พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 303 โองการจักรพรรดิ
ผู้คนจากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่เพิ่งมาถึงต่างไม่พอใจกับการกระทำของคนในหมู่ตึกหยูอี่
ถึงแม้ว่าจะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ชัดเจนเกี่ยวกับฐานะของหญิงสาวชุดดำ แต่พวกเขาก็ยังอดโกรธไม่ได้ที่บุคคลเช่นนี้จะได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชาได้ถึงขนาดนี้
ในสายตาของพวกเขานี่มันคืออาชญากรรมที่ร้ายแรง
บนท้องฟ้า ไป๋หยูหมิงไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ เนื่องจากตอนนี้สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ได้ส่งเหล่าคนระดับสูงของสำนักมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือคนผู้นี้ ซึ่งเขาไม่เข้าใจว่าไอ้เด็กเหลือขอคนนี้มันมีค่ามากขนาดนั้นเลยงั้นหรือ?
ถ้าพวกเขาให้ความสำคัญมากขนาดนี้ ทำไมในตอนแรกพวกเขาถึงไม่พาไอ้คนคนนี้กลับไปด้วยกันล่ะ?
แต่สิ่งที่ไป๋หยูหมิงไม่รู้ก็คือเพื่อที่จะส่งข่าวการพบตัว ‘ผู้ถูกชะตาลิขิต’ กลับไปที่สำนักอย่างรวดเร็ว จงขุยจึงต้องรีบกลับไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์จนมันกลายเป็นเหมือนว่าในสายตาคนนอกพวกเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรกับหลิงตู้ฉิงมากนัก และเหตุผลอีกอย่างก็คือ จงขุยได้พยายามชวนให้หลิงตู้ฉิงกลับไปด้วยแล้วแต่ว่าเขากลับปฏิเสธ
นอกจากนี้ หลิงตู้ฉิงยังแสดงความสามารถที่แข็งแกร่งกว่าให้จงขุยเห็น จนทำให้จงขุยรู้สึกว่าแม้ว่าเขาจะรั้งอยู่ที่นี่แต่มันก็คงไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรมากนัก
แน่นอนว่ามีอีกสาเหตุหนึ่งคือ สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ต้องการทดสอบความสามารถของหลิงตู้ฉิงด้วย
ถ้าหลิงตู้ฉิงไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ที่เขาจะต้องเผชิญหลังจากที่จงขุยจากไปได้ แล้วหลิงตู้ฉิงจะมาช่วยแก้ไขปัญหาของสำนักพวกเขาได้อย่างไร? ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทิ้งคำเตือนต่อผู้คนทั่วไปใด ๆ ไว้ก่อนจากไป เพื่อดูว่าหลิงตู้ฉิงสามารถรอดพ้นจากความวุ่นวายที่ตามมาได้หรือไม่?
เป็นเพราะเหตุผลนี้เองที่ทำให้สำนักอักขระวิญญาณเข้าใจผิดและกล้าที่จะวางแผนลงมือกับหลิงตู้ฉิงมิ ฉะนั้นพวกเขาจะกล้ารุกรานแขกของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร?
แต่ปัญหาคือตอนนี้พวกเขาได้ทำให้หลิงตู้ฉิงขุ่นเคือ งและผู้คนจากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็มาแล้ว พวกเขาควรทำอย่างไรต่อไป?
แม้แต่สีเป่ยเซียะก็ยังตกตะลึง นับประสาอะไรกับไป๋หยูหมิง
สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ถึงขนาดส่งกลุ่มคนระดับสูงขนาดนี้ เพื่อมาดูแลบุคคลผู้นี้ที่ถูกเรียกว่า ‘ผู้ถูกชะตาลิขิต’ งั้นเหรอ?
