พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 350 ผู้สืบเชื้อสายจากเหล่าเทพ
เนื่องจากในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เมืองหยูหลันคงตกอยู่ในความวุ่นวาย หลิงตู้ฉิงจึงสั่งให้ทุกคนหยุดฝึกฝนวิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่งลงชั่วคราว
ยิ่งไปกว่านั้น เย่ชิงเฉิงยังต้องมุ่งเน้นไปที่การฝึก วิชาศักดิ์สิทธิ์มหาจันทรา อยู่สักพัก ส่วนหลิวเฟ่ยเฟ่ยเองก็ยังต้องบ่มเพาะร่างของนางให้กลายเป็นร่างหยินททิฬ และแม้แต่หลิงเทียนหยุนก็อยู่ในระหว่างการศึกษาความสามารถของสมบัติวิเศษ ‘มายาเที่ยงแท้’ ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่สามารถฝึกฝนวิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่งได้
มี่ไล ซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่มีสิ่งใหม่ ๆ ให้ต้องศึกษา นางจึงกลับไปฝึกทบทวน วิชาเทวะสี่ฤดูแปรเปลี่ยน ด้วยตัวเอง
ซึ่งหลังจากที่ได้เห็นหญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์ สาธิตให้เห็นถึงแนวทางของวิชาเทวะสี่ฤดูแปรเปลี่ยนมาก่อนหน้านี้แล้ว ทักษะของนางก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ส่วนคนอื่น ๆ นอกเหนือจากการคอยควบคุม ‘ค่ายกลกระบี่เหินเมฆา’ แล้ว เสี่ยวเยว่เฟิงยังคอยกระตุ้นเสี่ยวหลิงเฟิงให้ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง
ตอนนี้เสี่ยวหลิงเฟิงอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 และนางจำเป็นต้องใช้เวลาที่เหลืออีก 10 กว่าปีเพื่อยกระดับการบ่มเพาะของนางไปสู่ระดับ 12 จากนั้นนางถึงจะผ่านเงื่อนไขการเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับของหลิงตู้ฉิง เพื่อตามหาสิ่งที่สามารถช่วยให้นางบรรลุเข้าสู่ระดับ 13
แม้ว่าจะเหลือเวลาอีกกว่าทศวรรษ แต่มันก็นับว่าไม่ได้เยอะอะไรเลยสำหรับการบ่มเพาะจากระดับ 10 ไปสู่ระดับ 12
แต่โชคดีที่นางยังมีพี่สาวที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับสวรรค์สามัญ ซึ่งคอยให้คำชี้แนะแก่นาง ดังนั้นการบ่มเพาะของนางจึงเป็นไปอย่างไม่ช้าเกินไป
แน่นอนในขณะที่เสี่ยวเยว่เฟิงกำลังสอนเสี่ยวหลิงเฟิง นางก็ไม่ลืมที่จะแนะนำหยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียว
ส่วนทางด้านปิงยู่หลางและสีอี้เฉิงที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในเรือน ในช่วงเวลาที่ว่างเช่นนี้พวกเขาจึงเริ่มทำควาทสนิทสนมกับหานซ่งหยวนและหยูจิ้งเฉิง ซึ่งพวกเขาก็ยังคุยกันเกี่ยวกับการเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ
เนื่องจากหลังจากที่พวกเขาได้เข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับไปแล้ว พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับเหล่าอัจฉริยะจากทั่วทุกสารทิศเพื่อให้ได้มาซึ่งสมบัติวิเศษที่พวกเขาหมายปอง
เมื่อเทียบกับความเงียบสงบในเรือนบนยอดเขา สถานการณ์ภายในเมืองหยูหลันกลับค่อนข้างปั่นป่วน
ในเรือนแห่งหนึ่งที่อยู่ภายใต้การป้องกันของกำแพงพลังวิญญาณ มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังปรึกษากันอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ท่านลุง คนที่ขายสิทธิ์เข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับถูกพบแล้ว เขาอยู่ที่เรือนบนยอดเขาเหนือสระหยูหลัน!” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูด
“ในเมื่อพบพวกเขาแล้ว เจ้าจงส่งคนของเราไปพบกับพวกเขาและขอซื้อสิทธิ์เข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับมาให้ได้” ชายวัยกลางตอบกลับ
ชายหนุ่มแสดงสีหน้ากังวลและพูดว่า “เอ่อ…ท่านลุง หลังจากตรวจสอบข้าพบว่าพวกเขาเป็นคนจากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้เย่ชิงเฉิงที่มีฐานะเป็นถึงลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เองก็อยู่ที่นั่นอีกด้วย”
“สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์?” ชายวัยกลางคนหัวเราะ “ต่อให้พวกเขาจะเป็นคนสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์แล้วมันจะยังไง? สายเลือดของพวกเราสันเขาทรราช ต่างได้รับการอำนวยพรจากสวรรค์เช่นกัน ดังนั้นเราจะกลัวสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ไปทำไม? และยิ่งโดยเฉพาะที่ตอนนี้ปัญหาภายในของสำนักพวกเขายังไม่ได้รับการแก้ไขเลยด้วยซ้ำ เราไม่จำเป็นต้องไปเกรงกลัวอะไรกับพวกเขาเลย”
“นอกจากนี้พวกเราจะไปทำการแลกเปลี่ยนกับพวกเขาอย่างเป็นมิตร พวกเราไม่ได้จะไปปล้นพวกเขาสักหน่อยจริงไหม? เก๋อเอ๋อ เจ้าไม่ต้องกังวล เราจะต้องหาสิทธิ์เข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับให้เจ้าได้อย่างแน่นอน!”
