พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 222 ผู้ที่ฟื้นจากความตาย
บทที่ 222 ผู้ที่ฟื้นจากความตาย[ฟรี]
ในขณะนี้เหลียงซานก็รออยู่เช่นกัน
จางหมิงที่ยังไม่กลับมาพร้อมกับสมบัติวิเศษที่สำคัญมากกับแผนการของเขา เขาต้องรอจนกว่าจางหมิงจะมาถึง
นอกจากนั้นยังไม่มีใครจากสันเขาหมื่นอสูรและไม่มีใครจากหมู่บ้านราตรีทมิฬมาถึงเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อจือหมิงฮ่าวเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องการบุกคฤหาสน์สราญรมย์ เหลียงซานจึงได้ให้คำตอบไปกับเขาแค่ยังคงให้รอต่อไป
จือหมิงฮ่าวจากไปพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
ในอีกด้านหนึ่ง อู่หยุนจี๋และคนจากกองทัพศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับกลุ่มของขันทีที่ถูกส่งมาโดยเจ้านายเดียวกันของพวกเขา
เนื่องจากคำสั่งของพวกเขาที่ได้รับมานั้นแตกต่างกัน
อู่หยุนจี๋นั้นได้รับคำสั่งให้มาที่ทะเลชางหมางเพื่อช่วยเหลียงซานรวมดินแดนในทะเลชางหมาง แต่สำหรับบรรดาขันทีอีก 12 คนนั้นพวกเขาได้รับคำสั่งให้มารับตัวเหลียงเฟ่ยเอ๋อไปกับพวกเขา
ซึ่งตอนนี้เวลามันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว และเรื่องการรับตัวเหลียงเฟ่ยเอ๋อก็ยังไม่คืบหน้าเลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้จึงทำให้พวกเขาทุกคนต่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการมาในสถานที่ที่น่าสังเวชเช่นนี้จะเสียเวลามากกว่าที่คิด
อย่างไรก็ตาม หากเหลียงซานไม่สั่งการกองทัพศักดิ์สิทธิ์ให้บุกถล่มคฤหาสน์สราญรมย์ พวกเขาย่อมไม่กล้าไปที่คฤหาสน์สราญรมย์ด้วยตัวเอง
ตอนนี้อาณาจักรจันทราดูสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำ แต่ใต้น้ำกำลังพล่านไปด้วยคลื่น
เมื่อไม่นานมานี้แม่ทัพใหญ่หลิงเจิ้งสงผู้นำทัพครึ่งหนึ่งของอาณาจักรเป็นเวลาหลายสิบปีก็ขอสละตำแหน่งของตัวเองด้วยเหตุผลในเรื่องความชราและเลือกที่จะเกษียนตัวเองอยู่ในแต่ในคฤหาสน์ของเขา และสิ่งที่แปลกอีกอย่างก็คือเหลียงซานยอมอนุญาตตามคำขอโดยไม่เอ่ยถามใด ๆ ซึ่งเรื่องนี้ตามปกติแล้วมันดูเป็นไปไม่ได้ที่เหลียงซานจะไม่ขอให้หลิงเจิ้งสงแม่ทัพอาวุโสที่ทำงานอย่าซื่อสัตย์มานานให้อยู่ต่อ
ไม่ว่าจะอย่างไร หลิงเจิ้งสงนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราถึงแม้ว่าเขาจะมีอายุที่มากขึ้นก็จริง แต่ด้วยความแข็งแกร่งของระดับการบ่มเพาะของเขา มันก็ไม่ควรถึงขนาดที่จะทำให้แม่ทัพชราผู้นี้หมดเขี้ยวเล็บไปง่าย ๆ แบบนี้
คนส่วนใหญ่ที่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น บางคนก็คิดไปว่าการขอออกจากราชการของหลิงเจิ้งสง คงหมายถึงตระกูลหลิงได้สูญเสียอำนาจไปแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านกำลังพยายามทำอะไรอยู่?” หลิงเล่อชานพูดกับหลิงเจิ้งสง “เห็นได้ชัดว่าพวกเราเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในอาณาจักรจันทรา และการที่องค์จักรพรรดิใช้กองกำลังจากภายนอกมาแก้ปัญหา นั่นก็หมายความว่าเขาย่อมจะให้ความสำคัญกับท่านและไม่ต้องการให้ท่านต้องลำบากใจและยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลังจากจบเรื่องทั้งอำนาจและศักดิ์ศรีของตระกูลหลิง ตระกูลของเราควรจะเติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็งและแข็งแกร่ง แต่ถ้าหากท่านขอลาออกตอนนี้ก็ชัดเจนว่าท่านต้องการต่อต้านองค์จักรพรรดิ ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าการช่วยเหลือหลานชายของท่านมันสำคัญมากนักจนท่านยอมแลกทุกอย่างเลยงั้นเหรอ?”
