พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 242 นกฟีนิกซ์แห่งคฤหาสน์สราญรมย์
บทที่ 242 นกฟีนิกซ์แห่งคฤหาสน์สราญรมย์
บทที่ 242 นกฟีนิกซ์แห่งคฤหาสน์สราญรมย์
ทันทีที่หลิงไช่หยุนและเสี่ยวเยว่เฟิงคุยกันเรื่องขี่หลังเสร็จ หลิงตู้ฉิงก็เริ่มสกัดแก่นแท้เลือดนกฟีนิกซ์จากเจิ้นป่าเจ่า
หลิงตู้ฉิงวาดอักขระเวทย์ลงบนร่างที่ถูกตรึงของเจิ้นป่าเจ่า ซึ่งดิ้นพราด ๆ ด้วยความเจ็บปวด เนื่องจากในบริเวณที่ถูกประทับอักขระลงไปนั้นมีเลือดสีแดงเพลิงค่อย ๆ ไหลออกมาเป็นสาย ซึ่งคล้ายกับ ‘ด้ายเพลิง’ ที่ถูกหลิงตู้ฉิงค่อย ๆ ดึงออกมา
เมื่อ ‘ด้ายเพลิง’ เหล่านี้ถูกดึงออกมาจากร่างของเจิ้นป่าเจ่า ระดับการบ่มเพาะของเขาก็ลดต่ำลงเรื่อย ๆ
เมื่อต้องทนกับความทรมานเช่นนี้ เจิ้นป่าเจ่าเริ่มเสียใจที่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง จะดีกว่าไหมถ้าหากเขาตาย ๆ ไปซะตั้งแต่ตอนนั้นด้วยฝีมือของเสี่ยวเยว่เฟิง?
อย่างไรก็ตามไม่มีใครสนใจความปรารถนาที่จะตายของเขา
1 ชั่วโมงต่อมาเจิ้นป่าเจ่าซึ่งถูกสกัดเอาแก่นแท้เลือดนกฟีนิกซ์ออกมาจนหมดก็หมดสติไป
หลังจากนั้นเขาก็ฟื้นขึ้นมาอีกและแม้ว่าแก่นแท้เลือดนกฟีนิกซ์ในร่างกายของเขาจะถูกสูบออกจนหมด แต่ทว่าเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ระดับการบ่มเพาะของเขาก็ลดลงมาถึงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 3
เมื่อมองไปที่เจิ้นป่าเจ่าที่ฟื้นแล้ว หลิงตู้ฉิงก็ไม่ได้ทำอะไรกับเขาอีก ที่หลิงตู้ฉิงทำก็เพียงแค่ ‘เตะ’ เจิ้นป่าเจ่าออกจากคฤหาสน์สราญรมย์
“ไช่หยุน ขอเลือดของเจ้าให้พ่อที” หลิงตู้ฉิงพูดกับหลิงไช่หยุน
ในขณะนี้มีลูกบอล “เพลิง” อยู่ในฝ่ามือของหลิงตู้ฉิง
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เปลวเพลิง แต่เป็นแก่นแท้เลือดของนกฟีนิกซ์
หลิงไช่หยุนพยักหน้าและกัดนิ้วของนาง จากนั้นนางหยดเลือดของนาง 4 หยดลงในก้อนแก่นเลือดแท้นกฟีนิกซ์
“เยว่เฟิง มาหาข้า!” หลิงตู้ฉิงที่กำลังถือ ‘ลูกบอลเพลิง’ พูดกับเสี่ยวเยว่เฟิง “เจ้ารู้จัก ‘คาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์’ รึเปล่า?”
เสี่ยวเยว่เฟิงพูดกระอักกระอ่วน “นายท่าน นั่นเป็นวิชาการบ่มเพาะระดับสูงสุดของ ยอดเขาหมื่นเซียนของข้า ข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะบ่มเพาะมันหรอก”
“ไม่เป็นไรข้าจะสอนให้!” หลิงตู้ฉิงพูด
หลังจากนั้นหลิงตู้ฉิงก็ถ่ายทอด คาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์ ให้กับเสี่ยวเยว่เฟิง
“ขะ ขอบคุณ นายท่าน!” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดด้วยอาการตกตะลึงและซาบซึ้ง
หลิงตู้ฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อตอนนี้เจ้าได้เรียนรู้ ‘คาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์’ แล้วหากเจ้าหลอมรวมแก่นแท้เลือดนกฟีนิกซ์นี้เข้าไปในร่างและเริ่มบ่มเพาะคาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์ เจ้าจะสามารถควบแน่นร่างแท้ของฟีนิกซ์ของเจ้าได้”
เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้าอย่างตื่นเต้น พลางกลืนแก่นแท้เลือดของฟีนิกซ์ที่ได้มาจากหลิงตู้ฉิง
และเมื่อนางได้เริ่มโคจรคาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์ เปลวไฟก็ลุกโพลงออกมาจากทุกส่วนของร่างกายนางทันที
ในพริบตาเสื้อผ้าของเสี่ยวเยว่เฟิงก็ถูกไฟไหม้ทั้งหมด
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิงไช่หยุนก็รีบเตรียมที่จะโยนเสื้อผ้า ‘ทนไฟ’ ไปให้นาง
“เจ้ายังให้นางตอนนี้ไม่ได้!” หลิงตู้ฉิงรีบหยุดนาง “พลังของเปลวเพลิงเหล่านี้กำลังจะไปถึงระดับเพลิงนภา ชุดที่เจ้ากำลังจะโยนไปให้นางมันป้องกันไฟระดับนี้ไม่ได้”
หลิงไช่หยุนมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าขัดแย้งและพูดว่า “ท่านพ่อ ในอนาคตข้าคงต้องเรียกเฟิงว่าน้าเฟิงอีกคนแล้วใช่ไหม?”
