พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 197 เจ้ากลัวความตายหรือไม่?
บทที่ 197 เจ้ากลัวความตายหรือไม่?[ฟรี]
วันถัดมาทุกคนในคฤหาสน์สราญรมย์ได้เข้าไปในรถม้า ซึ่งถูกลากโดยกงหนิวพุ่งไปยังศาลาศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว
ส่วนบรรกายากาศภายในรถม้านั้น ทุกคนที่พึ่งได้เข้ามาด้านในรถม้าเป็นครั้งแรกหลังที่จากที่หลิงตู้ฉิงปรับแต่งมันเสร็จ พวกเขาต่างก็ต้องตกตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงภายในที่มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาได้หลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว
ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใด หลิงตู้ฉิงจึงใช้เวลาปรับแต่งรถคันนี้นานมาก เขาได้สร้างสิ่งที่น่าอัศจรรย์ขึ้นอีกแล้ว
“พวกเจ้าไม่ต้องแปลกใจอะไรหรอก ขนาดของมันเท่ากับเพียงถ้ำเล็ก ๆ เท่านั้น” หลิงตู้ฉิงอธิบายว่า “แต่ถ้ำเล็ก ๆ นี้ที่พวกเจ้าเห็นอยู่ ความแข็งแกร่งของมันก็พอ ๆ กับทักษะ ‘อาณาเขต’ ซึ่งเป็นความสามารถของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ที่สามารถสร้างออกมาได้ เพราะฉะนั้นต่อให้เผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญมากมายที่อยู่ข้างนอกนั่นพวกเจ้าก็ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว”
ในชีวิตชาติที่แล้วหลิงตู้ฉิงเป็นตัวตนที่ทรงพลังมหาศาล แต่ในชีวิตปัจจุบัน ตอนนี้เขามีพลังเพียงแค่จุดสูงสุดขอบเขตควบแน่นลมปราณเท่านั้น
และถึงต่อให้เขาจะสามารถใช้อาวุธวิเศษระดับราชวงศ์ของเขาในการสังหารเหล่าศัตรูได้ แต่หลิงตู้ฉิงยังตระหนักได้ดีว่าเขายังขาดสมบัติที่ไว้ใช้สำหรับป้องกันคนรอบ ๆ กายเขา ดังนั้นรถม้าคันนี้ที่เขาปรับแต่งขึ้นใหม่จึงเป็นสิ่งที่เข้ามาลบจุดอ่อนตรงนี้ของเขาไปได้
“ต่อไปนี้เมื่อเวลาที่พวกเราออกมาข้างนอกคฤหาสน์ พวกเจ้าอย่าไปไกลจากข้ามากเกินไป ไม่งั้นข้าจะไม่สามารถปกป้องพวกเจ้าได้” หลิงตู้ฉิงเตือน
ทุกคนพยักหน้า ต่างคนต่างรู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ตึงเครียดมากขนาดไหน
เมื่อทุกคนคุยกันไปได้สักพัก กงหนิวก็ลากรถม้ามาถึงศาลาศักดิ์สิทธิ์
ในสายตาของคนทั่วไปความเร็วระดับนี้ในการเดินทางยังเป็นอะไรที่อัศจรรย์มาก แต่อันที่จริงแล้วหากเทียบกับความเร็วก่อนที่รถม้าจะถูกปรับแต่งมันถือว่าช้าเป็นอย่างมาก
เนื่องจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมหาศาลหลังการปรับแต่ง แม้ว่าตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของกงหนิวจะเพิ่มมาเป็นขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 5 และบวกกับอักขระเวทย์จำนวนมากที่หลิงตู้ฉิงประทับไว้ ซึ่งทำให้น้ำหนักเบาลง แต่กงหนิวก็ยังต้องออกแรงมากในการบังคับมัน
เมื่อรถม้ามีความเร็วที่ช้าลงจนทำให้ผู้คนมองตามได้ทัน กลุ่มคนที่จับตาดูวามเคลื่อนไหวของหลิงตู้ฉิงจึงเห็นได้ชัดเจนว่าเขากำลังออกเดินทางและตกเป็นเป้าชั้นดีในการโจมตี
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขานึกถึงความน่ากลัวของโม่หยูถังและสถานะของหลิงตู้ฉิงที่อาจจะเป็นตัวตนที่สำคัญจากสำนักเก้าเทพอสูร หลายคนจึงบังเกิดความลังเลขึ้นมา
“ท่านจือ ท่านไปตกลงอะไรกับพวกเขาไว้?” หลูซ่างเก๋อเดินมาข้างหน้าจือหมิงฮ่าว และถามว่า “ทำไมหลิงตู้ฉิงที่ก่อนหน้านี้เก็บตัวอยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์ตลอดไม่กล้าออกมา ตอนนี้ทำไมเขาถึงออกมาข้างนอกหลังจากที่ท่านไปเจรจากับเขา?”
