พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 288 ค่ายกลกระบี่สำแดงเดช
บทที่ 288 ค่ายกลกระบี่สำแดงเดช
บทที่ 288 ค่ายกลกระบี่สำแดงเดช
ตามคำสั่งของหลิงตู้ฉิง มี่ไลใช้เหรียญตราในมือของนางเพื่อเปิดใช้งานค่ายกลกระบี่เหินเมฆาทันที
เมื่อค่ายกลกระบี่เหินเมฆาถูกเปิดใช้งาน กระบี่บินทั้ง 49 เล่มที่ถูกวางไว้ตามรูปแบบของค่ายกลต่างก็เปล่งประกายเจตจำนงแห่งกระบี่ของพวกมัน พร้อมกับลอยขึ้นหมุนเป็นวงกลมราวกับกำลังเต้นรำอยู่ในสวนหลังหมู่ตึกหยูอี่
ในขณะที่กระบี่บินเหล่านี้บินหมุนเป็นวงกลมอยู่ในอากาศ หมอกหนาก็ปรากฎขึ้นล้อมรอบปิดกั้นการมองเห็นของผู้คนที่จะเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของสวนด้านหลังหมู่ตึกหยูอี่
หลังจากเปิดใช้งานค่ายกลกระบี่เหินเมฆา มี่ไลหันไปหาหลิวเฟ่ยเฟ่ย และหลิงเทียนหยุนแล้วพูดว่า “เทียนหยุน เฟ่ยเฟ่ย พวกเจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าไม่รู้ว่ารอบนี้เขาจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ ฉะนั้นวันนี้ข้าจะอยู่เฝ้าก่อน แล้วจากนั้นเฟ่ยเฟ่ย เจ้าต้องมาเฝ้าเขาในวันถัดไปและจากนั้นก็เป็นเทียนหยุน อย่าเพิ่งบ่มเพาะในช่วงเวลานี้ เราต้องพักผ่อนให้เพียงพอและผลัดกันมาทำหน้าที่ควบคุมค่ายกล”
หลิวเฟ่ยเฟ่ยและหลิงเทียนหยุนพยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงจัง ทั้งคู่รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาล้อเล่น
อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังไม่ได้แยกย้ายกันไปพักผ่อน แต่กลับนั่งลงข้าง ๆ มี่ไลและนั่งลงทำสมาธิ เผื่อถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันพวกเขาจะได้สามารถช่วยเหลือกันได้ทัน
หยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียว ซึ่งอยู่ที่ด้านนอกหน้าประตูหมู่ตึกหยูอี่ พวกนางต่างมองไปที่สวนด้านหลังด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย “ดูเหมือนว่านายที่เราติดตามจะไม่ธรรมดาเลย!”
หยุนจื่อรุ่ยกระซิบกับเปียนเฉียวเฉียวเบา ๆ ว่า “แต่ข้าคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันแปลก ๆ เกินไปรึเปล่า ไม่ใช่ว่านายท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ไม่ใช่เหรอไง? แต่นี่ทำไมเขากลับทำได้ทั้งหลอมโอสถ สร้างอาวุธและแถมยังสร้างค่ายกลได้อีก?”
หยุนจื่อรุ่ยรีบหยุดเปียนเฉียวเฉียว “นี่เจ้า! อย่าพูดถึงเรื่องพวกนี้ในที่สาธารณะอย่างนี้สิ! อย่าลืมสิว่านายท่านได้ให้พวกเราทำสัญญาห้ามแพร่งพรายความลับของเขา ถ้าเกิดมีใครได้ยินคำพูดนี้และแพร่มันออกไปพวกเราจะต้องตายเชียวนะ!”