หลิงเจิ้งสงตอบว่า “มีหลายสิ่งที่เจ้าไม่เข้าใจและข้าขี้เกียจที่จะบอกเจ้า ข้าเคยขอให้เจ้าลาออกมานานแล้ว แต่เจ้าก็ไม่ได้ฟังข้า มันจะมีสักวันที่พวกเจ้าจะต้องเสียใจที่ไม่ฟังข้า”
หลิงเล่อชานพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านพ่อ ดูเหมือนว่าท่านจะตัดสินใจแล้วสินะว่าท่านต้องการที่จะติดตามหลานชายของท่านเพื่อก่อกบฏ? แต่ท่านต้องอย่าลืมว่าตอนนี้องค์จักรพรรดิได้เรียกกำลังสนับสนุนมามากมาย หลานชายของท่านคงไม่มีโอกาสที่จะทำสิ่งที่เขาหวังได้สำเร็จหรอก ข้ากำลังคิดว่าข้าควรใช้โอกาสนี้ออกห่างจากหลานชายของท่านให้ได้มากที่สุด ไม่งั้นเมื่อถึงเวลาที่ทุกอย่างมันจบลง ข้าจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนตามไปด้วย”
หลิงเจิ้งสงเยาะเย้ย “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะทำอะไร เจ้าไม่จำเป็นต้องฟังข้า เพราะแม้ว่าข้าจะให้พวกเจ้าอยู่ที่คฤหาสน์พวกเจ้าก็คงไม่ยอมอยู่เฉย ๆ อยู่ดี แต่ข้าจะบอกเจ้าสองอย่าง อย่างแรกข้าเป็นคนเดียวที่สามารถเคลื่อนย้ายองครักษ์ส่วนตัวของตระกูลทั้งหมดได้ อย่างที่สองห้ามมิให้ผู้ใดแตะต้องรูปแบบค่ายกลที่วางไว้รอบคฤหาสน์ไม่เช่นนั้น…หึหึ!”
จริง ๆ แล้วหลิงเจิ้งสงเองก็พอจะเข้าใจที่ลูกชายของเขาบ่นออกมาแบบนี้เพราะเขารู้ว่าก่อนหน้านี้ลูกชายของเขามีเรื่องเดือดร้อนเพราะหลิงตู้ฉิงมามากมาย และถ้าเขาบอกหลิงเล่อชานเกี่ยวกับแผนการ แผนทุกอย่างอาจถูกเปิดเปยโดยบังเอิญจากลูกชายของเขา
เขาทำได้เพียงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะจำกัดการเคลื่อนไหวของลูกชายเขาให้ได้มากที่สุด เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ทำอะไรที่ผลเสียต่อแผนการของหลิงตู้ฉิงในอนาคต
จากข้อมูลที่เขารวบรวมมา หากเขาเดินหมากผิด ในอนาคตจะไม่มีโอกาสให้แก้ตัว สองพ่อลูกที่กำลังคุยกัน จู่ ๆ เสียงหวีดยาวที่ดังและชัดเจนก็ดังไปทั่วท้องฟ้า จากนั้นแรงกดดันที่ท่วมท้นก็หล่นลงทับลงมาบนหัวของทุกคน
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองร่างบนท้องฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟที่โหมกระหน่ำ ไม่มีใครรู้ว่าผู้เชี่ยวชาญปริศนาที่พึ่งมาถึงผู้นี้คือใคร
ในขณะนี้ร่างสีแดงเพลิงตะโกนขึ้น “หลิงตู้ฉิงออกมาเดี๋ยวนี้!”