ในกลุ่มคนของสำนักอักขระศักิ์สิทธิ์ที่มา ถึงแม้ว่าระดับการบ่มเพาะของหญิงสาวชุดดำนั้นจะไม่สูงนัก นางอยู่ที่จุดสูงสุดขอบเขตรวมแสงดาราเท่านั้น แต่ลายปักบนหน้าอกของนางแสดงให้เห็นว่าสถานะของนางต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
นอกเหนือจากสถานะของนางแล้ว หนึ่งในสองคนรับใช้ของนางยังอยู่ในขอบเขต เหนือล้ำ ในขณะที่อีกคนหนึ่งอยู่ในจุดสูงสุดของระดับหลุดพ้นสามัญ และเมื่อรวมกับอาวุธวิเศษระดับเซียนทั้งสองชิ้น มันจึงทำให้คนรับใช้ทั้งสองนี้สามารถปลดปล่อยพลังอันน่ากลัวออกมาได้อย่างน่าตกตะลึงแน่นอน
แต่คนที่มองข้ามไม่ได้ที่สุดก็คือชายชราและหญิงวัยกลางคน การบ่มเพาะของหญิงวัยกลางคนนั้นสูงมากจนแม้แต่นางที่อยู่ในระดับนักบุญก็ไม่สามารถมองเห็นระดับของนางได้ชัดเจน ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางเป็นผู้เชี่ยวชาญเหนือระดับนักบุญ
นอกจากนี้ สีเป่ยเซียะยังเห็นได้ชัดเจนจากด้านข้างว่าคนที่ลงมือเมื่อครู่ก็คือหญิงวัยกลางคนผู้นี้ที่ส่งผู้เชี่ยวชายระดับเหนือล้ำทั้งสองคนปลิวกลับไปหาไป๋หยูหมิง แถมยังลบล้างพลังของไป๋หยูหมิงซึ่งอยู่ในระดับนักบุญ ให้หายไปได้อย่างง่ายดายอีกต่างหาก
นี่คงจะเป็นความแข็งแกร่งของสำนักมหาอำนาจสินะที่เวลาไปไหนมาไหนก็สามารถส่งผู้เชี่ยวชาญที่มีระดับเหนือกว่านักบุญมาได้อย่างง่าย ๆ ถึง 2 คน?
สีเป่ยเซียะร่อนลงบนพื้นและทักทายกับหญิงสาวชุดดำด้วยรอยยิ้ม “สีเป่ยเซียะ แห่ง สำนักสายธารทองคำ ขอทักทายสหายผู้บ่มเพาะสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์!”
หญิงสาวชุดดำไม่สนใจเกี่ยวกับการทักทายของนางแม้แต่น้อย นางยังคงคิดถึงเรื่องที่ถูกหลิงตู้ฉิงปฏิเสธไม่ยอมให้เข้าพบ สำนักสายธารทองคำคืออะไร? นางไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนและนางก็ยังรู้สึกขัดแย้งกับการที่หลิงตู้ฉิงปฏิเสธที่จะพบนาง!
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวชุดดำยังไม่สนใจนาง สีเป่ยเซียะเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่นางจะไม่มีทางเลือกและส่งข้อความทางโทรจิตไปบอกหญิงสาวชุดดำอีกครั้ง เกี่ยวกับสถานะตัวตนของนางอีกสถานะหนึ่ง
จากนั้นใบหน้าของหญิงสาวที่สวมชุดสีดำเผยให้เห็นความประหลาดใจ นางหันกลับมาและพูดว่า “สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เย่ชิงเฉิง คารวะพี่สาว!”
สีเป่ยเซียะโบกมือเบา ๆ ส่งสัญญาณให้เย่ชิงเฉิงไม่เปิดเผยตัวตนของนาง จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องสุภาพกับข้ามากนักหรอกน้องสาวเย่ แต่ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง เมื่อครู่เจ้าทำเอาข้าสงสัยอยู่นานสองนานว่าเป็นหญิงงามที่ไหนกันแน่ที่มาถึงที่นี่ ว่าแต่น้องสาวเย่ ตอนนี้พี่สาวคนนี้ดำรงตำแหน่งเป็นองค์หญิงใหญ่ของอาณาจักรอี้จิ๋น ถ้าเจ้ามีเวลาเจ้าสามารถมาเยี่ยมข้าได้ทุกเมื่อเลยนะ อ๋อ และอีกอย่าง ที่นี่ยังคงอยู่ในอาณาเขตของอาณาจักรอี้จิ๋น ถ้าพี่ชายของข้ารู้ว่าน้องสาวเย่อยู่ที่นี่ เขาจะต้องมีความสุขมากแน่ ๆ”
เย่ชิงเฉิงยิ้ม “ในอนาคตข้าจะต้องไปแสดงความเคารพต่อพี่สาวอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ข้ายังคงมีธุระที่ต้องสะสางให้เสร็จซะก่อน เมื่อเสร็จธุระเมื่อไหร่ข้าจะหาโอกาสไปคุยกับท่าน!”