ในระหว่างที่พวกนางกำลังกระซิบกระซาบกัน ทันใดนั้นทั้งสองก็เห็นร่างเงาสีดำพุ่งหายเข้าไปในหมู่ตึกหยูอี่ เปียนเฉียวเฉียวที่เห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี ดังนั้นนางจึงรีบจะวิ่งตามเข้าไปเพื่อที่จะรายงานให้กับคนด้านในให้ได้ทราบ แต่หยุนจื่อรุ่ยเอามือปิดปากของเปียนเฉียวเฉียว และรั้งตัวนางไว้พร้อมกับทำให้นางเงียบ
หลังจากเงาร่างนั้นหายไป หยุนจื่อรุ่ยก็ดุขึ้น “นายท่าน บอกว่าเราไม่จำเป็นต้องทำอะไร นายท่านให้เรารออยู่ที่ข้างนอกนี่และอีกอย่างเสียงของเจ้าอาจจะรบกวนนายท่านและนายหญิงด้านในได้!”
เปียนเฉียวเฉียวพยักหน้าอย่างเร่งรีบ แม้ว่าพวกนางจะยังเด็ก แต่พวกนางก็ค่อนข้างรู้ความสำคัญของเงาดำที่เพิ่งเข้าไป พวกนางรู้ว่ามันน่าจะไม่รอดออกมาได้ง่าย ๆ แน่ แต่มันน่าจะถูกฆ่าโดยค่ายกลกระบี่เหินเมฆา!
เมื่อเวลาผ่านไปเพียงครู่เดียวจากที่เงาดำนั้นหายไปด้านใน จู่ ๆ ก็มีร่างชายผู้หนึ่งที่ใบหน้าของเขาถูกบดบังไว้ด้วยพลังวิญญาณปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกนางและถามพวกนางขึ้นว่า “หนูน้อยทั้งสอง พวกเจ้ารู้บ้างไหมว่าเหตุใดพลังวิญญาณของบริเวณรอบ ๆ นี้จึงมารวมตัวกันด้านในหมู่ตึกหยูอี่ แม้ว่าพวกเจ้าจะเป็นคนรับใช้ แต่พวกเจ้าก็น่ารู้อะไรบ้างใช่ไหม?”
เด็กหญิงตัวน้อยทั้งสองเดาได้ทันทีว่าคนผู้นี้ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์แน่นอน เนื่องจากพวกนางรู้สึกได้ถึงแรงกดข่มที่อยู่บนร่างกายของพวกนาง ซึ่งมันเหมือนกับของผู้นำตระกูลพวกนางอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
พวกนางต่างหวาดกลัวและไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ
ถ้าพวกนางไม่พูดพวกนางน่าจะถูกฆ่าแน่ ๆ แต่ถ้าพวกนางพูดออกไปมันก็เป็นการผิดสัญญา พวกนางก็คงจะต้องตายอีกเช่นกัน ในขณะที่พวกนางกำลังกระวนกระวายจนแทบขาดสติ กระบี่บินจิ๋วก็บินผ่านพวกนางและบั่นศีรษะของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์หลุดออกจากร่างอย่างเฉียบขาด
“ลากศพของเขาไปไว้ที่กลางถนนและเก็บแหวนมิติมา” เสียงของมี่ไลดังออกมาจากด้านในหมู่ตึกหยูอี่ขึ้น “และอย่าลืมตรวจสอบภายในทะเลจิตสำนึกของพวกเขาอย่างละเอียดด้วยเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ข้างในหรือไม่ ถ้ามีพวกเจ้าก็เก็บไว้ก่อนชั่วคราว”
“เข้าใจแล้ว นายหญิง!” หยุนจื่อรุ่ยรีบตะโกนตอบกลับไปทันที
พวกนางรู้สึกโล่งใจที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ถูกสังหารต่อหน้า ก่อนที่พวกนางจะเดือดร้อนโดยที่ผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นไม่มีความสามารถที่จะต้านทานได้แม้แต่น้อย
