พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 34 ถูกโจมตี![รีไรท์]
บทที่ 34 ถูกโจมตี![รีไรท์]
เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มอับแสง ในที่สุดเด็ก ๆ ก็เสร็จสิ้นภารกิจประจำวันของพวกเขา หลิงยู่ชานกำลังหอบอย่างหนักและหลิงฟ่างหัวก็แข้งขาอ่อนแรง
จากนั้นไม่นาน ทั้งครอบครัวก็พากันไปที่ภัตตาคาร บ่าวรับใช้และผู้คุ้มกันทั้งหมดรายล้อมอยู่ด้านข้างหลิงตู้ฉิงรวมถึงมี่ไล หลิงตู้ฉิงอุ้มหลิงไช่หยุนที่อายุน้อยที่สุดไว้ในอ้อมแขนของเขา
สำหรับหลิงยี่เทียนเขาถูกแบกอยู่บนหลังของหลิงยู่ชาน
ถังชี่หยุนมองไปที่หลิงฟ่างหัว ซึ่งขาของนางกำลังสั่นด้วยอาการอ่อนแรงจากการฝึก ถังชี่หยุนจึงช่วยพยุงนางเดินตามมา สำหรับเด็กคนอื่น ๆ นั้นสามารถเดินได้เอง
เมื่อเห็นดังนั้น มี่ไลจึงถามหลิงตู้ฉิงว่า “นายท่าน ตระกูลของเรา…ข้าคิดว่าในอนาคตเราควรมีรถม้าเพื่อที่จะเดินทางได้สะดวกกว่าเดิม ท่านเห็นด้วยไหมนายท่าน?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ตอนนี้มันยังไม่จำเป็น ช่วงนี้พวกเราไม่ได้ออกไปไหนกันบ่อย ๆ เมื่อไหร่ที่ข้าต้องการใช้รถม้า ข้าจะหามันเองเจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมัน หน้าที่ที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าคือการดูแลต้นไผ่เซียนสวรรค์ให้ข้า เรื่องอื่นเจ้ายังไม่ต้องไปสนใจ”
มี่ไลพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าได้ใช้เคล็ดวิชาที่ท่านสอน ร่ายลงไปบนต้นไผ่เซียนสวรรค์ได้ 17 ครั้งแล้ว”
17 ครั้งนั่นหมายถึง 17 ปี นางรู้สึกว่าต้นไผ่เซียนสวรรค์เติบโตสูงขึ้นกว่าเดิมได้ระดับหนึ่งแล้ว
“ต้นไผ่เซียนสวรรค์กว่าจะใช้งานได้ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 1,000 ปี ตอนนี้เจ้าพึ่งทำให้มันมีอายุได้เพียงแค่ 17 ปี นั้นมันยังไกลจากที่ข้าต้องการอยู่อีกมาก และที่สำคัญเป้าหมายของข้าไม่ใช่แค่ต้นไผ่เซียนสวรรค์อายุ 1,000 ปี แต่ต้องเป็นต้นไผ่เซียนสวรรค์ที่อายุมากกว่า 3,000 ปีขึ้นไปข้าถึงจะพอใจ” หลิงตู้ฉิงพูด
สีหน้าของมี่ไลเปลี่ยนเป็นขมขื่น นางรีบพูดเสริมขึ้นมาทันที “นายท่าน ข้าจะทำให้ดีที่สุด!”