สีเป่ยเซียะส่ายหัว “ข้ารู้ว่าน้องเย่ต้องการคุยกับ ‘ผู้ถูกชะตาลิขิต’ ของสำนักเจ้า เดิมทีพี่สาวคนนี้ก็ต้องการตัวคนคนนี้มากและพร้อมที่จะรับเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า แต่ในเมื่อน้องเย่มาอยู่ที่นี่แล้ว ข้าคงไม่มีโอกาสแน่นอน แต่เจ้าต้องทำใจเอาไว้สักหน่อย คนคนนี้มีลักษณนิสัยค่อนข้างหยิ่งยโส เมื่อตอนก่อนที่เจ้าจะมา เขาเองยังกล้าไล่ตะเพิดข้าออกมาข้างนอกนี่อยู่เลย แต่ถ้าหากเป็นเจ้า สาวงามอันดับหนึ่งแห่งสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เจ้าอาจจะประสบความสำเร็จก็ได้ เอาล่ะ พี่สาวจะไม่พูดอีกแล้ว พี่สาวขอต้องขอตัวลากลับก่อนล่ะ”
หลังจากที่สีเป่ยเซียะพูดจบ นางก็พาคนของนางกลับไปที่จวนเจ้าเมือง
แต่ในขณะที่นางจากไป นางก็เผยรอยยิ้มแปลก ๆ ขึ้นเหมือนกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง
คนที่เหลือของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ต่างก็มองไปที่เย่ชิงเฉิงด้วยสายตาสงสัย สำนักสายธารทองคำมันเป็นสำนักอะไรก็ไม่รู้ที่พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อเสียงด้วยซ้ำ ทำไมพวกนางถึงพูดคุยกันราวกับว่ามีฐานะเสมอกันเฉกเช่นพี่น้อง?
“นายหญิง นางเป็นใครเหรอ?” คนรับใช้ของเย่ชิงเฉิงอดไม่ได้ที่จะถาม
เย่ชิงเฉิงโบกมือและไม่ตอบคำถามของนาง แต่หันกลับไปมองที่สวนด้านหลังของหมู่ตึกหยูอี่
“พี่สาว พวกท่านควรกลับไปก่อน!” หยุนจื่อรุ่ยพูดอย่างช่วยไม่ได้ “นายท่านน่าจะยังคงไม่รับแขกแบบนี้อยู่อีกพักใหญ่ ครั้งล่าสุดก็กินเวลานานกว่าครึ่งเดือนหลังจากที่ผู้คนจากสำนักอักขระวิญญาณเข้ามาก่อปัญหา หรือไม่อีกสัก 2-3 วันท่านก็ค่อยลองมาที่นี่ใหม่อีกครั้งก็ได้”
“หืม?” เย่ชิงเฉิงตกใจ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่ามีคนจากสำนักอักขระวิญญาณเคยมาสร้างปัญหางั้นเหรอ?”
เปียนเฉียวเฉียวพยักหน้า “ใช่พี่สาว ก่อนหน้านี้มีผู้ชายคนหนึ่งแซ่เสี่ยว มาบอกว่าศิษย์น้องของเขาเสียชีวิตในหมู่ตึกหยูอี่และต้องการสอบถามเรื่องราวกับนายท่าน ซึ่งนายท่านก็ได้อธิบายไปแล้วว่าศิษย์น้องของเขาได้ตายลงเพราะค่ายกลที่คอยปกป้องยันต์สั่งสวรรค์ และมันไม่ใช่เรื่องของนายท่านของข้าที่จะต้องรับผิดชอบ”
“อย่างไรก็ตามชายแซ่เสี่ยว กลับไม่เชื่อและยังบอกว่านายท่านต้องรับผิดชอบและบังคับให้นายท่านมอบยันต์สั่งสวรรค์ให้แถมเขายังข่มขู่นายท่านอีกว่า สำนักอักขระวิญญาณของพวกเขาได้นำผู้อาวุโสของตนเองมาด้วยพร้อมกับสมบัติวิเศษระดับเซียน หากนายท่านไม่ยินยอมมอบยันต์สั่งสวรรค์ พวกเขาจะใช้กำลัง นายท่านจึงบอกให้เขาพาผู้อาวุโสของสำนักมาเอามันไปเอง เขาจะไม่ส่งมอบให้ด้วยมือ ถ้าหยิบมันไปได้ยันต์สั่งสวรรค์จะเป็นของพวกเขา”
“จากนั้นผู้อาวุโสของสำนักอักขระวิญญาณ และชายแซ่เสี่ยวก็มา แต่เมื่อพวกเขาเข้าด้านในสวนด้านหลัง พวกเขาก็… ข้าไม่เคยเห็นใครที่หน้าด้านเช่นพวกเขามาก่อนเลยพี่สาว ทั้งที่นายท่านก็เตือนพวกเขาแล้วว่าอย่าลองดี แต่พวกเขากลับไม่เชื่อ แล้วมาตอนนี้สำนักของพวกเขายังกล้ามาหาเรื่องนายท่านของข้าอีกรอบ พวกคนสำนักนี้มันช่างไร้ยางอายจริง ๆ”
เปียนเฉียวเฉียวไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร ดังนั้นนางจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นแบบเกือบละเอียดให้กับเย่ชิงเฉิงฟัง ราวกับว่านางลืมคำเตือนของหลิงตู้ฉิงที่ไม่ให้นางแพร่งพรายเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับพวกเขา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นางพูดไม่ใช่ความลับ มันจึงไม่ก่อให้เกิดผลสะท้อนกลับของกฎแห่งสวรรค์และโลกตามที่นางเคยทำสัญญาไว้กับหลิงตู้ฉิง
เย่ชิงเฉิงพยักหน้าเล็กน้อย ในที่สุดนางก็รู้ว่าหลิงตู้ฉิงขัดแย้งกับสำนักอักขระวิญญาณได้อย่างไร
จากนั้นนางจึงย้อนคิดถึงเรื่องที่sลิงตู้ฉิงปฏิเสธที่จะพบนาง ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะว่าเขาเข้าใจผิดที่นางปล่อยคนของสำนักอักขระวิญญาณไปอย่างง่ายดายหรือเปล่า?