ทุกคนเมื่อได้ยินเช่นนี้ต่างสะดุ้ง เกิดอะไรขึ้น? เป็นไปได้ไหมที่การต่อสู้ครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น?
ภายในคฤหาสน์สราญรมย์หลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ ก็ได้ยินเสียงนี้เช่นกัน
“นายท่าน เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในขอบเขตนภาระดับ 10” ซือโถวเหวินหยวน เสี่ยวเยว่เฟิงและคนอื่น ๆ พูด
โม่หยูถังรู้สึกประหลาดใจและพูดว่า “นายท่าน ทำไมข้ารู้สึกคุ้น ๆ ว่าเสียงนี้เป็นของคนที่ได้ตายไปแล้ว?”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ท้องฟ้าอย่างแปลกใจ เขาตั้งสมาธิและในที่สุดเขาก็จำคนบนท้องฟ้าได้
ร่างที่อยู่บนท้องฟ้าตอนนี้นั่นก็คือเจิ้นป่าเจ่าที่ตายไปแล้วนั่นเอง!
เสี่ยวเยว่เฟิงไม่ได้ตบมันจนบี้แบนตายบนพื้นไปแล้วเหรอ? ทำไมมันถึงฟื้นขึ้นมา? สิ่งที่แปลกประหลาดกว่าคือมันมาถึงขอบเขตนภาระดับ 10 แล้ว?
“เยว่เฟิงไปที่เมืองฟีนิกซ์และดูว่าเกิดอะไรขึ้น!” หลิงตู้ฉิงพูด
“รับทราบ นายท่าน!” เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้า
ในเวลานี้ เจิ้นป่าเจ่าตะโกนลงมาจากอากาศ “หลิงตู้ฉิง เจ้าเต่าขี้ขลาดออกมาที่นี่ให้ข้าฆ่าเจ้าซะ! เจ้าคงคิดไม่ถึงใช่ไหมล่ะว่าข้าฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ยังไง ฮ่าฮ่า ไม่เพียง แต่ข้าฟื้นขึ้นมา แต่ข้ายังได้รับมรดกจากองค์เทพฟินิกซ์ด้วย ข้าขอบใจเจ้าจริง ๆ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่มีวันนี้ เพื่อเป็นการขอบใจ ข้าจะปล่อยให้เจ้าตายอย่างมีความสุข!”
ทุกคนมองหน้ากัน ทุกคนรู้เกี่ยวกับตำนานของเมืองฟีนิกซ์ ที่ซึ่งหลิงตู้ฉิงและครอบครัวของเขาเคยอาศัยอยู่มาก่อน
แต่ดวงของไอ้เวรนี่มันจะไม่ดีไปสักหน่อยงั้นเหรอ?
เจิ้นป่าเจ่าไม่ได้ตายหลังจากงานประลองไปแล้วเหรอ? แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
“นายท่าน เขาอยู่เพียงขอบเขตนภาระดับ 10 ท่านปล่อยให้ข้าฆ่าเขาก็ได้” โม่หยูถังพูด
ก่อนที่หลิงตู้ฉิงจะตอบ กลับมีร่างบางร่างปรากฏขึ้นในอากาศและลากเจิ้นป่าเจ่าลงมา นั่นคือเจิ้นฟูเห่า
“มันยังไม่ถึงเวลา” หลิงตู้ฉิงพูดว่า “รอให้เฟิงไปสืบมาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น”
เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้าและรีบบินตรงไปที่เมืองฟีนิกซ์
ในอีกด้านหนึ่ง เจิ้นฟูเห่าทั้งประหลาดใจและมีความสุข เมื่อมองไปที่เจิ้นป่าเจ่า เขาพูดอย่างมีความสุขว่า “เป็นเจ้าจริง ๆ หรือ?”
