พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 249 ละทิ้งศาลาศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 249 ละทิ้งศาลาศักดิ์สิทธิ์
หนึ่งคืนต่อมา ในที่สุดหมิงจู้กลายเป็นคนของตระกูลหลิงอย่างเต็มตัว
เช้าตรู่ทั้งคู่ลุกจากเตียงด้วยความเสน่ห์หาและทำพิธีคำนับหลิงตู้ฉิงอย่างเป็นทางการ
หลิงตู้ฉิงที่ได้เห็นภาพเช่นนี้เขารู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
สำหรับน้อง ๆ ของหลิงยู่ชาน ทุกคนต่างก็เรียกหมิงจู้อย่างเป็นทางการว่าพี่สะใภ้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการยอมรับตัวตนอย่างเป็นทางการของนาง
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าหลิงยี่เทียนจะเป็นจักรพรรดิแล้ว แต่เขาก็ยังคงอาศัยอยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์ไม่ใช่พระราชวัง
เขารู้สึกว่าภายในวังนั้นว่างเปล่า ที่สำคัญแม้แต่ในอาณาเขตของพระราชวังก็ไม่ปลอดภัยเหมือนของคฤหาสน์สราญรมย์!
ยิ่งไปกว่านั้นทุกวันเมื่อเขาต้องไปที่พระราชวัง เขาจะเดินทางด้วยรถม้าของหลิงตู้ฉิง ดังนั้นเขาจึงไม่มีอะไรที่ต้องกังวลไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัยและความรวดเร็วในการออกตรวจราชการ
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเห็นจักรพรรดิประพฤติเช่นนี้ บรรดาเสนาบดีและคนอื่น ๆ ต่างก็ไม่พอใจ จักรพรรดิจะไม่อยู่ในวังได้อย่างไร?
ถึงแม้จะมีเสียงทัดทานอย่างหนักหน่วง หลิงยี่เทียนก็ไม่เคยใส่ใจ
ในอาณาจักรจันทราทั้งหมด เขามีกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุด 3 กองทัพอยู่ในมือและผู้มีอำนาจทางทหารอื่นก็อยู่ในการควบคุมของหลิงเจิ้งสง ดังนั้นจะมีอะไรให้เขากังวล?
และอันที่จริง ด้วยความวุ่นวายของการที่อาณาจักรจันทราพึ่งจะควบรวมอาณาจักรอีกสองแห่งที่พึ่งยึดมา บรรดาพวกขุนนางทั้งหลายส่วนใหญ่ต่างก็ไม่ค่อยจะว่างกันสักเท่าไหร่นัก พวกเขาจึงไม่ค่อยจะมีใครมาวุ่นวายกับหลิงยี่เทียนสักเท่าไหร่ นอกซะจากจะเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ ๆ พวกเขาจึงจะมาขอเข้าเฝ้า
ในเวลาเดียวกันบรรดาผู้คนจากตระกูลหลิงก็มาที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง นักศึกษาหลายคนในศาลาศักดิ์สิทธิ์ก็รู้สึกกังวล เนื่องจากพวกเขาไม่รู้จะทำตัวยังไงให้เหมาะสมดี
จู่ ๆ เพื่อนคนหนึ่งของพวกเขากลายเป็นจักรพรรดิ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปหลังจากนี้?
นักศึกษาหลายคนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดพวกเขาก็คุกเข่าลงต่อหน้าหลิงยี่เทียนและพูดว่า “ถวายบังคม ฝ่าบาท!”
หลิงยี่เทียนรีบพูดว่า “ไม่ไม่ไม่ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้”
เมื่อมองไปที่สถานการณ์หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและไม่พูดอะไร
เมื่อเห็นจ้าวปาเทียนรีบวิ่งมา หลิงตู้ฉิงก็พูดกับเขาว่า “ข้าต้องการให้ท่านประกาศเรื่องที่สำคัญมาก!”
จ้าวปาเทียนถามอย่างสงสัย “มันคืออะไรงั้นหรือ?”
