พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 24 เทพโอสถ[รีไรท์]
บทที่ 24 เทพโอสถ[รีไรท์]
หลายปีต่อมาเมื่อ หวงยี่เฟยได้กลายเป็นเทพโอสถคนใหม่ไปแล้ว ในขณะที่เขากำลังจะจากไปยังดินแดนห่างไกลศิษย์ของเขาถามขึ้นก่อนเขาจะไปว่า “อาจารย์ ข้าจะเผยแพร่ทักษะการหลอมโอสถของท่านได้อย่างไร?”
หวงยี่เฟยมองลูกศิษย์ของเขาอย่างจริงจังและพูดว่า “ถ้าเจ้าเจออุปสรรคที่ไม่สามารถฝ่าฟันได้ ถ้าเจ้าประสบปัญหาในการโอสถที่ไม่เข้าใจ เจ้าจงตะโกนในใจว่า ‘เทพโอสถมันกระจอก!’ สามครั้ง! แต่อย่าลืม ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า แต่ถ้ามีคนอื่นได้ยินที่พวกเจ้าตะโกนเข้าพวกเขาอาจจะข่มอารมณ์ไม่ไหวทุบตีเจ้าได้ ดังนั้นเจ้าอาจจะแค่ตะโกนในใจก็เพียงพอ!”
ลูกศิษย์มองเขาด้วยความตกตะลึงพร้อมกับคิดว่า หวงยี่เฟยวิกลจริตไปแล้วงั้นเหรอ?
หวงยี่เฟยพยักหน้าอย่างจริงจังและพูดว่า “มีเพียงแค่การทำเช่นนี้เท่านั้น เจ้าถึงจะสามารถบรรลุเต๋าแห่งการหลอมโอสถไปสู่จุดสูงสุดได้!”
หลังจากนั้นเขาก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าและจากไป ทุกคนที่อยู่ในตอนนั้นสามารถเป็นพยานของเหตุการณ์นี้ได้
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกหลายปีต่อมา ส่วนในตอนนี้หวงยี่เฟยกำลังโกรธอย่างมาก
นี่เป็นเพราะเทพโอสถได้ทิ้งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ไว้เบื้องหลังมากมาย และหวงยี่เฟยได้ยึดตัวตนของเทพโอสถเหยาเจิ้นเฟยเป็นแบบอย่างมาตลอดตั้งแต่ที่เขาหลอมศึกษเต๋าแห่งโอสถ แต่ตอนนี้ หลิงตู้ฉิงกลับบังคับให้เขาต้องมาเรียกเทพแห่งโอสถว่าเป็น ไอ้กระจอก!
นี่มันเป็นการดูหมิ่นเทพโอสถอย่างให้อภัยไม่ได้!
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะโกรธมากแต่เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้
นี่เป็นเพราะหลิงตู้ฉิงแสดงความสามารถที่ยอดเยี่ยมด้วยการหลอมโอสถดาราประสาน
เขาจึงไม่สามารถบอกได้ว่าใครสูงส่งกว่าระหว่างหลิงตู้ฉิงและเทพโอสถ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะพูดอะไรได้หากหลิงตู้ฉิงสาปแช่งเทพโอสถ
“ถ้าเจ้าไม่ตะโกนก็รีบออกไปจากเรือนข้า อย่ามาทำให้ข้าเสียเวลา!” หลิงตู้ฉิงกระตุ้นหวงยี่เฟย
เมื่อถูกหลิงตู้ฉิงกดดันหวงยี่เฟยก็ยิ่งรู้สึกเดือดดาลขึ้นมา
ต่อให้เจ้าหลอมโอสถได้ล้ำเลิศแล้วอย่างไรล่ะ? เจ้าไม่มีสิทธิ์ดูถูกผู้อื่น เจ้าไม่มีสิทธิ์มารุกล้ำสิทธิ์ของข้าที่จะไปนับถือผู้ใด! แม้ว่าข้าจะต้องการคำชี้แนะจากเจ้า แม้เต๋าโอสถของเจ้ามันสูงส่งจนข้ายังต้องชื่นชม แต่สันดานของเจ้านั้นมันเกินที่จะทนจริงๆ!
เมื่อหวงยี่เฟยคิดเช่นนั้น เขาจึงพูดกับหลิงตู้ฉิงอย่างเย็นชาว่า “เทพโอสถท่านไม่ใช่คนกระจอก!”
