวของข้าก็ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ แต่ผู้นำตระกูลมี่ อย่าหาว่าข้าฉวยโอกาสกับท่านเลย แต่ข้าคิดว่าต่อไปสถานการณ์ของท่านจะอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้าอยากให้ท่านลองพิจารณาข้อเสนอของข้าที่ได้เคยพูดกับท่านไว้เมื่อการมาเยือนครั้งที่แล้วสักหน่อย บางทีเราทั้งคู่อาจจะได้รับผลประโยชน์ที่น่าพึงพอใจทั้งสองฝ่าย และยิ่งไปกว่านั้นองค์จักรพรรดิจะทรงรับรองความปลอดภัยให้กับตระกูลของท่านด้วย”
“ขอบคุณสำหรับความเมตตาขององค์จักรพรรดิ แต่ข้ายังคงต้องขอเวลาคิดไตร่ตรองดูอีกสักหน่อย” มี่ตั้วตั้วตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ เขาต้องการดูสถานการณ์ให้มากกว่านี้ก่อนจากนั้นจึงค่อยตัดสินใจเรื่องเกี่ยวกับการร่วมมือกับราชวงศ์อีกครั้ง
หลังจากเหลียงเจียฮุยจากไป มี่ไลก็ตะโกนใส่บรรดาผู้คนที่มุงอยู่ว่า “เมื่ออยู่ต่อหน้าอาวุธวิเศษนี้ ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าใครมันจะกล้าลองดีชิงของจากตระกูลข้า!”
“มี่ไล เจ้าตามพ่อเข้าไปคุยข้างในกันก่อนเถอะ!” มี่ตั้วตั้วพูดแทรกมี่ไล พลางขยิบตาให้นางเดินตามเขาเข้าไปในคฤหาสน์
เมื่อเห็นสัญญาณของพ่อตนเอง มี่ไลจึงรีบเดินตามมี่ตั้วตั้วเข้าไปในคฤหาสน์ทันที
หลังจากสองพ่อลูกเข้าไปด้านในคฤหาสน์
มี่ไลได้เอ่ยความจริงเกี่ยวกับการที่นางไม่สามารถใช้หลิงจู้ได้ด้วยรอยยิ้มที่บูดเบี้ยว
มี่ตั้วตั้วที่ตอนนี้ฟังคำอธิบายของลูกสาวเขาจบแล้ว เขาส่ายหัวและพูดว่า “เจ้าไม่ควรมาที่นี่เลยจริง ๆ การมาของเจ้ายิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น หากเจ้าไม่มาแผนของพ่อที่จะสังหารชายสามคนนั่นคงจะสมบูรณ์ไปแล้ว”
มี่ไลเมื่อได้ยินพ่อของนางเอ่ยเช่นนี้ นางรู้สึกผิดหวัง นางอุตส่าห์เป็นห่วงพ่อของนาง นางทำแม้กระทั่งอ้อนวอนขออนุญาตหลิงตู้ฉิงเพื่อนำหลิงจู้ออกมาช่วยพ่อของนาง แต่ตอนนี้ผลตอบแทนที่นางได้รับจากพ่อของนางกลับเป็นคำตำหนิ
มี่ตั้วตั้วที่เห็นสีหน้าผิดหวังของลูกสาวตนเอง เขาจึงพยายามอธิบายว่า “เฮ้อ ทำไมเจ้าไม่ลองคิดให้ดี ๆ ที่ผ่านมาปรมาจารย์หลิงได้ลงทุนกับพ่อไปมาก เขาจะปล่อยให้พ่อตายง่าย ๆได้ยังไง ครั้งนี้ที่เขาไม่ส่งใครมาช่วยพ่อด้วยนั่นก็เพราะว่าเขาคงคำนวนและมั่นใจแล้วว่าพ่อสามารถจัดการปัญหาตรงนี้ได้ด้วยตัวเอง”