“ในด้านพรสวรรค์เจ้าคือหนึ่งในอันดับต้น ๆ ของสันเขาทรราชของเรา แต่สายเลือดทรราชในกายของเจ้าไม่ได้เข้มข้นมากนัก ตามบันทึกของบรรพบุรุษเรามีเพียง สระโลหิต เท่านั้นที่สามารถเพิ่มความเข้มข้นของสายเลือดเจ้าได้ ดังนั้นเจ้าจำเป็นต้องเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับให้ได้!”
ชายหนุ่มถอนหายใจ “เฮ้อ…ถ้าเพียงแค่ข้าสามารถเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับได้ล่ะก็…”
“ไม่ต้องกังวล เราจะส่งคนไปเจรจากับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เดี๋ยวนี้ทันที” ชายวัยกลางคนปลอบโยนชายหนุ่ม จากนั้นเขาโบกมือถอนกำแพงวิญญาณออกและตะโกนเรียกผู้ติดตามผู้หนึ่งให้เข้ามาหา “เทียนเจียน จงไปที่สระหยูหลันและขอเข้าพบกับคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ บอกกับพวกเขาว่าเราต้องการซื้อสิทธิ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับหนึ่งที่!”
“รับทราบครับ!!” เทียนเจียนตอบกลับทันที
เมื่อเทียนเจียนมาถึงทางเข้าเรือนของหลิงตู้ฉิง เขาตะโกนขึ้นเสียงดังทันที “สันเขาทรราช เทียนเจียน ขอเข้าพบแม่นางเย่แห่งสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์”
“แซ่เทียน? ทำไมแซ่ของคนผู้นี้ถึงฟังดูแปลก ๆ จังสามี?” มี่ไลเอ่ยกับหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
หลังจากทบทวนวิชาเทวะสี่ฤดูแปรเปลี่ยนเสร็จ ในระหว่างเวลาว่าง ๆ นางก็มานั่งข้าง หลิงตู้ฉิง เฝ้าดูเขาหลอมโอสถเพื่อฆ่าเวลา
หลิงตู้ฉิงส่งยิ้มให้กับมี่ไล จากนั้นเขาจึงเริ่มอธิบายให้นางฟัง “เขาเป็นคนที่มาจากสันเขาทรราชและพวกคนที่อยู่ในสันเขาทรราชทุกคนต่างชอบโอ้อวดว่าพวกเขาเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเหล่าเทพที่อยู่บนสวรรค์ ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงใช้แซ่ว่า เทียน แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะชอบโอ้อวดมากเพียงใด แต่ความแข็งแกร่งของสายเลือดพวกเขานั้นคือของจริง หากเจ้าต้องต่อสู้กับพวกเขา เจ้าต้องระวังทักษะที่เกี่ยวกับสายเลือดของพวกเขาให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้ปลุกสายเลือดของตัวเองเรียบร้อยแล้ว พลังของพวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาหลายเท่า!”
มี่ไลพยักหน้า “แต่ด้วยวิชาของข้า ข้าไม่กลัวพวกเขาหรอก!”