ตามคำสั่งของมี่ไล พวกนางก็เก็บแหวนมิติจากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ผู้นั้น และก็พบสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ครึ่งหนึ่งในทะเลจิตสำนึกของเขา จากนั้นพวกนางก็ช่วยกันลากศพไปทิ้งไว้กลางถนน จากนั้นเด็กหญิงตัวน้อยทั้งสองก็นั่งลงที่หน้าประตูและเริ่มฝึกฝนอย่างใจเย็น
ในเวลานี้สายตาจำนวนมากของผู้เชี่ยวชาญในเมืองเจินไห่ต่างจับจ้องอยู่ที่หมู่ตึกหยูอี่
เนื่องจากเวลานี้กระแสพลังวิญญาณจำนวนมหาศาลได้ถูกดูดเข้าไปด้านในหมู่ตึกหยูอี่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่อยากใส่ใจ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะระงับอาการอยากรู้อยากเห็นของตัวเองได้
และโดยเฉพาะพวกเขาบางคนที่พยายามบินขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อสังเกตการณ์ แต่พวกเขากลับเห็นเพียงแค่หมอกหนาที่ลอยอยู่เหนือสวนด้านหลังหมู่ตึก มันยิ่งทำให้พวกเขาสงสัยมากยิ่งขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ซึ่งบางคนก็คาดเดาว่าอาจเกิดจากการที่หลิงตู้ฉิงกำลังปรับแต่งยันต์สั่งสวรรค์ และบางคนที่เดาไปเช่นนั้นก็ไม่ต้องการให้หลิงตู้ฉิงปรับแต่งยันต์สั่งสวรรค์ เนื่องจากหมู่ตึกหยูอี่อยู่ใกล้กับเรือนของพวกเขามาก หากมีเรื่องอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นพวกเขาจะเป็นผู้ที่ซวยที่สุด
และยังมีบางกลุ่มคนที่ไม่ปรารถนาให้เรื่องนี้สำเร็จ ตัวอย่างเช่นตระกูลจื่อและตระกูลจาง แน่นอนว่ายังมีผู้คนบางกลุ่มที่พร้อมจะฉวยโอกาสปล้นหากเกิดความวุ่นวายขึ้น
ดังนั้นหยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียวจึงเริ่มยุ่ง เนื่องจากพวกนางมีหน้าที่รับหน้าผู้คนนอกหมู่ตึกหยูอี่
เนื่องจากตอนนี้เหล่าผู้เชี่ยวชาญบางคนที่ต้องการรู้ข้อมูลก็เข้ามาถามพวกนางเป็นจำนวนมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามตราบใดที่ใครก็ตามปรากฏตัวต่อหน้าเด็กหญิงตัวน้อยทั้งสอง หัวของพวกเขาก็จะหลุดออกจากบ่าไปโดยแทบที่เจ้าตัวจะทันได้รู้ตัว
ในช่วงแรก ๆ หยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียวที่เห็นภาพเหตุการณ์แบบนี้ พวกนางต่างรู้สึกกลัวและตกใจ แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ พวกนางก็เริ่มเคยชิน หากมีคนพุ่งผ่านพวกนางเข้าไปในหมู่ตึกหยูอี่ พวกนางก็จะแสร้งทำเป็นไม่เห็น ส่วนผู้ที่ถูกสังหารด้านหน้าหมู่ตึก พวกนางก็ค่อย ๆ เก็บแหวนมิติและตรวจสอบทะเลจิตสำนึกของพวกเขาเพื่อดูว่าด้านในมีสมบัติวิเศษระดับสวรรค์หรือไม่ จากนั้นพวกนางก็ลากศพออกไปกองอยู่ที่กลางถนนร่วมกับศพอื่น ๆ
ในวันแรกพวกนางเก็บศพไป 7 ศพ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์
ในวันที่สองพวกนางเก็บศพได้ 3 ศพ ทั้งสามเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์แต่ไม่มีสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ที่สมบูรณ์