จือหมิงฮ่าวพูดอย่างตรงไปตรงมา “เราบรรลุข้อตกลงที่จะทำงานร่วมกันเพื่อดูแลร่างของผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์แล้ว ข้าจะได้รับส่วนแบ่งผลประโยชน์จากมันถึงหนึ่งในสาม ในเวลา 7-8 ปี”
หลูซ่างเก๋อขมวดคิ้วและถาม “นี่ท่านตัดสินใจจะไม่แย่งชิงมันแล้วงั้นเหรอ?”
จือหมิงฮ่าวส่ายหัวและพูดว่า “ในเมื่อข้าสามารถตกลงกับเขาได้อย่างสันติ แล้วทำไมข้าจะต้องไปแย่งชิงสร้างความบาดหมางกับเขาอีก? ท่านลืมไปแล้วรึไงว่าเขาเป็นคนจากสำนักเก้าเทพอสูร”
หลูซ่างเก๋อจากไปพร้อมกับอาการขมวดคิ้ว
อันที่จริงหลูซ่างเก๋อต้องการแนวร่วมที่จะโจมตีคฤหาสน์ศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาไม่เพียงแต่ต้องการเลือดของโจวจื่อซินเท่านั้น แต่เขายังรู้ด้วยว่ามีสมบัติวิเศษมากมายอยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์และความวิเศษของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเลือดของโจวจือซินเลย
จากมุมมองของเขา สมบัติเหล่านั้นมีค่ายิ่งกว่าเลือดของโจวจือซินเสียอีก
เวลานี้ข่าวเกี่ยวกับดอกไม้ฟื้นชีพก็เริ่มแพร่กระจาย ผู้คนรู้สึกตื่นเต้นกันมากหลังจากที่ได้รู้ข่าวของมัน
ภายในศาลาศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าหลิงตู้ฉิงและอาจารย์คนอื่น ๆ จะไม่ได้มาสอนมาเกือบ 2 เดือนแล้ว แต่ผลกระทบต่อศาลาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มากนัก
นักศึกษาทั้งหมดต่างยังคงอยู่ในช่วงทำความเข้าใจกับหลาย ๆ สิ่งที่พวกเขาเรียนรู้ไปก่อนหน้าจากชั้นเรียนของศาลาศักดิ์สิทธิ์ และบางครั้งพวกเขาก็จะประลองฝีมือหาประสบการณ์ร่วมกัน ซึ่งการประลองส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นล้วนเกิดมาจากเด็กผู้หญิงที่ถูกเรียกว่า เหมยจู้
นางชอบประลองกับคนอื่นเป็นพิเศษ แน่นอนว่าบางครั้งนางก็ถูกทุบตีอย่างน่าอนาถ
เมื่อหลิงตู้ฉิงและเด็ก ๆ กลับมาที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์ เหมยจู้ รีบวิ่งมาหาและพูดว่า “อาจารย์หลิง ท่านดูสิในช่วงเวลาที่ท่านไม่อยู่ที่นี่ ข้าถูกพวกเขารังแกข้าซะจนน่วมไปหมดแล้ว ท่านมีวิธีทำให้ข้าแข็งแกร่งขึ้นเร็ว ๆ บ้างไหม?”