“ท่านพ่อ นี่ข้าเอง!” เจิ้นป่าเจ่าตอบ “ตอนนี้ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังที่สุดในทวีปเทียนหยวนแล้ว ข้าจะฆ่าหลิงตู้ฉิงทันทีเพื่อล้างแค้นให้น้องชายของข้า ใช่แล้วท่านพ่อ ไอ้หลิงตู้ฉิงผู้นั้นมันซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน? ข้าเรียกมันแล้ว แต่มันไม่ยอมโผล่หัวออกมาสักที”
เจิ้นฟูเห่ารีบพูดว่า “เอ่อ…พ่อคิดว่าหลิงตู้ฉิงผู้นี้คงไม่ง่ายนักที่เจ้าจะจัดการเขาได้ ตอนนี้เจ้าอย่าพึ่งลงไปตามหาเขา ตอนนี้เจ้าจงตามข้าไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิก่อน ด้วยพลังของเจ้าในตอนนี้ เจ้าจะได้รับการโปรดปรานเป็นอย่างมากจากองค์จักรพรรดิแน่นอน”
“จักรพรรดิ?” เจิ้นป่าเจ่าพูดอย่างดูถูก “ตอนนี้ข้ามีความแข็งแกร่งที่สุดในทวีปเทียนหยวนแล้ว ทำไมข้าจะต้องไปเคารพมันอีก ข้าจะฆ่าไอ้จักรพรรดินี่เสีย แล้วขึ้นเป็นจักรพรรดิแทน”
เจิ้นป่าเจ่าที่ในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่ที่ขอบเขตนภาระดับ 10 แล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของเขาที่มากขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างน้อยหลายหมื่นเท่า เขาจึงรู้สึกหยิ่งผยองเป็นอย่างมาก ดังนั้นความคิดที่จะเคารพจักรพรรดิที่เขาคิดว่าอ่อนแอกว่าตัวเขาเองจึงไม่มีอยู่ในหัวเลย
“นี่เจ้ากล้าดียังไง!” ท่าทีของเจิ้นฟูเห่าเปลี่ยนไปเป็นน่าเกลียดอย่างมากขณะที่เขาพูด “นี่เจ้ากล้าใช้วาจาสามหาวไม่เคารพองค์จักรพรรดิแบบนี้ได้อย่างไร…”
“เหอะ ๆ ช่างหยิ่งผยองดีเหลือเกิน…ก็แค่อยู่ในขอบเขตนภาระดับ 10 จากมรดกที่บังเอิญได้รับมาแล้วเจ้าคิดว่าเจ้าเก่งมากนักเหรอ?” อู่หยุนจี๋พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แม่ทัพเจิ้น ฝ่าบาทได้เรียกเจ้าพ่อลูกให้ไปเข้าเฝ้าพระองค์เดี๋ยวนี้!”
ในขณะที่พูด อู่หยุนจี๋ได้สำแดงพลังของขอบเขตนภาระดับ 12
ความแข็งแกร่งของอู่หยุนจี๋ที่มีมาได้ทุกวันนี้ เนื่องจากเขาผ่านศึกสงครามและการต่อสู้มานับไม่ถ้วน แต่พลังของเจิ้นป่าเจ่าถูกส่งผ่านทางมรดก ซึ่งความแข็งแกร่งของพลังทั้งสองมันจึงแตกต่างกันอย่างชัดเจนว่าเจิ้นป่าเจ่าไม่มีทางเทียบได้แม้แต่น้อย
อันที่จริงที่อู่หยุนจี๋ต้องออกหน้ามาแบบนี้ เนื่องจากนี่คือการร้องขอมาจากเหลียงซาน เพราะตอนนี้จางหมิงไม่ได้อยู่ในอาณาจักร และเหลียงซานเองก็ไม่สามารถออกคำสั่งกับขันทีอีก 12 คนได้ เหลียงซานจึงทำได้เพียงขอให้ อู่หยุนจี๋ที่ดูแล้วพอจะคุยกันรู้เรื่องอยู่บ้างให้มาดับความผยองของเจิ้นป่าเจ่า
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเหลียงซานต้องการให้เจิ้นป่าเจ่าเห็นว่าในอาณาจักรจันทรานี้ไม่ใช่เจิ้นป่าเจ่าที่แข็งแกร่งที่สุด
เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังของอู่หยุนจี๋ที่แข็งแกร่งกว่าของตน การแสดงออกของเจิ้นป่าเจ่าก็เปลี่ยนไป มีผู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ในอาณาจักรแล้วงั้นหรือ?
เขาเลิกคิดกบฏทันทีและตามอู่หยุนจี๋ไปที่พระราชวังอย่างว่าง่าย