ตั้งแต่หลังเหตุการณ์ล่าสุดที่หลิงตู้ฉิงมาช่วยตระกูลจ้าวของเขา จ้าวปาเทียนก็พยายามทำตามคำแนะนำของจ้าวเหมิงลู่และปฏิบัติต่อหลิงตู้ฉิงด้วยความนอบน้อมเป็นที่สุด
เนื่องจากเขาไม่สามารถใช้สถานะของเขาที่เป็นปู่ของจ้าวเหมิงลู่ ข่มหลิงตู้ฉิงได้อีกต่อไป บุคคลที่สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ได้เช่นนี้ เขารู้ตัวดีว่าไม่ควรจะทำตัวเหนือกว่าได้เหมือนเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว
“ข้ามีเรื่องสำคัญมากที่ต้องทำต่อไป ดังนั้นในอนาคตข้าคงไม่เข้ามาที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์บ่อยเหมือนเมื่อก่อน” หลิงตู้ฉิงพูดกับจ้าวปาเทียนว่า “ท่านควรจะหาคนอื่นมาดูแลศาลาศักดิ์สิทธิ์แทนข้าทันที เพราะข้าจะไม่สนใจเรื่องของที่นี่อีกต่อไป แต่แน่นอนถ้าข้ามีเวลา ข้าจะมาที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์บ้างเพื่อเยี่ยมเยียนทุกคน”
จ้าวปาเทียนยิ้มอย่างขมขื่น “นอกจากเจ้าแล้วใครจะเป็นผู้นำศาลาศักดิ์สิทธิ์นี้ได้อีก ถ้าไม่ใช่เจ้า มันก็คงไม่มีใครหรอกที่สามารถดูแลนักศึกษาเหล่านี้ได้”
หลิงตู้ฉิงพูดอย่างเฉยเมย “นั่นมันเป็นปัญหาของท่าน แต่ไม่ว่าจะยังไงข้าก็ไม่มีเวลาดูแลศาลาศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว”
จ้าวปาเทียนพยักหน้า “ในเมื่อเจ้าตอบมาเช่นนี้ ข้าคงจะต้องขอความเห็นจากครอบครัวของเจ้าแทน องค์ฝ่าบาทยี่เทียน ในเมื่อตอนนี้พระบิดาของฝ่าบาทไม่สนใจที่จะดูแลศาลาศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไปแล้ว ข้าคงไม่มีทางเลือกต้องขอให้ฝ่าบาทตัดสินใจแทนแล้วว่าจะเอาอย่างไรดี?”
หลิงยี่เทียนเกาหัวของเขาและพูดกับหลิงตู้ฉิง “เฮ้อ…ในเมื่อท่านพ่อไม่สนใจศาลาศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป ข้าจะช่วยส่งคนอื่นมาดูแลมันก็แล้วกัน!”
อันที่จริง หลิงยี่เทียนก็รู้ดีว่าที่ผ่านมาพ่อของเขาให้คำแนะนำแก่คนอื่น ๆ เป็นครั้งคราวเท่านั้น
และตอนนี้ถังชี่หยุนก็จากไปแล้วและการที่ครูคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งหายไป เขาจะต้องแทนที่บุคลากรที่หายไปโดยการนำข้ารับใช้ของเขาเข้ามาเติมเต็มศาลาศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้มันยังสามารถคงอยู่ได้ต่อไป
ด้วยสถานะที่ข้ารับใช้ใหม่ของเขาทั้งหลายเป็นถึงบรรพบุรุษหรือไม่ก็เจ้าสำนักของสำนักต่าง ๆ รวมไปถึงยังมีบางคนที่มีภูมิหลังที่น่ากลัวอื่น ๆ อีก หากให้พวกเขาเข้ามาเป็นอาจารย์ของศาลาศักดิ์สิทธิ์แน่นอนว่ามันย่อมจะไม่มีปัญหาใด ๆ
ที่หลิงยี่เทียนจำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็เพราะเขายังต้องการศาลาศักดิ์สิทธิ์เพื่อบ่มเพาะผู้มีความสามารถจำนวนมากให้กับอาณาจักรของเขา
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “เจ้าจัดการเองได้นี่ เก่งจริง ๆ ลูกของพ่อ! เอาล่ะเดี๋ยวเจ้าจงไปสั่งให้บรรดาข้ารับใช้ของเจ้าให้เตรียมตัวไว้ พ่อจะอธิบายกฎแห่งขอบเขตสวรรค์ให้พวกเขาฟัง นี่เป็นของขวัญอีกชิ้นที่พ่อฝากไว้ให้เจ้าในกรณีที่พ่อจากไปและไม่มีใครคอยปกป้องอาณาจักรของเจ้า พ่อไม่อยากเห็นอาณาจักรนี้ถูกทำลายเมื่อพ่อกลับมา”
“ขอบคุณ ท่านพ่อ!” หลิงยี่เทียนพูดอย่างมีความสุข
“เอาล่ะจัดการเรื่องของที่นี่ให้เรียบร้อย เหตุผลที่พ่อมาที่นี่ในวันนี้คือบอกเรื่องนี้กับทุก ๆ คนให้รู้ไว้” หลังจากที่พูดจบหลิงตู้ฉิงก็กลับไปที่คฤหาสน์สราญรมย์
เมื่อกลับมาถึงเขาก็ตกอยู่ในห้วงความคิดในทันที
อย่างที่เขาพูดไว้ เขากำลังจะเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ แม้ว่าจะยังเหลือเวลาอีก 20 ปี แต่มันก็แค่พริบตาเดียว