“เอ่อ…อาจจะไม่” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว
“ก็ท่านเห็นเฟิงหมดแล้ว ท่านจะไม่รับผิดชอบเฟิงงั้นเหรอ?” หลิงไช่หยุนหงุดหงิด
เนื่องจากเสี่ยวเยว่เฟิงดีกับนางมาตลอด ฉะนั้นนางจึงไม่ติดขัดอะไรหากเสี่ยวเยว่เฟิงจะมาเป็นแม่ใหม่นางอีกคน แต่มันก็มีสิ่งหนึ่งที่นางออกจะสับสนอยู่หน่อย ๆ ก็คือ พ่อของนางเคยบอกเอาไว้ว่านางมีสายเลือดของบรรพบุรุษของเฟิง และถ้าหากเสี่ยวเยว่เฟิงกลายมาเป็นแม่ใหม่ของนาง ถ้างั้นนางต้องเรียกเสี่ยวเยว่เฟิงด้วยคำนำหน้ายังไงดี?
หลิงตู้ฉิงที่ได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึงและไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของหลิงไช่หยุนยังไง
อย่างหนึ่งคือเขาไม่รู้สึกถึงความรักใด ๆ จากเสี่ยวเยว่เฟิง
ความรู้สึกของเสี่ยวเยว่เฟิงที่มีต่อเขาเหมือนกับโม่หยูถังและคนอื่น ๆ พวกเขาทั้งหมดรู้สึกเคารพหลิงตู้ฉิง
สิ่งนี้จึงทำให้นางแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่น ๆ เขาจะไปมีอะไรกับนางได้ยังไงหากนางไม่มีความรักให้เขา?
เมื่อเขายิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว เขาจึงปล่อยวางความคิดไร้สาระนี้ออกไปก่อนและพูดกับหลิงไช่หยุน “เอ่อ…พ่อว่าไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันหลังจากที่เฟิงควบแน่นร่างกายที่แท้จริงของนางสำเร็จก่อนจะดีกว่า แต่พ่อแนะนำให้เจ้าสังเกตช่วงเวลาที่นางควบแน่นร่างที่แท้จริงของนางอย่างตั้งใจ เพราะมันจะทำให้เจ้าเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพลังเพลิงในร่างของเจ้ามากยิ่งขึ้น”
หลิงไช่หยุนครุ่นคิดสักครู่แล้วถามว่า “ข้าสามารถฝึกฝน ‘คาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์’ ได้รึเปล่าท่านพ่อ?
“เจ้าจะฝึก ‘คาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์’ ไปเพื่ออะไร?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น “วิชาต่าง ๆ ที่พ่อให้เจ้าฝึกฝนทั้งหมดล้วนมีระดับที่สูงกว่า ‘คาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์’ อยู่แล้ว”
“โอ้!” หลิงไช่หยุนอุทาน พลางจ้องไปที่เสี่ยวเยว่เฟิง
ในขณะนี้เปลวเพลิงบนร่างกายของเสี่ยวเยว่เฟิงผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ ออกจากรูขุมขนตามร่างกาย คล้ายกับเหงื่อที่ไหลออกมาจากรูขุมขน แต่เพลิงเหล่านี้เมื่อปรากฎขึ้นแล้วมันไม่ได้สลายไป แต่พวกมันโอบตัวล้อมรอบร่างของเสี่ยวเยว่เฟิง จากนั้นค่อย ๆ รวมตัวก่อกันแน่นขึ้นเป็นชั้น ๆ จนกลายเป็นเหมือนขนนกที่มีหลากสีสัน
เมื่อขนปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายที่เปลือยเปล่าของเสี่ยวเยว่เฟิงก็ค่อย ๆ ถูกปกคลุมราวกับว่านางสวมเสื้อคลุมขนนก
และในขณะที่ขนปรากฏขึ้นบนร่างของนางเรื่อย ๆ ระดับการบ่มเพาะและของเสี่ยวเยว่เฟิงก็สูงขึ้นตาม และความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของนางก็รุนแรงขึ้น
หลังจากผ่านไป 1 ชั่วโมง ระดับการบ่มเพาะของเสี่ยวเยว่เฟิงก็มาถึงขอบเขตนภาระดับ 12
ในตอนนี้ขนนกบนร่างกายของเสี่ยวเยว่เฟิงได้ปกคลุมร่างกายของนางจนเกือบหมดจนแทบจะไม่มีส่วนใดของร่างนางที่เปลือยเปล่า
เมื่อเห็นเช่นนี้หลิงตู้ฉิงจึงรีบพูดขึ้น “เฟิง! บินขึ้นไปบนท้องฟ้าเดี๋ยวนี้! ถ้าข้าปล่อยให้เจ้าบ่มเพาะที่นี่ต่อไปข้าจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องใช้พลังแห่งกฎของข้าเพื่อหยุดเจ้า! มิฉะนั้นคฤหาสน์หลังนี้จะถูกเจ้าเผาจนเป็นจุล”
หลังจากได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง เสี่ยวเยว่เฟิงที่กำลังโคจรวิชา ‘คาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์’ ก็ดีดตัวขึ้นจากพื้นและบินไปบนท้องฟ้าทันทีพร้อมกับปีกทั้งสองข้างที่งอกออกมา
“กรี๊ดดดดดดดด!!”