“และอันที่จริง พ่อเองก็สามารถจัดการปัญหาตรงนี้ด้วยตัวเองได้ด้วยเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ของพ่อ ในตอนแรกพ่อวางแผนที่จะสังหารพวกผู้เชี่ยวชาญที่มาสร้างปัญหาในวันนี้ทั้งหมด เพื่อบั่นทอนจำนวนตัวปัญหาออกไปและแสดงตัวอย่างให้คนอื่น ๆ ที่ยังไม่เคลื่อนไหวต้องชั่งใจกันไว้บ้าง แต่ตอนนี้หลังจากที่พวกเขาโดนเจ้าไล่กลับไปจนหมด ในครั้งหน้าที่พวกเขากล้ากลับมา พวกเขาคงจะมีจำนวนที่มากกว่าเดิมและคงจะพาคนที่มีความมั่นใจพอที่จะสยบหลิงจู้ในมือเจ้าได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นพ่อเองก็ไม่สามารถจัดการกับพวกเขาได้อีกแล้ว”
ได้ยินคำอธิบายของมี่ตั้วตั้ว มี่ไลในเวลานี้นางก้มหน้าลงมองพื้นด้วยอารมณ์รู้สึกผิดที่มาทำลายแผนการพ่อของนางด้วยความใจร้อนของตัวเอง
มี่ไลพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด “ท่านพ่อ ข้าขอโทษ งั้นข้าจะรีบกลับไปเดี่ยวนี้”
มี่ตั้วตั้วส่ายหัว เขายิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ถึงเจ้าจะกลับไปตอนนี้มันก็ไม่ช่วยอะไรหรอก ไหน ๆ เจ้าก็มาที่นี่แล้ว ถึงพ่อจะตำหนิเจ้า แต่พ่อเองก็ดีใจที่เจ้าเป็นห่วงพ่อและรีบรุดหน้ามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือพ่อ เอาเป็นว่าเจ้าก็อยู่ที่นี่ก่อนสัก 3-4 วัน แม่กับน้องของเจ้าเองก็อยู่ที่นี่แล้ว นาน ๆ ครั้งเราจะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันสักที”
มี่ไลพยักหน้า พร้อมกับอารมณ์ที่ดีขึ้นเล็กน้อย
หลังจากมี่ไลแยกตัวไปทักทายแม่กับน้องของนาง มี่ตั้วตั้วเรียกเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ออกมาจากร่างและจ้องดูมันพลางพึมพำกับตัวเอง “ดูเหมือนว่าข้าจะต้องหาเงินเพิ่มให้ได้เร็วที่สุด ตราบใดที่ข้ามีเงินมากพอข้าก็ไม่จำเป็นต้องกลัวใครหน้าไหน!”
เมื่อพึมพำกับตัวเองเสร็จมี่ตั้วตั้วได้ตะโกนเรียกบ่าวรับใช้คนสนิทให้เข้ามาและสั่งว่า “เจ้าจงไปหาแม่ทัพหลิงและอธิการบดีจ้าว เจ้าจงไปแจ้งกับพวกเขาว่าข้ามีเรื่องสำคัญต้องการคุยกับพวกเขาให้พวกเขามาพบข้าที่นี่ที”
ในระหว่างที่มี่ตั้วตั้วกำลังหาทางรับมือกับปัญหาอยู่นั้น หลิงตู้ฉิงในเวลานี้กำลังยืนดูลั่วหาวที่กำลังนั่งวาดภาพ
ลั่วหาวที่ตอนนี้กำลังพยายามวาดภาพอะไรสักอย่างที่ดูคล้ายก้อนสีแดงหยึกหยักยุ่งเหยิงไร้รูปทรง มันเป็นภาพวาดที่คนธรรมดาดูยังไงก็ไม่มีวันเข้าใจว่ามันคือภาพอะไร
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วและถามขึ้น “เจ้ากำลังวาดอะไร? ทำไมข้ารู้สึกเหมือนว่าเจ้ากำลังพยายามวาดภาพดวงอาทิตย์?”
