พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 337 พบกันอีกครั้งกับสองพี่น้องตระกูลสี
เสี่ยวเยว่เฟิงซึ่งยืนอยู่ตรงทางเข้าของเรือน ขมวดคิ้วและพูดว่า “อารามนวดารา อะไร? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน!”
ขนาดชื่อสำนักต่าง ๆ ที่อยู่ในอาณาเขตนภา นางยังรู้จักได้ไม่หมด แล้วจะนับประสาอะไรกับชื่อของสำนักที่อยู่ในอาณาเขตอื่น ๆ ที่อยู่ห่างออกไป
“มันไม่สำคัญว่าเจ้าจะเคยได้ยินชื่อของอารามนวดาราของพวกข้ารึเปล่า แต่สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือมอบเรือนนี้ให้กับพวกข้า” ชายผู้มีหนวดเต็มใบหน้าไม่รู้สึกอะไรกับการที่นางไม่รู้จักชื่อสำนักของเขาและพูดอย่างใจเย็น
“ไม่!” เสี่ยวเยว่เฟิงตอบกลับอย่างเย็นชาและหันหลังกลับ
ครั้งก่อนที่เคยมีคนมาที่นี่เพื่อมาก่อกวนพวกนาง ในตอนนั้นเสี่ยวเยว่เฟิงเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงต้องมาที่นี่ แต่ในครั้งนี้นางได้รู้ถึงเหตุผลการมาของคนกลุ่มใหม่นี้อย่างชัดเจน
เนื่องจากการผันผวนของพลังวิญญาณอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในเรือนและมันดันเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะเจาะ ซึ่งใกล้กับจะถึงวันที่กล้วยไม้หยกจะเบ่งบานขึ้น นางจึงเข้าใจว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงมาที่นี่
อย่างไรก็ตามในใจของนางกำลังยิ้มอย่างขมขื่นเพราะอันที่จริงแล้วในเรือนนี้ไม่มีกล้วยไม้หยกใด ๆ ทั้งสิน มันจะมีก็แต่เพียงการบ่มเพาะแบบคู่ของนายท่านของนางกับภรรยาของเขาก็เท่านั้น
นางไม่รู้ว่าเหตุใดการบ่มเพาะแบบคู่จึงสร้างความปั่นป่วนครั้งใหญ่ทุกครั้ง แต่นางรู้ได้อย่างชัดเจนว่านางไม่สามารถรบกวนได้
“แม่นาง อย่าเย็นชานักสิ!” ชายผู้มีเคราพูด “ข้าอุตส่าห์คุยกับเจ้าอย่างสุภาพแล้วนะ ข้าคิดว่าเจ้าควรจะให้เกียรติพวกข้าบ้างสักหน่อยเพราะมันจะเป็นผลดีต่อตัวเจ้าเองในอนาคต!”
หลังจากชายมีเคราพูดจบ จู่ ๆ ร่างของเย่หยูหลันก็ปรากฏขึ้นที่ทางเข้าเรือน นางมองไปที่ชายมีเคราและพูดว่า “เจ้าจงพาคนของเจ้าไปที่อื่นซะ ที่นี่ถูกยึดครองโดยพวกข้า สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว!”
อันที่จริง เย่หยูหลันเองก็หมดทางเลือก ถ้าหากนางไม่ปรากฏตัวออกมาและแจ้งชื่อสำนักของนาง นางคิดว่าคงมีความเป็นไปได้สูงที่สถานการณ์มันจะต้องปะทุขึ้นจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน ซึ่งมันจะยิ่งทำให้เรื่องราวยิ่งบานปลาย
เมื่อได้ยินเย่หยูหลันประกาศตัวว่ามาจากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ชายมีเคราก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปในขณะที่เขาพยักหน้าและพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นสหายผู้มีเกียรติจาก สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ นี่เอง ข้าต้องขออภัยด้วยที่มารบกวนพวกท่านเช่นนี้ ข้าขอตัวลา!”
หลังจากพูดจบเขาก็รีบหันกลับและจากไปทันที
ส่วนผู้อาวุโสที่อยู่ข้างหลังเขาก็ไม่ได้แสดงตัวออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ
หรือต่อให้เขาจะแสดงตัวออกมามันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงดังก้องไปทั่วทุกภูมิภาค สิ่งที่พวกเขาทำได้นั้นก็มีแค่เพียงต้องยอมหลีกทางให้เพียงแค่เท่านั้น
ในขณะนี้บรรดาผู้สังเกตการณ์โดยรอบที่ยินชื่อของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เอ่ยขึ้นมา พวกเขาต่างก็ค่อย ๆ ถอยจากไปอย่างเงียบ ๆ
“มันจบแล้ว พวกเราคงไม่มีโอกาสฉกกล้วยไม้หยกได้แล้วในครั้งนี้!”
“บ้าจริง ๆ ทำไมคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ถึงได้ไร้ยางอายเช่นนี้? ทำไมพวกเขาถึงต้องมาแย่งชิงกล้วยไม้หยกกับพวกเราด้วยกัน?”
