พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 250 หนังสือ ‘ความเที่ยงธรรมที่น่าหวั่นเกรง’
บทที่ 250 หนังสือ ‘ความเที่ยงธรรมที่น่าหวั่นเกรง’
จ้าวเหมิงลู่รู้สึกขุ่นเคืองในใจของนางมาตลอดเมื่อผู้หญิงคนอื่น ๆ ล้วนมีวิชาที่เลิศเลอ ซึ่งต่างจากนางเพียงคนเดียวที่ไม่มีอะไรเลย
และเวลานี้ในที่สุดหลังจากต้องทนทุกข์ทรมานมานาน นางก็กำลังจะได้รับการถ่ายทอดวิชาอันไร้เทียมทานจากหลิงตู้ฉิง ซึ่งทำให้นางรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
จะติดอยู่อย่างเดียวในตอนนี้ก็คือเพียงแค่นางไม่รู้ว่านางจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแบบไหน!
“วิชาที่ข้าจะถ่ายทอดให้กับเจ้านั้นเกี่ยวข้องกับวิชากระบี่แน่นอน!” หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ตอนที่ข้าพบเจ้าครั้งแรกเจ้าก็เป็นผู้ใช้กระบี่อยู่แล้ว ดังนั้นข้าจึงรอเวลาที่เหมาะสมมาโดยตลอดเพื่อจะสอนเจ้า”
“หลังจากที่เจ้าฝึกฝนอย่างหนักมาหลายปี เจ้าก็ได้มาถึงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12 แถมกำลังใกล้จะบรรลุเข้าสู่ระดับต่อไปด้วยอีกต่างหาก ดังนั้นตอนนี้มันจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่ข้าจะชี้แนะเส้นทางการบ่มเพาะของเต๋าแห่งกระบี่ให้กับเจ้า และเมื่อเจ้าบรรลุมันจะช่วยเหลือเจ้าให้เข้าสู่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 13”
“แต่ข้าคงจะยังไม่สามารถสอนเคล็ดวิชานี้ให้กับเจ้ารวดเดียวทั้งหมดได้ในทีเดียว เนื่องจากข้อกำหนดในการเริ่มต้นฝึกฝนมันสูงเกินไป เมื่อเจ้ามีคุณสมบัติครบเมื่อไหร่แล้วข้าจะสอนทั้งหมดให้เจ้าอีกที”
“ตอนนี้ข้าจะสอนเจ้าด้วยเพลงกระบี่ สองเพลงกระบี่ไปก่อน ซึ่งเป็นพื้นฐานของเต๋าแห่งกระบี่นี้ เพลงกระบี่พื้นฐานเหล่านี้อาจไม่เหมือนกับแบบที่เจ้ารู้จัก แต่เจ้าต้องปฏิบัติตามและฝึกฝนอย่างตั้งใจ”
“เพลงกระบี่แรกเรียกว่า ‘เร้นคมกระบี่’ แก่นแท้ที่ซ่อนอยู่ของเพลงกระบี่นี้คือการสั่งสมเจตจำนงแห่งกระบี่ไว้ในร่างกายของเจ้า เจตจำนงแห่งกระบี่เหล่านี้จะทำให้ร่างกายของเจ้าสงบลงและพลังของมันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามเจตจำนงที่เจ้าสามารถสั่งสมไว้ในร่างกายของเจ้า จุดสำคัญของเพลงกระบี่นี้คือการสั่งสมเจตจำนงแห่งกระบี่ในร่างให้ได้มากที่สุด ซึ่งยิ่งรากฐานการบ่มเพาะแข็งแกร่งเท่าไหร่เจ้าก็ยิ่งสามารถสั่งสมเจตจำนงได้มากเท่านั้น ทีนี้เจ้าเข้าใจรึยังว่าทำไมข้าถึงต้องให้เจ้าสร้างรากฐานการบ่มเพาะให้แข็งแกร่งที่สุด?”