ลั่วหาวเงยหน้าขึ้นมองมายังหลิงตู้ฉิง เขาพยักหน้าและตอบด้วยน้ำเสียงหดหู่ “ใช่แล้ว ท่านอาจารย์หลิง ข้ากำลังพยามวาดดวงอาทิตย์อยู่ แต่มันติดปัญหาตรงที่ไม่ว่าข้าจะวาดยังไงมันก็ไม่เป็นดวงอาทิตย์สักที ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “หากเป็นก่อนหน้าที่เจ้ายังไม่บรรลุในเส้นทางเต๋าแห่งการวาดภาพ เจ้าจะสามารถวาดดวงอาทิตย์ได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ในเวลานี้ที่เจ้าเริ่มจะเข้าสู่เส้นทางเต๋าแห่งการวาดภาพแล้ว ด้วยความสามารถของเจ้าในตอนนี้การวาดภาพดวงอาทิตย์ออกมามันเกินความสามารถของเจ้าเกินไปมาก เจ้าควรจะเริ่มฝึกวาดจากอะไรที่ง่าย ๆ ที่เจ้าคุ้นเคยและเข้าใจมากที่สุดก่อน และเมื่อในอนาคตที่เจ้ามีความมั่นใจเพียงพอแล้วเจ้าค่อยลองกลับมาวาดมันใหม่อีกครั้ง”
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านอาจารย์หลิง” ลั่วหาวตอบกลับด้วยแววตาเปล่งประกาย
เมื่อเสร็จจากลั่วหาว หลิงตู้ฉิงเดินไปหาจูเหยียนที่กำลังนั่งปักลายผ้าอยู่อย่างใจจดใจจ่อ เมื่อมองดูนางได้สักพักหลิงตู้ฉิงจึงพูดว่า “เจ้าหยุดฝึกปักลายผ้าไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน ต่อจากนี้เจ้าจงไปนั่งเล่นหมากรุกกับ ลูก ๆ ของข้าแทน เมื่อไหร่ที่เจ้าบรรลุการเล่นหมากรุกอย่างท่องแท้แล้วเจ้าค่อยกลับมาฝึกปักลายผ้าต่อ”
หลิงตู้ฉิงที่พึ่งเห็นการฝึกของลั่วหาวกับจูเหยียนที่พวกเขากำลังทำอยู่ หลิงตู้ฉิงไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจกับความทะเยอทะยานของพวกเขาดี อีกคนหนึ่งกำลังพยายามวาดรูปดวงอาทิตย์ อีกคนหนึ่งกำลังพยายามปักลายผ้าเป็นภาพท้องฟ้าที่มีหมู่ดวงดาวนับไม่ถ้วนเรียงรายกัน
สิ่งเหล่านี้ที่พวกเขากำลังฝึกมันยิ่งใหญ่เกินตัวของพวกเขาในตอนนี้ไปนับล้านเท่า พวกเขาจะฝึกมันสำเร็จได้ยังไง!
จากนั้นหลิงตู้ฉิงเดินไปหาหลูหลิง เขาส่ายหัวทันทีเมื่อเห็นถึงสิ่งที่นักศึกษาคนนี้กำลังเล่นกับสมุนไพรพิษ
“เจ้าทำแบบนั้นมันไม่ถูก” หลิงตู้ฉิงส่ายหัวพลางพูดกับหลูหลิง
หลูหลิงที่ได้ยินเสียงของหลิงตู้ฉิงดังมาจากด้านข้าง เขาสะดุ้งและหันกลับไปมองหลิงตู้ฉิงและรีบถามขึ้น “ท่านอาจารย์หลิง ข้าทำอะไรผิดตรงไหนงั้นเหรอ?”
“เจ้ากลัวการเสียเกียรติ เจ้ากลัวเจ็บ และเจ้ากลัวตายไหม?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยเลศนัย
หลูหลิงในเวลานี้มองไปยังรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยเลศนัยของหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้ากังวล
หลิงตู้ฉิงเมื่อเห็นว่าฝั่งตรงข้ามยังไม่ตอบเขาจึงพูดต่อ “นอกเหนือจากลั่วหาวกับจูเหยียน เจ้าเป็นอีกคนที่ข้าสนใจมากที่สุด ข้าสามารถทำให้เจ้ามีอนาคตอันไร้ขีดจำกัดได้ แต่เจ้าต้องคิดทบทวนให้ดี ๆ เนื่องจากวิธีการของข้าที่จะทำให้อนาคตเจ้าสดใสนั้น ค่อนข้างที่จะไม่งดงามสักเท่าไหร่สำหรับตัวเจ้า”
หลูหลิง เมื่อได้ยินเช่นนี้เขายิ่งออกอาการกังวลมากยิ่งขึ้น แต่เมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่มาอยู่ที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์ ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยจะได้เรียนรู้อะไรสักเท่าไหร่ ฉะนั้นเมื่อโอกาสมาถึงตรงหน้าแล้ว เขาครุ่นคิดอยู่เพียงแว่บเดียวและตอบทันที “ท่านอาจารย์หลิง ข้าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น โปรดชี้แนะข้าที!”
“ดีมาก!” หลิงตู้ฉิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น จากนั้นเขายกนิ้วขึ้นและสลักข้อความไว้บนหน้าผากของหลูหลิงทันที ข้อความนั้นถูกเขียนไว้ว่า ‘ห้ามสังหาร ห้ามทำให้พิการ นอกเหนือจากนั้นจงรังแกเขาได้ตามใจชอบ!’