จากนั้นข่าวการมาถึงของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็กระจายไปทั่วทั้งเมืองหยูหลัน ซึ่งมันส่งผลให้บรรดาผู้คนในเมืองต่างรู้สึกใจสลาย
แต่มันก็ยังมีคนบางกลุ่มที่กำลังมองไปที่เรือนของหลิงตู้ฉิงด้วยความสนใจ
“ที่แท้พวกเขาก็อยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่าข้าต้องไปเยี่ยมพวกเขาซะแล้ว!” ใครบางคนพึมพำกับตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น บางคนถึงกับตรงไปที่เรือนของหลิงตู้ฉิงทันทีที่ได้ทราบข่าว
“ข้าก็สงสัยอยู่ตั้งนานว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ไหน ที่แท้พวกเขาก็อาศัยอยู่บนยอดเขานั่นเองยังงั้นเหรอ” สีเป่ยเซียะ และ สีจิ้งหมิง ต่างเดินตีคู่กันมา “ท่านหลิงอยู่หรือเปล่า พวกเราอยากเจอเขา”
เสี่ยวเยว่เฟิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้เมื่อเจอกับคู่พี่น้องคู่นี้ “ขออภัยด้วย ตอนนี้นายท่านยังไม่ว่าง”
แต่หลังจากที่เสี่ยวเยว่เฟิงพูดจบ การผันผวนของพลังวิญญาณโดยรอบก็สิ้นสุดลง และไม่นานต่อมาหลิงตู้ฉิงก็เดินออกมาจากห้อง
เมื่อสัมผัสได้ว่าหลิงตู้ฉิงน่าจะออกมาจากห้องแล้ว เสี่ยวเยว่เฟิงจึงรีบเดินกลับเข้าไปด้านในเรือนเพื่อรายงานว่า “นายท่าน คู่พี่น้องจากอาณาจักรอี้จิ๋นมาขอเข้าพบกับท่าน!”
แม้ว่านางจะรู้จักตัวตนของสีเป่ยเซียะและสีจิ้งหมิงแล้ว นางก็ไม่ได้เอ่ยถึงชื่อของสำนักเบญจธาตุ เนื่องจากนางเกรงว่ามันอาจจะมีปัญหาอื่นตามมาหากมีใครได้ยินเข้า
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ให้พวกเขาเข้ามา!”
ไม่นานต่อมา สีเป่ยเซียะและสีจิ้งหมิงก็เดินเข้าไปพร้อมกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ตามมาอยู่ด้านข้างสีจิ้งหมิง
เด็กหนุ่มผู้นี้ที่ดูแล้วอายุไม่น่าจะมากสักเท่าไหร่ แต่ระดับการบ่มเพาะของเขาตอนนี้ได้ไปถึงขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 10 แล้ว
สีจิ้งหมิงเป็นผู้เริ่มพูดว่า “พี่หลิง นี่คือลูกชายของข้า สีอี้เฉิง เขาจะตามท่านไปสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ข้าขอรบกวนให้ท่านดูแลลูกชายของข้าด้วย”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ข้าขายเฉพาะสิทธิ์การเข้า ข้าไม่มีหน้าที่ในการรับผิดชอบดูแลใคร! นอกจากนี้แม้ว่าเจ้าจะเสนอราคามาให้ข้าแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่ได้ให้วัสดุแก่ข้า ดังนั้นสิทธิ์ที่ข้าจะขายให้เจ้า มันก็สามารถถูกขายต่อออกไปได้ตลอดเวลา เว้นแต่เจ้าจะมอบวัสดุที่ตกลงไว้ให้แก่ข้า เมื่อนั้นมันจะถึงว่าสิทธิ์นี้เป็นของลูกเจ้าโดยสมบูรณ์”
สีจิ้งหมิงหัวเราะ “ครั้งนี้หนึ่งในเหตุผลที่เรามาที่เมืองหยูหลันนั่นก็คือเพื่อทำตามข้อตกลงที่ข้ามีกับท่าน แต่สิ่งที่ข้าไม่คาดคิดเลยจริง ๆ ว่าท่านกลับมีกุญแจอยู่กับตัวมากกว่าหนึ่งดอกเสียได้”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและไม่ได้พูดโต้ตอบอะไร
ทางด้านของสีจิ้งหมิงเองก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เขาหยิบบรรดาสิ่งของที่เตรียมไว้ให้หลิงตู้ฉิง ซึ่งก็คือดินซับพลังวิญญาณครึ่งกิโลกรัม ไม้มรกตศักดิ์สิทธิ์ และวัสดุระดับสวรรค์อีก 10 ชิ้น
หลิงตู้ฉิงหยิบสิ่งของทั้งหมดขึ้นมาตรวจสอบก่อนที่จะพูดว่า “เอาล่ะทุกอย่างเรียบร้อย! นับจากนี้สิทธิ์การเข้าหนึ่งสิทธิ์ได้เป็นของพวกเจ้าแล้ว!”