“สำหรับเพลงกระบี่ที่สองเรียกว่า ‘เผยคมสะบั้น’ เมื่อเจตจำนงแห่งกระบี่ในร่างกายของเจ้าถูกสั่งสมและควบแน่นจนถึงขีดสุด เมื่อพบศัตรูเจ้าสามารถปลดปล่อยเจตจำนงแห่งกระบี่ที่อยู่ในร่างโจมตีไปยังคู่ต่อสู้ของเจ้า อำนาจของเพลงกระบี่นี้หากเจ้าบรรลุมันจนเชี่ยวชาญแล้วต่อให้เจ้าต้องการแยกสวรรค์ออกจากโลกเจ้าก็สามารถทำได้ ด้วยเพลงกระบี่สองท่านี้ใช้ร่วมกัน ตราบใดที่เจตจำนงแห่งกระบี่ในร่างกายของเจ้ามีเพียงพอ แม้ว่าเจ้าจะอยู่แค่ขอบเขตประสานทะเลปราณ เจ้าก็สามารถโค่นคู่ต่อสู้ที่มีระดับสูงกว่าได้”
“ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวคือเจ้าไม่สามารถใช้มันได้อย่างง่ายดายและไม่สามารถระบายเจตจำนงแห่งกระบี่ที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายได้ง่าย ๆ เมื่อเจ้าบรรลุเพลงกระบี่ทั้งสองนี้แล้วเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม ข้าจะสอนเพลงกระบี่อื่น ๆ ของเต๋าแห่งกระบี่ให้เจ้า”
มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปล่อยให้จ้าวเหมิงลู่บ่มเพาะเต๋าแห่งกระบี่ที่ทรงพลังกว่านี้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เนื่องจากมันจะเป็นอันตรายต่อร่างกายของนาง
แต่โชคดีที่นางยังมีรากฐานการบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง หลิงตู้ฉิงจึงยังพอที่จะสอนเพลงกระบี่ทั้งสองนี้ให้นางไว้ป้องกันตัวเองไว้ได้ก่อน
จากคำพูดของหลิงตู้ฉิง จ้าวเหมิงลู่รู้สึกตื่นเต้นมาก นางพูดอย่างตื่นเต้นว่า “สามี รีบ ๆ ถ่ายทอดมันให้กับข้าเร็ว ข้าอยากเรียนรู้มัน!”
“ได้ ข้าจะถ่ายทอดให้เจ้าตอนนี้เลย” หลิงตู้ฉิงยิ้ม
หลังจากนั้นเขาก็ถ่ายทอดเพลงกระบี่ทั้งสองให้กับจ้าวเหมิงลู่
“เจ้าจงค่อย ๆ ทำความเข้าใจมัน” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “สิ่งที่เจ้าขาดในตอนนี้คือกระบี่ดี ๆ สักเล่ม ข้าจะสร้างกระบี่ให้เจ้าเมื่อถึงเวลา ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ที่ข้าฆ่าไป เขามีวัตถุดิบชั้นสูงที่เหมาะที่จะใช้สร้างกระบี่ให้เจ้า”
“ขอบคุณนะ สามี!” จ้าวเหมิงลู่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน “ข้าจะกลับไปที่ลานเพื่อทำความเข้าใจเพลงกระบี่เหล่านี้ก่อนก็แล้วกัน แต่ถ้าท่านมีอะไรท่านก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อนะ!”