แม้ว่านางจะใช้เคล็ดวิชาช่วยในการเติบโตของต้นไผ่เซียนสวรรค์วันละร้อยครั้ง นางก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือนถึงจะได้ตามเป้าที่หลิงตู้ฉิงวางไว้
เก๋าหงและคนอื่น ๆ มองไปที่มี่ไลด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาเป็นคนที่ได้รับการเลี้ยงดูจากตระกูลมี่และมี่ไลก็เป็นคุณหนูของพวกเขา แต่ตอนนี้มี่ไลได้ปฏิบัติต่อหลิงตู้ฉิงอย่างเคารพ จึงทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักได้ถึงสถานะของหลิงตู้ฉิงที่สำคัญเพียงใดกับตระกูลมี่
ระหว่างที่พวกของหลิงตู้ฉิงกำลังเดินคุยเล่นกันอยู่เพลิน ๆ ทันใดนั้นจู่ ๆ ก็มีรังสีสังหารพุ่งเข้ามาทางพวกเขาอย่างกะทันหัน ทำให้บรรดาผู้คุ้มกันและบ่าวรับใช้เริ่มตื่นตัว พวกเขากวาดตามองไปยังแหล่งที่มาของรังสีสังหารนี้ทันทีด้วยสีหน้าระแวดระวัง
เมื่อพวกเขาเพ่งมองไปยังที่มาของรังสีสังหารที่มาจากสุดปลายถนนของอีกฝั่ง พวกเขาก็ได้เห็นชายสามคนที่สวมเสื้อคลุมสีแดงโลหิตค่อย ๆ เดินเข้ามาทางพวกเขาด้วยแววตาโหดเหี้ยม
แสงระเรื่อของดวงอาทิตย์ที่ใกล้จะลับขอบฟ้าส่องประกายตกกระทบลงบนเสื้อคลุมสีแดงส่งผลให้สีของเสื้อคลุมของคนเหล่านั้นยิ่งเหมือนสีของเลือดขึ้นไปอีก
“เสื้อคลุมโลหิต!” จู้กว่างเต๋อกล่าวอย่างเคร่งเครียด “นายท่าน พวกมันเป็นคนจากกลุ่ม ‘เสื้อคลุมโลหิต’ พวกมันเป็นองค์กรนักฆ่าที่ต้องการเพียงเงินเท่านั้น หลังจากได้รับการจ้างวาน พวกมันจะตามฆ่าเป้าหมายโดยไม่มีทางหยุดจนกว่าเป้าหมายจะตาย มีผู้คนเป็นจำนวนมากที่ต้องตายด้วยน้ำมือของคนกลุ่มนี้”
หลิงตู้ฉิงมองไร้เงาแล้วพูดว่า “ชายทั้งสามคนนี้โง่กว่าเจ้ามากจริง ๆ ดูสิเป็นนักฆ่าซะเปล่ากลับเปิดเผยตัวเอง เดินดุ่ม ๆ เข้ามาหาเป้าซะอย่างงั้น!”
“เอาล่ะ ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะต้องแสดงความคุ้มค่าที่ถูกจ้างมาแล้ว!”
จู้กว่างเต๋อ และคนอื่น ๆ หายใจลึกพร้อมกับพยักหน้าและพูดว่า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง เราจะหยุดพวกเขาได้แน่นอน!”
หลังจากนั้น จู้กว่างเต๋อจึงเริ่มสั่งการ “เจี้ยนหนีฉาง และข้าจะรับมือกับนักฆ่าขอบเขตประสานทะเลปราณ เก๋าหง เจ้าจัดการกับนักฆ่าขอบเขตควบแน่นลมปราณระดับ 7 ทางซ้าย และฉีจินสง เจ้าจัดการกับนักฆ่าขอบเขตควบแน่นลมปราณระดับ 9 ทางด้านขวา ส่วนไร้เงาเจ้าคอยคุมเชิงอยู่ใกล้ ๆ และคอยหาโอกาสที่จะช่วยพวกเราสามคน”
จากคำสั่งของจู้กว่างเต๋อ พวกเขาห้าคนต้องแยกกันทำหน้าที่