เขาโกรธหลิงตู้ฉิงเป็นอย่างมาก หลิงตู้ฉิงต้องการให้เขาดูถูกบุคคลที่เขาเคารพมาเนิ่นนาน หวงยี่เฟยหันหลังกลับกระทืบเท้าเดินไปยังประตูเรือนด้วยจิตใจที่แทบลุกเป็นไฟ
แต่หลังจากเขาเดินไปได้ก้าวแรก หวงยี่เฟยพลันนึกกับตัวเอง “มีผู้คนมากมายเทิดทูนเทพโอสถ เขาคงสมควรตายเป็นพันครั้งหากเขาว่าร้ายเทพโอสถลับหลัง และในอนาคตเขาคงไม่มีค่าพอที่จะไปสู้หน้าใครได้ในฐานะนักหลอมโอสถ”
จากนั้นพอเข้าก้าวไปก้าวที่สอง หวงยี่เฟยคิดอีกครั้งถ้าหากเขาไม่ได้รับการชี้แนะจากหลิงตู้ฉิง ในอนาคตโอกาสที่เขาจะไปถึงระดับปรมาจารย์หลอมโอสถคงเป็นไปได้ยาก และถ้าหากเขาไม่ได้เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถแล้วเขาก็คิดไม่ออกว่าอนาคตต่อไปเขาจะเป็นผู้มีชื่อเสียงได้อย่างไร เพราะทั้งชีวิตเขารู้จักก็แต่การหลอมโอสถเท่านั้น
ก้าวไปก้าวที่สาม! หวงยี่เฟยคิดอีกแล้ว! หากเขาไม่สามารถบรรลุเต๋าแห่งโอสถขั้นสูงได้ ความพยายามที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนี่เขาเริ่มหัดหลอมโอสถเมื่อตอนอายุ 7 ขวบจะศูนย์เปล่าทั้งหมด! เขาจะให้ความพยายามทั้งหมดที่เขาลงทุนมามันไร้ค่างั้นเหรอ?
เมื่อก้าวไปก้าวที่สี่! หวงยี่เฟยคิดกับตนเอง เขาก็แค่สาปแช่งเทพโอสถเฉย ๆ นี่นา ใช่ว่าหากเขาสาปแช่งแล้วสวรรค์จะสาปให้เขาหลอมโอสถต่อไม่ได้สักหน่อย แล้วอีกอย่างทำไมเขาต้องทิ้งโอกาสในการบรรลุเต๋าแห่งโอสถขั้นสูงจากหลิงตู้ฉิง เพียงเพราะแค่ว่าเขาต้องการที่จะปกป้องเทพโอสถ ซึ่งอันที่จริงแล้วเป็นใครก็ไม่รู้ที่เขาไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ แถมเทพโอสถก็หายหน้าหายตาจากโลกนี้ไปก็ตั้งนมนานหลายศตวรรษแล้ว เขาจะต้องมาใส่ใจทำไม?
หลังจากคิดมาทั้งหมด หวงยี่เฟยก็ชะลอฝีเท้าลง
ในขณะที่ก้าวไปถึงก้าวที่ห้า! เขาก็เริ่มคิดเข้าข้างตัวเองอย่างแน่วแน่ เขาไม่เคยรู้เรื่องราวชีวิตของเทพโอสถ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวตนจริง ๆ เป็นอย่างไร รู้ก็แต่ว่าเทพโอสถนั้นชื่อ เหยาเจิ้นเฟย แถมหลิงตู้ฉิงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสูตรของเทพโอสถมัน ‘กระจอก’ จริง ๆ อันที่จริงหากเขาจะตะโกนว่า ‘เทพโอสถมันกระจอก’ ออกไปมันก็คงไม่ผิดเท่าไหร่ล่ะมั้ง?
หลังจากคิดทบทวนทุกอย่างจนเข้าข้างตัวเองได้เรียบร้อยแล้วเขาก็รู้สึกว่าหัวใจเต็มไปด้วยความสุขทันที
สมองของเขาเต็มไปด้วยความคิดมากมาย อุดมคติและเส้นทางเต๋าแห่งโอสถของเขาเหมือนถูกพลิกคว่ำจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที
ในขณะเดียวกัน หลิงตู้ฉิงที่กำลังยืนกอดอกและมองไปที่หวงยี่เฟยก็เผยรอยยิ้มขึ้น
ทันใดนั้น หลิงตู้ฉิงก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา หลิงตู้ฉิงหันไปมองและเห็นโม่หยูถังรีบวิ่งเข้ามาหา เขายกมือขึ้นอย่างรวดเร็วและส่งสัญญาณให้โม่หยูถังลดฝีเท้าลงจะได้ไม่เป็นการรบกวนหวงยี่เฟย
โม่หยูถังลดความเร็วลงทันที อย่างไรก็ตามเขามองไปยังหวงยี่เฟยโดยได้แต่สงสัยว่า หลิงตู้ฉิงพูดอะไรกับหวงยี่เฟยถึงทำให้เขากลายเป็นเช่นนี้
ในท้ายที่สุด โม่หยู่ถังก็หยุดยืนอยู่ข้าง ๆ หลิงตู้ฉิง และมองดูหวงยี่เฟยอย่างเงียบ ๆ
ตอนนี้หวงยี่เฟยได้ก้าวเท้าเป็นก้าวที่เจ็ดแล้ว! และทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมาดัง ๆ จากนั้นเขาหันกลับมาและเดินไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเขาอยู่ต่อหน้าหลิงตู้ฉิง เขาโค้งคำนับแล้วพูดว่า “ขอบคุณปรมาจารย์หลิงสำหรับการชี้แนะของท่าน ตอนนี้ข้าพร้อมแล้วที่จะตะโกนว่า เทพโอสถมันกระจอก!!”