เมื่อพูดจบ นางก็หันหลังจากไปทันที
หลิงตู้ฉิง เมื่อว่าภรรยาของเขาจากไปอย่างมีความสุขเขาก็หัวเราะ และจากนั้นเขาก็เริ่มหยิบสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ที่หลู่หยุนตี๋เพิ่งเริ่มหล่อเลี้ยงมันในจิตสำนึกของเขาออกมา มันเป็นสมบัติที่เพิ่งถูกหล่อเลี้ยง ดังนั้นมันจึงยังไม่มีกฎแห่งขอบเขตสวรรค์ หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือในตอนนี้มันยังคงเป็นแค่เพียงวัสดุระดับสวรรค์ อย่างไรก็ตาม การปรับแต่งวัสดุระดับสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ในพริบตา 1 เดือนผ่านไป กระบี่ที่หลิงตู้ฉิงสร้างให้กับจ้าวเหมิงลู่ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และในช่วงเวลา 1 เดือนนี้ถังชี่หยุนและหมิงเทียนลี่ได้เดินทางออกจากเกาะเทียนหยวนและมาถึงเกาะไท่อี้ที่อยู่ใกล้เคียงกับเกาะเทียนหยวน
“เจ้า…ข้าเกรงว่าข้าจะรับไม่ไหวแล้ว!” หมิงเทียนลี่มองไปที่ถังชี่หยุนและยิ้ม
ถังชี่หยุนนิ่งไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “งั้นเรามาหยุดกันก่อนแล้วหาที่พักผ่อนกันเถอะ”
หมิงเทียนลี่ยิ้มด้วยความโล่งใจและพูดว่า “เฮ้อ…อย่างน้อย ๆ โชคชะตาของข้าก็ไม่เลวสักเท่าไหร่ สวรรค์ยังคงไว้หน้าข้าอยู่บ้าง ที่พวกเขาไม่ปล่อยให้ข้าตายอย่างน่าสยดสยอง อย่างน้อยพวกเขาก็ให้ข้าตายโดยที่ศพยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ข้ารู้สึกสำนึกในความเมตตาของพวกเขาจริง ๆ!”
ถังชี่หยุนไม่ได้พูดอะไร นางพยุงหมิงเทียนลี่ซึ่งอ่อนแอมากไปยังยอดเขาที่อยู่ใกล้ ๆ
“ที่นี่ก็ไม่เลวนะ ทิวทัศน์สวยงามเหมาะแล้วที่กระดูกของข้าจะได้มาฝังไว้อยู่ที่นี่” หมิงเทียนลี่หัวเราะ
ถังชี่หยุนวางหมิงเทียนลี่ไว้ข้าง ๆ และเริ่มสร้างกระท่อมขึ้นมาจากฟางที่อยู่ในบริเวณรอบ ๆ หลังจากผ่านไปครึ่งวันนางก็สร้างกระท่อมเส็จและเตรียมที่จะพยุงหมิงเทียนลี่เข้าไปด้านใน
หมิงเทียนลี่โบกมือและพูดว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าขอใช้เวลาที่เหลืออยู่เพื่อช่วยเจ้า! ตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็ไม่ควรพบกับความพิโรธของสวรรค์อีกต่อไป”
หลังจากนั้นเขาก็สวมเสื้อผ้าของสำนักและนั่งลงขัดสมาธิ ถังชี่หยุนมองไปที่หมิงเทียนลี่ นางเองก็นำชุดของสำนักมาสวมใส่และนั่งลงตรงหน้าหมิงเทียนลี่
ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วยิ้ม จากนั้นหมิงเทียนลี่ก็เริ่มอธิบายให้ถังชี่หยุนเข้าใจถึงแก่นแท้ของสวรรค์และโลก
ในระหว่างที่หมิงเทียนลี่อธิบาย ถังชี่หยุนก้มศีรษะลงและหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาและเขียนอะไรบางอย่างลงไป หน้าส่วนใหญ่ของหนังสือเล่มนี้ว่างเปล่า ยกเว้นไม่กี่บรรทัดที่เขียนไว้แล้วในหน้าแรก
‘กฎระหว่างสวรรค์และโลกล้วนสูงส่งเที่ยงธรรม