เสียงกรีดร้องดังสั่นสะเทือนไปทั่วอาณาจักร ทันใดนั้นเปลวเพลิงที่รุนแรงก็แผ่ออกมาจากร่างของเสี่ยวเยว่เฟิงจนครอบคลุมท้องฟ้าทั้งหมดเหนือเมืองหลวง
“นางทำสำเร็จแล้ว” หลิงตู้ฉิงยิ้ม
“ว้าว เฟิงสุดยอดเกินไปแล้ว!” หลิงไช่หยุนพูดด้วยความอิจฉา
ทุกคนที่อยู่ในเมืองหลวงตอนนี้ทุกคนต่างมองเห็นนกฟินิกซ์สีรุ้งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
และเนื่องจากความเชื่อที่มีมานาน ซึ่งบางคนที่นับถือนกฟีนิกซ์เป็นดั่งเทพเจ้า พวกเขาเหล่านั้นถึงกับคุกเข่าลงและกราบไหว้
อย่างไรก็ตามบรรดาคนที่กราบไหว้ก็ล้วนมีแต่เป็นพวกที่เพิ่งเริ่มต้นเส้นทางการบ่มเพาะ และยังเป็นพวกคนโง่เขลา พวกเขาจึงไม่ได้เอะใจอะไรเลยว่านกฟินิกซ์ตัวนี้มันจะมาอยู่ที่อาณาจักรเล็ก ๆ เช่นนี้ได้ยังไง?
ในทางกลับกัน โม่หยูถังที่เห็นภาพเช่นนี้ส่ายหัวและพึมพำกับตัวเอง “ดูเหมือนว่าข้าต้องเร่งการฝึกฝนของข้า มิฉะนั้นนางคงเข้าสู่ขอบเขตสวรรค์ก่อนข้าแน่ ๆ”
ซือโถวเหวินหยวนที่อยู่ข้าง ๆ เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านพ่อบ้าน ทำไมถึงมีนกฟีนิกซ์อยู่ในคฤหาสน์นี้ได้กัน?”
โม่หยูถังพูดอย่างมีความหมายว่า “โอ้ ที่นี่มันยังมีอะไรอีกเยอะ!”
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าภูมิหลังของหลิงไช่หยุนเป็นอย่างไร แต่เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเยว่เฟิงปฏิบัติต่อหลิงไช่หยุนด้วยความเคารพเช่นนี้ อาจมีนกฟีนิกซ์ที่ตัวใหญ่กว่าอยู่ก็ได้!
“ก่อนหน้านี้ก็เสียงมังกรคำราม ตอนนี้ก็มาเป็นเสียงกรีดร้องของนกฟินิกซ์ ข้าสงสัยว่านายท่านจะทำให้เราประหลาดใจอีกได้มากมายแค่ไหน?” ซือโถวเหวินหยวนส่ายหัวพลางนึกถึงหลิงว่านถิง
เช่นเดียวกับซือโถวเหวินหยวน ทุกคนในเมืองหลวงก็กำลังคุยกันเรื่องนี้
เหลียงซานก็ขึ้นสวรรค์ไปเรียบร้อยแล้วหรือตายนั้นเอง และตอนนี้ตระกูลหลิงก็กำลังจะขึ้นครองบัลลังก์ แถมในตระกูลหลิงกลับมีทั้งมังกรและฟินิกซ์จุติอยู่ในตระกูล แค่วัดจากตรงนี้มันก็เหมือนกับว่าตระกูลหลิงนั้นคือตระกูลที่เหมาะสมจะได้ขึ้นครองอาณาจักรมากเสียยิ่งกว่าตระกูลเหลียงอย่างเทียบกันไม่ติด
ทุกคนในเมืองหลวงต่างเชื่อเช่นนี้กันแทบทุกคน!
แม้แต่คนในตระกูลเหลียงก็ยังส่ายหัวอย่างเศร้า ๆ และพึมพำ “ทั้งมังกร ทั้งฟีนิกซ์ สำนักเก้าเทพอสูรและสำนักเต๋าสวรรค์ต่างสนับสนุนตระกูลหลิง ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตระกูลของต้องพ่ายแพ้ ว่าแต่…หลิงตู้ฉิงคนนี้เป็นใคร ทำไมเขาถึงมีขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้สนับสนุนได้?”