ในวันที่สาม พวกนางเก็บศพขึ้นมาและแต่ศพนี้กลับมีสมบัติระดับสวรรค์ที่สมบูรณ์ซึ่งพวกนางก็เก็บมันขึ้นมา และลากศพผู้ตายนี้ไปกองไว้กับศพอื่น ๆ ที่กลางถนนเช่นเคย
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้ามาถามหรือบุกเข้าไปด้านในอีกต่อไป ส่งผลให้ในเวลานี้ทุกตระกูลในเมืองเจินไห่ตกอยู่ในความหวาดหวั่น เพราะหลังจากศพเหล่านั้นถูกลากทิ้งไว้ที่กลางถนนให้ผู้คนในเมืองเจินไห่ได้เห็นหน้าตา พวกเขาบางคนก็รู้จักตัวตนของศพบางคนที่นอนกองอยู่ที่นั่น
ในพริบตาสามวันผ่านไป และสถานการณ์ของหมู่ตึกหยูอี่ยังคงดูเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันยิ่งทำให้ทุกคนเริ่มงุนงงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านในกันแน่
อันที่จริงไม่ต้องพูดถึงคนนอก แม้แต่มี่ไลและคนอื่นด้านในก็ไม่รู้เช่นกัน
พวกเขาไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงจะต้องใช้เวลาในการปรับแต่งยันต์สั่งสวรรค์นี้นานแค่ไหน
แม้แต่เสี่ยวเยว่เฟิงเองที่เป็นผู้ร่วมการปรับแต่งก็รู้สึกได้แค่เพียงการไหลเวียนของพลังวิญญาณโดยรอบหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างไม่รู้จักจบสิ้น และถูกปลดปล่อยผ่านนิ้วของนางออกไปในเวลาเดียวกัน
นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตั้งสมาธิและประสานกับการเคลื่อนไหวของหลิงตู้ฉิงไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่ามันจะจบลงเมื่อไหร่ โดยที่ไม่กล้าลืมตาขึ้นมาดู เนื่องจากได้รับคำเตือนของหลิงตู้ฉิงมาตั้งแต่แรกเริ่มกระบวนการปรับแต่ง
อย่างไรก็ตามนางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า หลิงตู้ฉิงไม่ได้เขียนคำสั่งใด ๆ ลงไปในยันต์สั่งสวรรค์แน่นอน
ในความรู้สึกของนาง นางรู้สึกอย่างคลุมเครือว่ามันคือภาพวาดและจากการเคลื่อนไหวของนิ้วมือของนาง นางเดาว่ามันเป็นภาพเหมือนของคน แต่ต่อมาเมื่อเวลาเริ่มผ่านไปยาวนานยิ่งขึ้นนางก็รู้สึกว่าประสาทการรับรู้ของนางเริ่มพร่ามัวขึ้นเรื่อย ๆ เพราะตอนนี้พลังวิญญาณที่ไหลออกจากร่างกายนาง มันเริ่มไหลออกไปในอัตราที่มากกว่าพลังวิญญาณที่ไหลเข้าตัวนางผ่านค่ายกล ซึ่งทำให้จุดตันเถียนของนางเริ่มเสียหาย
ถึงกระนั้นนางก็ยังพยายามอย่างหนักที่จะอดทน เนื่องจากนี่เป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่นางทำได้เพื่อหลิงตู้ฉิง
ในเวลานี้ที่ด้านบนของยันต์สั่งสวรรค์ ตรงหน้านางมีภาพร่างที่เลือนลางค่อย ๆ ปรากฏขึ้นราวกับว่ามันกำลังจะหลุดออกมาจากยันต์
ภาพร่างนั้นเลือนรางเป็นอย่างมากราวกับว่ามันจะหายไปในเวลาใดก็ได้
ในเวลาเดียวกัน หลิงตู้ฉิงก็จ้องไปที่ยันต์สั่งสวรรค์ด้วยความตั้งใจ และพยายามสร้างภาพของบุคคลในใจของเขาลงบนยันต์สั่งสวรรค์