หลิงตู้ฉิงยังคงกอดอกและพูดพร้อมกับยิ้มว่า “ตอนนี้เจ้ายังต้องตะโกนอีก 2 ครั้ง หากเจ้ายังไม่ปฏิบัติตามข้อแม้ของข้าได้ครบ ข้าก็จะยังไม่ให้คำชี้แนะแก่เจ้า!”
“ข้าคิดว่าข้าคงไม่ต้องการคำชี้แนะของท่านแล้ว!” หวงยี่เฟยพูดจบพร้อมกับโค้งคำนับให้กับหลิงตู้ฉิง
หลังจากโค้งคำนับสามครั้ง หวงยี่เฟยก็เดินออกไปด้วยกำลังใจที่เปี่ยมล้นกว่าเดิม
“นายท่าน…” โม่หยูถังรู้สึกงุนงงว่าทำไมหวงยี่เฟยถึงชื่นชมหลิงตู้ฉิง
เมื่อเห็นหวงยี่เฟยจากไปหลิงตู้ฉิงจึงพูดขึ้นว่า “เห้อ…ถึงแม้จะเป็นแค่ท่อนซุงเน่า แต่มันก็ยังพอจะเอามาแกะสลักได้ล่ะนะ”
“นายท่านสอนอะไรเขา?” โม่หยูถังเพิ่งมาถึง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้เขาจึงได้แต่ถามเท่านั้น
หลิงตู้ฉิงตอบว่า “ไม่มีอะไรมากหรอก ข้าแค่ดึงสลักที่อยู่ในใจของเขาออก! หากมัวแต่ทำตามเส้นทางของคนอื่นและยึดถือคำพูดของคนอื่นราวกับเป็นทองคำ ขืนเขายังเป็นเช่นเดิมต่อไปเขาจะไม่มีวันที่จะพัฒนาตนเองได้ โชคดีที่เขายังมีจิตสำนึกและเขายังไม่เคยเจอเทพโอสถมาก่อน มิฉะนั้นเขาก็คงจะไม่สามารถทำลายภาพของเทพโอสถในหัวใจของเขาได้ง่ายขนาดนี้! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาจะเริ่มก้าวไปในเส้นทางที่ถูกต้องในฐานะนักหลอมโอสถที่ดี”
หลิงตู้ฉิงมองกลับไปที่ต้นไผ่วิญญาณสวรรค์และบรรดาสมุนไพรที่หวงยี่เฟยเพิ่งปลูกทิ้งเอาไว้ไม่นานมานี้ เขาพึมพำกับตัวเอง “พื้นฐานไม่เลว แต่ก็ยังขาดอะไรอยู่นิดหน่อย”
ในขณะที่กำลังพูด เขาได้เดินไปที่ด้านข้างของไผ่วิญญาณสวรรค์และเปลี่ยนตำแหน่งของสมุนไพรที่หวงยี่เฟยได้ปลูกไว้สามต้น
หลังจากนั้นทุกสิ่งก็แตกต่างไปจากเดิม
กล่าวได้ว่าสมุนไพรที่หวงยี่เฟยได้ปลูกไว้ เขาปลูกพวกมันไว้เพื่อซ่อนรัศมีของต้นไผ่ให้ไม่ได้รับอันตรายจากแมลง หลังจากหลิงตู้ฉิงจากไป สมุนไพรเหล่านี้ก็รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับไผ่วิญญาณสวรรค์ สมุนไพรเหล่านี้ยังมอบพลังวิญญาณอันมั่นคงให้แก่ไผ่วิญญาณสวรรค์เพื่อช่วยในการเติบโตของมัน
ในขณะที่กำลังเดินไปยังลานกลางเรือน หลิงตู้ฉิงเหล่มองไปยังโม่หยูถังและถามขึ้นว่า “พ่อบ้านโม่ แล้วเมื่อกี้เจ้าเป็นอะไรทำไมถึงดูรีบร้อนแบบนั้น?”
โม่หยูถังเมื่อได้ยินที่เจ้านายของเขาพูด เขาจึงพึ่งระลึกได้ถึงจุดประสงค์ของเขาที่มาตามหลิงตู้ฉิงและพูดอย่างกระวนกระวายว่า “นายท่าน เมื่อครู่คนจากตระกูลเจิ้นมาหาเรื่องพวกเราที่นี่! พวกเขาพังประตูของเราเข้ามาและยังตะโกนท้าทายให้นายท่านออกไปสู้กับเขา”
หลิงตู้ฉิงเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “หืม? หากเป็นเช่นนี้ก็ดีเลยน่ะสิ นี่เป็นโอกาสอันดีงามที่เราจะสามารถเปลี่ยนประตูใหม่ที่ดีกว่าได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเหรียญทองของเราเลย แต่ข้าว่าพวกเขาคงไม่เต็มใจจะจ่ายสักเท่าไหร่ หากเป็นเช่นนั้นข้าคงจะต้องไปให้แรงบรรดาลใจพวกเขาเสียหน่อย!”
หลังจากพูดจบพวกเขาทั้งสองก็รีบไปที่บริเวณลานกลางเรือนอย่างรวดเร็ว