แต่ถึงแม้เขาจะไม่พอใจ แต่อย่างน้อยเขาก็ควรพบกับนางก่อนเพื่อแสดงท่าที!
นางกัดฟัน ถ้าไม่ใช่เพราะคน ๆ นี้เป็นคนสำคัญ นางก็คงไม่ยอมถ่อมตัวขนาดนี้
ด้วยสถานะของนาง นางเคยต้องยอมถ่อมตัวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
นางหันศีรษะและจ้องไปที่ไป๋หยูหมิง และพูดอย่างเย็นชา “พวกเจ้า สำนักอักขระวิญญาณ ช่างกล้าหาญจริง ๆ ที่กล้าปล้นแขกผู้มีเกียรติของข้า ในตอนแรกข้าตั้งใจว่าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าเพราะว่าพวกเจ้าเองก็บ่มเพาะวิถีเต๋าเดียวกับสำนักของข้า แถมในอดีตผู้อาวุโสของสำนักเจ้าก็เคยมาทำประโยชน์ให้สำนักของข้ามาก่อน”
“แต่ตอนนี้มันคงเป็นไปไม่ได้แล้วที่ข้าจะละเว้นโทษให้กับพวกเจ้า! จงกลับไปที่สำนักของพวกเจ้าและนำสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของสำนักพวกเจ้ามาที่เพื่อขอขมาให้กับแขกของข้า ไม่เช่นนั้น สำนักอักขระวิญญาณของพวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมีอยู่อีกต่อไป!”
ไป๋หยูหมิงตกใจรีบพูดว่า “ท่านหญิงเย่…”
เย่ชิงเฉิงพูดอย่างเย็นชา “ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าครึ่งปี ถ้าข้ายังไม่เห็นว่าแขกของข้าได้รับการขอขมาจากพวกเจ้า ข้าจะให้ป้าหลันทำลายสำนักอักขระวิญญาณของพวกเจ้าทิ้งซะ และอย่าคิดว่าสำนักอักขระวิญญาณของพวกเจ้าจะแข็งแกร่งจนต่อต้านสำนักของข้าได้ คราวนี้ข้าได้นำโองการจักรพรรดิมาด้วย ข้าไม่รังเกียจที่จะปล่อยให้สำนักอักขระวิญญาณของเจ้าได้ลิ้มรสชาติกับพลังของโองการจักรพรรดิ!”
ขณะนี้ในใจของนางรู้สึกหงุดหงิดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลาย ๆ อย่างรวมกัน และประกอบกับที่นางไม่สามารถทำอะไรกับหลิงตู้ฉิงได้ เนื่องจากนางยังคงต้องร้องขอความช่วยเหลือจากหลิงตู้ฉิง ฉะนั้นนางจึงทำได้เพียงระบายความโกรธทั้งหมดของนางที่มีใส่สำนักอักขระวิญญาณ
หลังจากที่นางพูดจบ นางก็หันกลับมาและยิ้มให้หยุนจื่อรุ่ย “น้องสาว เมื่อเจ้าสามารถเข้าไปพบกับเจ้านายของเจ้าได้แล้วโปรดถ่ายทอดสิ่งที่เจ้าได้ยินเมื่อครู่ให้กับนายของเจ้าได้ทราบด้วย วันนี้พี่สาวคงต้องขอตัวกลับก่อน แล้วพี่สาวจะกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อแสดงความเคารพต่อนายท่านของเจ้าอีกที”
หลังจากที่นางพูดจบ นางก็พาคนของนางไปที่จวนเจ้าเมือง
สำหรับไป๋หยูหมิง เมื่อเขาได้ยินคำสั่งของเย่ชิงเฉิง ทั้งร่างของเขาก็สั่นสะท้าน เขารู้ดีว่าในตอนนี้สำนักอักขระวิญญาณของเขาถึงคราวเดือดร้อนแล้วแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้หญิงคนนี้บอกว่านางมี โองการจักรพรรดิ ไว้ในครอบครอง ซึ่งสำนักอักขระวิญญาณของพวกเขาไม่มีทางต้านทานอำนาจของมันได้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงต้องเร่งแจ้งข่าวนี้ให้สำนักทราบ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกต่อไป จากนั้นจึงรีบพาคนของตัวเองกลับไปที่สำนักในทันทีด้วยความตื่นตระหนก