เบื้องล่างคือภูผาและสายธาร เบื้องบนคืออาทิตย์ จันทรา และดารา
นอกเหนือจากสองบรรทัดนี้ก็ไม่มีอะไรอื่นอีก เมื่อฟังคำอธิบายของหมิงเทียนลี่ ถังชี่หยุนเริ่มเขียนลงในหนังสืออย่างช้า ๆ และค่อย ๆ มีคำศัพท์ใหม่ปรากฏขึ้น
‘ปฐพีคงอยู่ด้วยการผนึกรวม นภาคงอยู่ด้วยการค้ำจุน สามมหาสมบัติคือบ่อเกิดแห่งสรรพชีวิตอันเที่ยงแท้และรากฐานแห่งเส้นทางอันยิ่งใหญ่…’
ทันใดนั้นพลังงานอันเที่ยงธรรรมก็สลายไป นิ้วของถังชี่หยุนหยุดเคลื่อนไหวและมองไปที่หมิงเทียนลี่
ศีรษะของหมิงเทียนลี่ลดลงและร่างกายของเขาก็นิ่งสนิท
ถังชี่หยุนเงียบอยู่เป็นเวลานานก่อนที่นางจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “สามีข้าเขียนมันไปแล้วอยู่หลายประโยค ข้าจะขออ่านให้ท่านฟัง…”
“กฎระหว่างสวรรค์และโลกล้วนสูงส่งเที่ยงธรรม เบื้องล่างคือภูผาและสายธาร เบื้องบนคืออาทิตย์ จันทรา และดารา ปฐพีคงอยู่ด้วยการผนึกรวม นภาคงอยู่ด้วยการค้ำจุน สามมหาสมบัติคือบ่อเกิดแห่งสรรพชีวิตอันเที่ยงแท้และรากฐานแห่งเส้นทางอันยิ่งใหญ่…”
“ตอนนี้ถึงแม้ข้าจะเขียนมันได้เพียงไม่กี่บรรทัดเท่านั้น แต่ข้าสัญญาว่าข้าจะเขียนมันทั้งหมดให้ครบในอนาคต และเมื่อถึงเวลาข้าจะอ่านให้ท่านฟังอีก”
“แค่ก แค่ก” เสียงอู้อี้ดังมาจากลำคอของหมิงเทียนลี่ ขณะที่เขาเงยหน้าซีดเซียวขึ้นมา “แค่ได้ฟังมันเพียงไม่กี่คำข้าก็พึงพอใจมากแล้ว เอาล่ะคงถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้วล่ะนะ” พูดจบสีหน้าของหมิงเทียนลี่ก็เริ่มจางลงทีละนิด
ถังชี่หยุนพลิกหน้าหนังสือในมือของนางและพูดกับหมิงเทียนลี่ที่กำลังจะตาย “สามี หนังสือเล่มนี้ข้าจะให้มันเป็นสมบัติวิเศษแห่งชะตาชีวิตของข้า ตอนนี้มันยังขาดจิตสำนึกของมันอยู่ ถ้าสามีเต็มใจท่านสามารถหลอมรวมดวงจิตของท่านเข้ากับมันและกลายเป็นจิตสำนึกให้กับมันได้และท่านจะได้เป็นพยานในกระบวนการเขียนหนังสือของข้า จากนั้นท่านจะกลายเป็นผู้ฟังคนแรกของข้าด้วย”
หมิงเทียนลี่ยิ้มและพูดว่า “ข้าขอถามว่าหนังสือเล่มนี้ชื่ออะไร?”
“ชื่อเรื่องคือ ความเที่ยงธรรมที่น่าหวั่นเกรง!” ถังชี่หยุนหัวเราะ
“ตั้งได้เยี่ยมมาก!” หมิงเทียนลี่หัวเราะ
พูดจบวิญญาณของหมิงเทียนลี่ออกจากร่างและหายเข้าไปในหนังสือความเที่ยงธรรมที่น่าหวั่นเกรงและหลอมรวมเข้ากับมัน ส่วนร่างกายอันไร้วิญญาณของเขาก็ค่อย ๆ ล้มลง
ถังชี่หยุนลูบหนังสือความเที่ยงธรรมที่น่าหวั่นเกรงของนางอยู่พักหนึ่ง จากนั้นนางก็ขุดหลุมข้างกระท่อม และฝังหมิงเทียนลี่ไว้ อีกทั้งยังตั้งป้ายหลุมศพให้หมิงเทียนลี่
หลังจากนั้นถังชี่หยุนก็เข้าไปในกระท่อม ทุกวันนางจะมาที่หลุมศพของหมิงเทียนลี่และท่องหนังสือความเที่ยงธรรมที่น่าหวั่นเกรงวันละครั้ง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงไม่กี่บรรทัด
แต่นี่ก็เพียงพอแล้วสำหรับนาง