สีจิ้งหมิงพยักหน้าและพูดว่า “พี่สาวของข้าจะพาลูกชายของข้าติดตามพี่หลิงไปจนกว่าประตูของเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับจะเปิดขึ้น สำหรับข้า ข้าจะกลับไปหลังจากการประมูลสิ้นสุดลง ว่าแต่พี่หลิง ท่านแน่ใจนะว่าไม่อยากขายสิทธิ์ที่เหลือให้ข้าอีก?”
“เจ้าพบสิ่งที่ข้าต้องการรึเปล่า?” หลิงตู้ฉิงถาม
สีจิ้งหมิงถอนหายใจ ในขณะที่เขาส่ายหัวและพูดว่า “เฮ้อ…สิ่งที่ท่านต้องการแต่ละอย่างมันเป็นอะไรที่หาได้ยากมากจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็น หินจันทราศักดิ์สิทธิ์ หรือ หินแก่นแท้ปฐพี”
ส่วนข้อเสนออีกอันที่หลิงตู้ฉิงเคยเอ่ยไว้ว่าสามารถใช้มันได้ในการแลกเปลี่ยน ซึ่งก็คือ แร่ทองคำศักดิ์สิทธิ์ สีจิ้งหมิงนั้นไม่ได้เอ่ยอะไรถึงมันเนื่องจากมันเป็นสมบัติอันล้ำค่าสำหรับสำนักเบญจธาตุของพวกเขา มันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถหยิบมันออกมาจากสำนักและมอบให้กับใครได้ง่าย ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยอะไรเกี่ยวกับมัน
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อยและไม่เอ่ยถามถึงเรื่องอื่นต่อ
เมื่อเห็นว่าพวกเขาคุยเรื่องสำคัญกันเสร็จแล้ว สีเป่ยเซียะก็หัวเราะและถามว่า “คุณชายหลิง น้องชิงเฉิงอยู่ด้านในรึเปล่า ข้าอยากจะเข้าไปทักทายกับนางเพื่อพูดคุยเรื่องเก่า ๆ ของข้ากับนาง”
“ตอนนี้นางมีธุระสำคัญต้องทำ คงยังพบกับเจ้าไม่ได้!” หลิงตู้ฉิงปฏิเสธทันที
เขายังคงไม่สามารถวางใจได้ถ้าหากบรรดาภรรยาและลูกของเขายังคงไม่สามารถบรรลุวิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่งได้ตามที่เขาตั้งเป้าไว้ ดังนั้นเขาจึงยังไม่อนุญาตให้เย่ชิงเฉิงพบกับแขกคนไหนก่อนจะถึงเวลาที่เหมาะสม
สีเป่ยเซียะยิ้มและพูดว่า “นางมีธุระสำคัญอะไรกันที่ถึงขนาดไม่สามารถมาพบข้าได้ทั้ง ๆ ที่ข้าก็มาอยู่ที่หน้าเรือนแล้ว?”
หลิงตู้ฉิงพูดอย่างเฉยเมย “ข้าแลกเปลี่ยนสิทธิ์ในการเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับกับพวกเจ้าเท่านั้น เหนือจากนั้นพวกเราไม่มีความสัมพันธ์อื่นใดเกี่ยวข้องกัน ในระหว่างที่พวกเจ้ากำลังรอให้เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเปิด เจ้าสามารถอาศัยอยู่เคียงข้างเราได้แต่อย่าทำตัวอย่าสอดรู้สอดเห็นเรื่องความลับของเรา มิฉะนั้นเจ้าจะต้องรับผลที่ตามมา”
เมื่อได้ยินหลิงตู้ฉิงปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว ใบหน้าของสีเป่ยเซียะก็อดไม่ได้ที่จะแข็งค้างและสบถในใจ “คุณชายนี่ช่างใจร้ายจริง ๆ! หรือว่าท่านยังคงโกรธอยู่ที่ข้าไม่ช่วยท่านในตอนนั้น?”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่สีเป่ยเซียะและถามว่า “เจ้ามีอะไรสำคัญอีกไหม? ถ้าไม่มีอะไรข้าจะได้ไปทำธุระของข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีเป่ยเซียะก็เริ่มรู้สึกโกรธแต่นางก็ทำได้แค่ส่ายหัว ทางด้านของสีจิ้งหมิงเองก็ส่ายหัวเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบอะไร หลิงตู้ฉิงก็ลุกขึ้นยืนและนำโม่เอ๋อไปที่หอการค้าเชื่อมสวรรค์
เย่หยูหลันที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา นางถอนหายใจอย่างกังวลเมื่อนางเห็นภาพของสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนที่เกิดขึ้นเมื่อครู่
สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์และสำนักเบญจธาตุ เดิมก็มีความสัมพันธ์ที่ดี แต่ตอนนี้ด้วยลักษณะนิสัยของหลิงตู้ฉิงที่แข็งกระด้างเป็นอย่างมาก นางกังวลเล็กน้อยว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองสำนักอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นในอนาคตก็เป็นได้
ในตอนนี้สีจิ้งหมิงและสีเป่ยเซียะกำลังขมวดคิ้ว พวกเขารู้สึกไม่มีความสุขจริง ๆ กับนิสัยอันแข็งกระด้างของชายผู้นี้