สำหรับฝั่งพวกเสื้อคลุมโลหิตทั้งสาม นักฆ่าทางด้านซ้ายหยิบดาบสองมือออกมาส่วนคนที่อยู่ขวามือนั้นหยิบหอกยาวสีเงินออกมาและนักฆ่าขอบเขตประสานทะเลปราณที่อยู่ตรงกลางนั้นหยิบไม้เท้าสีดำออกมา
“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไร!” หลิงตู้ฉิงกล่าวกับถังชี่หยุนเมื่อสังเกตเห็นว่าถังชี่หยุนวางหลิงฟ่างหัวลง “นี่ถือว่าเป็นการฝึกของพวกเขา ไม่งั้นในอนาคตตัวตนของพวกเขามันจะไร้ค่า”
ถังชี่หยุนพยักหน้า แม้ว่านางจะไม่เคลื่อนไหว แต่นางก็ยังเตรียมพร้อม
ถ้าวัดจากระดับการบ่มเพาะ นางมีระดับที่สูงที่สุดในกลุ่มของหลิงตู้ฉิง ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องคอยระวังเป็นด่านสุดท้าย
เสื้อคลุมโลหิตทั้งสามไม่ได้พูดอะไรเลย พวกเขาเอาแต่เดินลงฝีเท้าอย่างหนักหน่วงและเป็นระเบียบใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
เมื่อรู้สึกถึงแรงกดดันที่ประทุเข้ามา จู้กว่างเต๋อและคนอื่น ๆ รู้สึกประหม่าเล็กน้อย พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกำอาวุธเอาไว้แน่น
พวกเขาอยู่ในขอบเขตควบแน่นลมปราณเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขาต้องมาเผชิญกับนักฆ่าที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณ พวกเขาจะไม่กังวลได้อย่างไร?
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดกับโม่หยูถัง “หลังจากวันนี้ ข้าจะให้เจ้าฝึกฝนพวกเขาอย่างเข้มข้น มิฉะนั้นการพาพวกเขาออกมาข้างนอกด้วยสภาพแบบนี้นี่มันช่างน่าอายจริง ๆ กับอีแค่สู้กับนักฆ่าที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณคนเดียวดันออกอาการสั่นเป็นลูกนก แบบนี้ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นผู้คุ้มกันของข้าหลิงตู้ฉิงได้ยังไง?”
โม่หยูถังพยักหน้าและพูดว่า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะฝึกพวกเขาให้เข้มแข็งกว่านี้!”
แม้ว่าเขาจะเป็นชายชราที่เส้นลมปราณและจุดตันเถียนถูกทำลาย แต่เขาก็ยังมีประสบการณ์และสายตาอันเฉียบคม ดังนั้นจึงไม่ยากที่จะชี้แนะให้กับคนเหล่านี้
เมื่อเห็นว่าเสื้อคลุมโลหิตเริ่มเข้ามาใกล้เข้ามา บรรดาผู้คุ้มกันและบ่าวรับใช้ของหลิงตู้ฉิงก็เตรียมพร้อมรับมือ แต่พวกเขาบางคนก็มีอาการประหม่า ทำให้โม่หยูถังไม่มีทางเลือกนอกจากจะพูดว่า “เก๋าหง เร่งโคจรพลังไปที่จุดตันเถียนของเจ้า จากนั้นไล่ไปยังแขนและตามไปที่แผ่นหลัง จากนั้นโคจรขึ้นไปส่วนบนของร่างกายจากขวาไปซ้าย และเพ่งสมาธิไปที่ดาบของเจ้า อย่าวอกแวกจากศัตรู!”