ในช่วง 20 ปีที่เหลือนี้ เขาต้องจัดเตรียมวิธีการต่าง ๆ ที่เพียงพอสำหรับปกป้องตระกูลหลิงก่อนที่เขาจะออกจากทะเลชางหมาง
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เรียกจ้าวเหมิงลู่มาหา
“นี่มันก็หลายปีผ่านมาแล้ว แต่ข้ายังไม่เคยถ่ายทอดเคล็ดวิชาการต่อสู้ให้เจ้าเลย ข้าเดาว่าเจ้าต้องบ่นอยู่ในใจแน่ ๆ” หลิงตู้ฉิงมองไปที่จ้าวเหมิงลู่และยิ้ม
จ้าวเหมิงลู่พูดอย่างไม่พอใจว่า “ใช่! ในฐานะที่ข้าเป็นภรรยาหลวงของท่าน แต่ท่านกลับเลือกที่จะถ่ายทอดวิชาให้กับบรรดาผู้หญิงคนอื่นก่อน แทนที่จะถ่ายทอดให้ข้าเป็นคนแรก มันทำให้ข้าคิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะข้าเองที่โง่เกินไปจนท่านไม่อยากจะถ่ายทอดวิชาอะไรให้หรือว่าเป็นเพราะท่านไม่ชอบข้าจริง ๆ กันแน่”
ประโยชน์ที่นางได้รับจากหลิงตู้ฉิงที่ผ่านมาในด้านการบ่มเพาะก็มีเพียงแค่ชี้แนะให้นางมีรากฐานการบ่มเพาะที่แข็งแกร่งขึ้นเพียงเท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นอีก
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดว่า “ข้าเข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงคิดไปในแง่ลบเช่นนั้น แต่มันไม่ใช่ว่าข้าไม่ชอบเจ้า แต่ข้าให้ความสำคัญกับเจ้ามาก เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าได้ลงมือสร้างรากฐานให้เจ้าเป็นการส่วนตัว แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของเจ้าจะเติบโตอย่างช้า ๆ แต่นี่เป็นเอกลักษณ์ที่ลึกซึ้งในเส้นทางเต๋าของเจ้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้สีหน้าของจ้าวเหมิงลู่ก็เริ่มดีขึ้นและโน้มตัวไปกอดหลิงตู้ฉิง
“แต่ข้ารู้สึกว่าการมีรากฐานที่ลึกล้ำไปก็ไร้ประโยชน์!” จ้าวเหมิงลู่บ่น “ข้าเทียบไม่ได้กับจื่อซินที่อยู่ในขอบเขตครึ่งสวรรค์ได้อยู่แล้ว และข้าก็เทียบไม่ได้กับเฟ่ยเอ๋อที่สามารถให้ผลประโยชน์มากมายแก่ท่าน นอกจากนี้ข้ายังเทียบไม่ได้กับมี่ไลและตระกูลของนางที่สามารถช่วยให้งานสำคัญของท่านสำเร็จไปแล้วหลายเรื่อง และเฟ่ยเฟ่ยผู้ซึ่งได้สำเร็จวิชาดรุณีเยือกแข็งที่ลึกซึ้งแล้ว มันช่วยไม่ได้ที่ข้าจะรู้สึกต่ำต้อยกว่าพวกนางจริง ๆ”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “แต่รากฐานการบ่มเพาะของเจ้าที่มีอยู่ตอนนี้ทำให้เจ้าสามารถฝึกฝนจนถึงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 13 ได้! ในโลกนี้ปัจจุบันมีเพียงคนส่วนน้อยที่สามารถฝึกฝนจนถึงระดับ 13 ได้ หากมีคนหมื่นคนที่สามารถบ่มเพาะจนถึงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 ได้ ในโลกนี้ก็จะมีเพียงไม่ถึง 10 คนที่สามารถทำอย่างเจ้าได้ ดังนั้นเจ้ารู้รึยังว่าตัวเข้าเองตอนนี้มีความพิเศษมากแค่ไหน?”
จ้าวเหมิงลู่ถอนหายใจและพูดว่า “สามี ต่อให้ข้าจะมีความพิเศษเช่นนั้นแต่มันจะมีประโยชน์อะไร…”
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่ง นั่นหมายความว่าข้าสามารถสอนเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่ไร้เทียมทานให้เจ้าได้! นอกจากนี้ข้ายังไม่จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือเจ้าเลยด้วยซ้ำในการบ่มเพาะตามเส้นทางของมหาเต๋า ซึ่งไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ข้ายังคงต้องให้ความช่วยเหลือพวกเขาอยู่”
จ้าวเหมิงลู่ที่ยิ่งฟังก็ยิ่งงุนงง นางไม่รู้ว่าเส้นทางของมหาเต๋าหมายถึงอะไร นางจึงมุ่งความสนใจไปที่วิชาอันไร้เทียมทานที่หลิงตู้ฉิงพูดถึงซะมากกว่า
“สามี ในที่สุดท่านก็เต็มใจที่จะถ่ายทอดวิชาของท่านให้กับข้าสักที!” จ้าวเหมิงลู่พูดอย่างมีความสุข “แล้วว่าแต่ท่านจะสอนวิชาอะไรให้ข้างั้นเหรอ? แล้วหลังจากที่ข้าฝึกเสร็จมันจะทำให้ข้าแข็งแกร่งได้แค่ไหนกัน?”