เมื่อนางเข้าใจในอำนาจเกี่ยวกับวิชาเทวะสี่ฤดูแปรเปลี่ยนมากขึ้น นางก็มั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่านางจะอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12 แต่ความแข็งแกร่งของนางก็ก้าวข้ามขีดจำกัดของขอบเขตประสานทะเลปราณมานานแล้ว
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวเล็กน้อย “ยังไงก็อย่าได้ประมาท! สายเลือดของพวกเขาคือสายเลือดทรราช ความสามารถพิเศษของมันคือสามารถหลอมรวมกับสายเลือดอื่น ๆ ได้ และจะสามารถใช้งานทักษะของสายเลือดที่มันหลอมรวมเข้ามาได้ด้วยเช่นกัน”
“สามี ข้าจะระวัง” มี่ไลพยักหน้า
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อเย่ชิงเฉิงได้ยินว่ามีคนกำลังตามหานาง นางจึงบอกโม่เอ๋อให้เชิญเทียนเจียนเข้ามา
เมื่อได้ยินจุดประสงค์การมาของเทียนเจียน เย่ชิงเฉิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “ข้าต้องขอคิดดูก่อน โปรดรอสักครู่”
เมื่อพูดจบ เย่ชิงเฉิงจึงเดินไปตามหาหลิงตู้ฉิง และแจ้งกับเขาทันที “สามี สันเขาทรราชต้องการซื้อสิทธิ์ในการเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ตอนนี้เราควรทำยังไงดี? เทียนเจียนบอกว่าพวกเขายินดีที่จะจ่ายกระดูกศักดิ์สิทธิ์ และอาวุธระดับจักรพรรดิเป็นค่าตอบแทน”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เราไม่มีสิทธิ์เหลืออีกแล้ว”
“สามี ท่านคำนวณผิดรึเปล่า?” เย่ชิงเฉิงขมวดคิ้วและพูดว่า “ข้าคำนวณแล้วว่าเรายังเหลืออีก 1 สิทธิ์ ท่านและข้ามีกุญแจเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับทั้งหมด 3 ดอก หากไม่นับรวมทุกคนที่ไม่จำเป็นต้องใช้มัน เนื่องจากได้ฝึกวิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่งแล้ว เราจะเหลืออีก 1 สิทธิ์”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “งั้นข้าจะทวนให้เจ้าฟังอีกที 3 สิทธิ์ของกุญแจที่เป็นของเจ้าจะมอบให้กับ หานซ่งหยวน หยูจิ้งเฉิงและลูกของหนิงเฟิง ส่วนกุญแจอีก 2 ดอกที่อยู่กับข้า ดอกแรกข้าจะมอบสิทธิ์ให้กับสีอี้เฉิง ตวนจู้ และปิงยู่หลาง ส่วนดอกสุดท้ายก็จะเป็นสิทธิ์ของ ซือโถว หลิงเฟิง และสิทธิ์สุดท้ายนั้นจะเป็นของตัวข้าเอง ถึงแม้ว่าข้าจะสามารถใช้วิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่งเพื่อเข้าไปด้านในได้ แต่ถ้าหากข้าไม่เข้าไปด้านในด้วยตัวเองให้คนอื่น ๆ เห็น พวกเขาจะต้องสงสัยว่าข้าสามารถเข้าไปด้านในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับได้อย่างไร ดังนั้นด้วยเหตุผลนี้เราจึงไม่สามารถมอบสิทธิ์นี้ให้กับคนอื่นได้”
“แต่เจ้าสามารถลองถามคนอื่น ๆ ได้และดูว่ามีใครบ้างที่เต็มใจที่จะสละสิทธิ์ของตนเอง แต่ถ้าไม่มีใครเต็มใจสละสิทธิ์ เราก็ทำได้เพียงแต่ปฏิเสธคนของสันเขาทรราชไปเท่านั้น”
เย่ชิงเฉิงพยักหน้าเล็กน้อย นางเข้าใจความหมายของหลิงตู้ฉิง นางรู้ดีว่าพวกเขาไม่สามารถให้คนอื่นระแคะระคายเรื่องวิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่งได้ เพราะถ้าหากความลับนี้รั่วไหลออกไป พวกเขาจะต้องพบกับปัญหาที่ตามมามากมาย
“งั้นข้าจะไปถามศิษย์พี่ทั้งสองของข้าก่อนว่าพวกเขาเต็มใจสละสิทธิ์หรือไม่” เย่ชิงเฉิงพยักหน้า
“ไปบอกเฟิงด้วยว่าให้นางหาวิธีติดต่อหนิงเฟิงให้ได้ และให้นางแจ้งกับเขาว่าถ้าเขาไม่มาปรากฏตัวภายในครึ่งปี สิทธิ์ที่ข้าสัญญาไว้กับเขา ข้าจะขายมันให้สันเขาทรราช” หลิงตู้ฉิงสั่งขึ้น
“อืม” เย่ชิงเฉิงพยักหน้า