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วมองไปยังนางและตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ใครกันรังแกเจ้า? อย่าคิดว่าข้าไม่อยู่แล้วข้าจะไม่รู้ ว่าเจ้าเป็นฝ่ายที่ไปท้าพวกเขาก่อนแทบทั้งนั้น เจ้าไปท้าพวกเขาทั้งที่พื้นฐานของเจ้าอ่อนแอกว่า ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าไม่มีสมองรึว่ายังไง เจ้าคิดไม่ได้จริง ๆ รึว่าอย่างน้อย ๆ เจ้าก็ควรพัฒนาตัวเองเสียก่อน อันที่จริงการที่เจ้าจะใช้วิธีการต่อสู้จริงเพื่อพัฒนาตัวเองมันก็ไม่ผิด แต่สิ่งที่จำเป็นยิ่งกว่าคือเจ้าต้องหัดสงบสติอารมณ์ และอยู่กับตัวเองเพื่อทบทวนความเข้าใจของหลักการบ่มเพาะและกระบวนท่าที่เจ้าใช้งานบ้าง ไม่ใช่มาเจ้าทำตัวเหมือนหมาบ้าพยายามไล่กัดคนนู้นทีคนนี้ทีแบบไม่นำประสบการณ์ที่ได้รับมาจากการต่อสู้มาทบทวนเลยแบบนี้”
“อย่าคิดหลงตัวเองเอาความมั่นใจของเมื่อก่อนตอนเจ้าอยู่ข้างนอกแล้วมีคนเยินยอว่าเจ้ามีพรสวรรค์อย่างนู้นอย่างนี้ มาเหมารวมว่าคนที่นี่จะอ่อนแอกว่าเจ้า ข้าขอพูดกับเจ้าอย่างตรงไปตรงมาว่า หากนับเรื่องพรสวรรค์ของเจ้า เมื่อเทียบกับบรรดาคนอื่นที่อยู่ที่นี่ เจ้าไม่ได้ติดอยู่ในสิบอันดับแรกของศาลาศักดิ์สิทธิ์ด้วยซ้ำ”
เหมยจู้ รู้สึกผิดและพูดว่า “ข้าผิดไปแล้วท่านอาจารย์หลิง แต่ถ้าท่านอาจารย์หลิงเต็มใจที่จะชี้แนะข้า ข้ามั่นใจว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอีก”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่เหมยจู้ และถามอย่างจริงจัง “เจ้ากลัวความตายรึเปล่า? คิดดี ๆ ก่อนตอบ ข้าไม่ได้ล้อเล่นกับเจ้า ข้าสามารถให้คำแนะนำเจ้าได้ด้วยตัวเจ้าเอง แต่ถ้าเจ้าไม่สามารถผ่านมันไปได้เจ้าจะต้องตายจริง ๆ”
เหมยจู้ตัวสั่นและนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนที่นางจะพูดว่า “ข้ากลัวความตาย แต่ข้าต้องการที่จะแข็งแกร่ง ดังนั้นข้าขอให้ท่านช่วยชี้แนะให้ข้า!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ได้ งั้นข้าจะสร้างพื้นที่พิเศษสำหรับเจ้าเพื่อให้เจ้าใช้มันคนเดียวในการฝึกฝน”
หลังจากพูดจบ หลิงตู้ฉิงออกเดินไปยังพื้นที่ว่างข้างสนามฝึกและเริ่มวาดอักขระเวทย์ลงบนพื้นส่งผลให้โดมพลังวิญญาณสีดำทมิฬสูง 2 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 4 เมตรก่อตัวขึ้นในบริเวณที่ถูกหลิงตู้ฉิงประทับอักขระเวทย์ และจากนั้นเขาเรียกโม่หยูถังให้เข้ามาและให้โม่หยูถังใส่พลังวิญญาณเก้าเทพอสูรลงไปด้านในโดม