เมื่อสลักข้อความบนหน้าผากเสร็จ ข้อความต่าง ๆ ก็จางหายเข้าไปในหน้าผากของหลูหลิง จากนั้นหลิงตู้ฉิงได้วาดอักขระลงบนข้อมือของหลูหลิงและพูดว่า “นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าจะต้องออกจากศาลาศักดิ์สิทธิ์และเจ้าห้ามกลับเข้ามาที่นี่จนกว่าอักขระที่อยู่บนข้อมือของเจ้าจะสลายไป หากเจ้าทำไม่ได้เจ้าไม่ต้องกลับเข้ามาที่นี่อีก”
หลูหลิงเมื่อได้ยินคำสั่งนี้ เขามองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าตกตะลึง เขาไม่รู้ว่าคำสั่งแปลก ๆ นี้หมายถึงอะไร
หลิงตู้ฉิงที่เห็นหลูหลิงยังยืนตะลึงอยู่จึงตวาดใส่ “ทำไมเจ้ายังไม่ไปอีก ออกไปจากที่นี่ซะอย่ากลับมาจนกว่าเจ้าจะทำตามที่ข้าบอกได้สำเร็จ ไป!”
หลูหลิง เมื่อได้ยินหลิงตู้ฉิงตวาด เขาไม่กล้ายืนรีรออีกต่อไป เขารีบวิ่งออกไปจากศาลาศักดิ์สิทธิ์ทันที
เมื่อเขาวิ่งออกมาจากศาลาศักดิ์สิทธิ์แล้ว ในขณะที่เขากำลังยืนเหม่อคิดถึงเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นกับตัวเอง จู่ ๆ นักศึกษาชายจากคณะโอสถศาสตร์ที่เดินมาใกล้ตัวเขาอยู่ ๆ ก็ถ่มน้ำลายใส่หน้าของเขาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยและเดินจากไปด้วยสีหน้าดูถูก
หลูหลิงที่กำลังงุนงงกับสถานการณ์ที่อยู่ดี ๆ เขาก็โดนคนอื่นถ่มน้ำลายใส่หน้า เขาตะโกนขึ้นมาด้วยความโมโห “ไอ้เวรเอ้ย เจ้าอยากตายรึไงกัน…”
หลูหลิงอยากจะเดินตามเข้าไปอัดชายผู้นั้นอยู่เต็มประดา แต่เมื่อเขาตรวจสอบเห็นว่าชายผู้นั้นมีระดับการบ่มเพาะเหนือกว่า หลูหลิงจึงทำได้แต่ยืนตะโกนด่าอยู่ที่เพียงไม่กี่คำ จากนั้นก็รีบเดินหนีไปด้วยความเจ็บใจ
แต่หลังจากที่หลูหลิงเดินหนีมา เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเขาเริ่มเลวร้ายลงเรื่อย ๆ บรรดาผู้คนที่เจอหน้าเขาในเวลานี้ ทุกคนล้วนแต่มองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม ดูถูก เกลียดชัง บางคนจู่ ๆ เดินเข้ามาด่าเขาแบบไม่มีเหตุผล บางคนถึงขั้นลงไม้ลงมือกับเขาเลยด้วยซ้ำ
หลูหลิงในตอนนี้รู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจที่เขาบอกกับหลิงตู้ฉิงเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่ฉลาดนักแต่เขาก็รู้ได้ว่าเรื่องประหลาด ๆ ที่เกิดขึ้นกับเขาในตอนนี้มันเกี่ยวข้องกับหลิงตู้ฉิงที่ไล่เขาออกจากศาลาศักดิ์สิทธิ์แน่นอน
ทางด้านหลิงตู้ฉิงในเวลานี้ เขาสามารถสัมผัสได้กับทุกสิ่งที่หลูหลิงเผชิญในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผ่านมา เขาพึมพำกับตัวเองว่า “ไอ้หนู พิษที่ร้ายแรงที่สุดไม่ได้มาจากสมุนไพรแต่มันกำเนิดขึ้นมาจากใจคน ลิ้มรสประสบการณ์ที่เป็นดั่งพิษร้ายจากผู้คนบนโลกนี้ให้หมดซะ นำประสบการณ์เหล่านี้ปลุกพรสวรรค์ดวงใจทมิฬของตัวเจ้าเอง”