เก๋าหงกังวลเป็นอย่างมาก เพราะในขณะนี้นักฆ่าเสื้อคลุมโลหิตที่เป็นคู่ต่อสู้ของนางนั้นมีระดับสูงกว่านางถึงสองระดับ ยิ่งไปกว่านั้นพวกนักฆ่าเสื้อคลุมโลหิตเหล่านี้ขึ้นชื่อในเรื่องของความกล้าบ้าบิ่นพร้อมสู้ตายอยู่ทุกเมื่อ เมื่อนางต้องมาเจอกับคู่ต่อสู้เช่นนี้จึงไม่แปลกที่นางจะมีอาการหวั่นเกรง
ตอนนี้เมื่อนางได้ยินคำพูดของโม่หยูถัง นางก็ทำตามคำพูดของเขาทันที นางเริ่มโคจรพลังวิญญาณของนางและพุ่งเข้าไปหานักฆ่าที่เป็นเป้าหมายของนางทันที นางเคลื่อนไหวดาบในมือนางตามคำแนะนำของโม่หยูถัง
ในช่วงเวลาที่นางทำตามคำสั่งของโม่หยูถัง นางรู้สึกได้ถึงพลังทางวิญญาณทั้งหมดของนางที่พุ่งเข้าสู่ดาบยักษ์ของตัวเอง
แม้ว่านักฆ่าเสื้อคลุมโลหิตที่อยู่ข้างหน้านางจะได้ยินคำพูดของโม่หยูถัง แต่เขาก็ไม่สนใจและวาดดาบของเขาไปที่เก๋าหง
ระดับขั้นของเขาสูงกว่า ดาบของเขารุนแรงกว่าและความตั้งใจในการฆ่าของเขาก็เข้มข้นกว่า นักฆ่าผู้นั้นมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมากว่ายังไงการดวลนี้เขาต้องเป็นฝ่ายกุมชัยชนะอย่างแน่นอน
แต่ในความเป็นจริงกลับสวนทางความคิดของเขา เมื่อดาบของเขาสัมผัสกับดาบของเก๋าหง เขาก็ค้นพบว่าดาบของเก๋าหงนั้นได้ระเบิดพลังวิญญาณออกมาด้วยแรงมหาศาลกระแทกดาบของเขาให้กระเด็นออกไป
ในเวลาเดียวกัน คลื่นพลังดาบของเก๋าหงได้พุ่งต่อเข้ามาแยกร่างของเขาทันที
เก๋าหงมองไปยังดาบยักษ์ของตนเองด้วยความงุนงง นางสามารถระเบิดพลังปราณดาบได้? นี่มันไม่ใช่เทคนิคที่สามารถใช้ได้เฉพาะผู้ที่บรรลุวิถีแห่งดาบไปถึงขั้นปรมาจารย์แล้วหรอกหรือ?
ในขณะที่เก๋าหงยังคงอยู่ในอาการงุนงง โม่หยูถังก็เปลี่ยนไปให้คำชี้แนะแก่คนอื่นแล้ว หลังจากนั้นไม่นานนักฆ่าที่ถูกส่งมานอกเหนือจากคนที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณก็ถูกฆ่าตายทั้งหมด ส่วนนักฆ่าขอบเขตประสานทะเลปราณนั้นได้รับบาดเจ็บอย่างหนักแต่ยังสามารถเอาตัวรอดหนีไปได้
“นายท่าน คำชี้แนะของข้าเป็นอย่างไร?” โม่หยูถังยิ้มและหันไปถามหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่เลว แต่ยังเหลือนักฆ่าอีกคนหนึ่งที่ซ่อนตัวรอจังหวะสังหารข้าอยู่ใกล้ ๆ”
โม่หยูถังยิ้มอย่างขมขื่น “นายท่าน ในตอนนี้ข้าเป็นคนพิการไม่มีพลังวิญญาณ ข้าไม่สามารถรู้ตำแหน่งที่นักฆ่าซ่อนอยู่ได้”
“อยู่ทางซ้าย 2.3 ลี้ เหนือพื้น 15 ก้าว!” หลิงตู้ฉิงพูด
โม่หยูถังพูดกับไร้เงาทันทีว่า “บนซุ้มประตูหัวโค้งทางซ้าย ไป!”
ร่างกายของไร้เงาพุ่งเข้าหาซุ้มประตูทางซ้ายทันที ในเวลาเดียวกันก็มีเงาปรากฏขึ้นบนซุ้มประตูอนุสรณ์ แต่เงานั้นไม่ได้มีรังสีสังหาร ราวกับว่ามันต้องการที่จะวิ่งหนีไปทันทีที่มันถูกพบเห็น
หลังจากที่นักฆ่าหนีไปแล้วไร้เงาก็เดินกลับมาอย่างหดหู่