“ถ้าทำใจได้แล้วก็เข้าไปซะ!” หลิงตู้ฉิงตะโกนสั่ง “ถ้าต่อมาข้าเห็นร่างไร้วิญญาณของเจ้านอนอยู่ข้างในข้าจะไม่แปลกใจเลย แต่ถ้าเจ้าสามารถรอดออกมาได้ ความแข็งแกร่งของเจ้าจะเพิ่มขึ้นไปอย่างก้าวกระโดดอย่างแน่นอน แต่ในฐานะที่เจ้าเป็นนักศึกษาของข้า ข้าจะมอบบางสิ่งที่จะสามารถช่วยให้เจ้ารอดตายได้ 3 ครั้ง”
เมื่อพูดจบหลิงตู้ฉิงก็ได้หยดเลือดของเขาสามหยดลงบนหน้าผากของเหมยจู้
“เอาล่ะหากเจ้าต้องการจะสั่งเสียกับคนที่บ้านเจ้าควรจะรีบไปเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าหากไม่มี เจ้าก็ควรรีบเข้าไปตามหาความแข็งแกร่งของเจ้าด้านใน!” เมื่อพูดจบประโยคหลิงตู้ฉิง หันหลังกลับและเดินจากไปทันที
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง เหมยจู้ก็รู้สึกความกลัวเริ่มเกาะกินหัวใจของนางหนักขึ้นเรื่อย ๆ นางไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงเตรียมอะไรไว้ในพื้นที่ฝึกฝนพิเศษนี้
แต่เมื่อนึกถึงความฝันของตัวเองที่ต้องการแข็งแกร่งยิ่งกว่าใคร ๆ นางบังคับตัวเองให้สงบลงและเดินเข้าสู่พื้นที่ฝึกทันที
แต่เมื่อนางเข้าไปด้านใน ร่างคนที่ดูเหมือนนางก็ปรากฏตัวขึ้นและแทงกระบี่ใส่นางโดยไร้ความลังเล
“นี่มัน เพลงกระบี่อินทรีย์สังหาร ที่ข้าพึ่งคิดค้นได้สำเร็จนี่นา!?” เหมยจู้ตกใจ “ข้ายังไม่เคยได้ใช้ให้ใครที่ไหนเห็นเลย แล้วไอ้เจ้านี่มันเอามาใช้กับข้าได้ยังไง!?”
ตอนนี้นางรู้สึกสับสนและตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพลงกระบี่อินทรีย์สังหาร ที่นางกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ เป็นเพลงกระบี่ที่นางพึ่งคิดค้นขึ้นมาได้แถมนางยังไม่เคยฝึกใช้งานมันจริง ๆ ด้วยซ้ำ นางจึงยังไม่รู้ว่าจะรับมือมันยังไงนางจึงทำได้เพียงแค่หันหลังและวิ่งหนีเพื่อหลบมัน
เมื่อเห็นว่าเหมยจู้เริ่มหนีร่างที่อยู่ตรงหน้า นางจึงใช้เพลงกระบี่อินทรีย์สังหารอีกครั้ง และไล่กวดตามนางไป
คราวนี้เหมยจู้รู้เหตุผลของคำถามที่จริงจังของหลิงตู้ฉิงแล้ว นางสัมผัสได้ว่าหากนางเกิดพลาดพลั้งขึ้นมา ไอ้ตัวที่รูปร่างเหมือนนางจะต้องใช้ เพลงกระบี่อินทรีย์สังหาร ของนางสังหารนางแน่นอน
ตอนนี้เมื่อเวลายิ่งผ่านไป เหมยจู้ก็ยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย
หลิงตู้ฉิงมองไปที่เหมยจู้ที่ถูกทุบตีและคลานไปทั่วพื้นภายในพื้นที่ที่หลิงตู้ฉิงสร้างขึ้น โดยไม่พูดอะไร เขาทำเพียงแต่วางป้ายคำสั่งห้ามไม่ให้คนอื่นเข้าไปรบกวนเพียงเท่านั้น
ส่วนเหมยจู้ ต่อให้นางจะเป็นจะตายเขาก็ไม่สนใจเพราะนี่เป็นวิธีที่เหมยจู้ร้องขอด้วยตัวนางเอง