พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 405 ทำลายกำแพงแบ่งโลกอีกรอบ
หลิงตู้ฉิงและหลิงเทียนหยุนกลับไปที่ดาวเพลิงคงกระพันอีกครั้ง และการกลับมาของพวกเขายังเร็วกว่ากำหนด 2 ปีที่เคยบอกไว้กับหวงเซียะถึง 1 เดือน
หลิงตู้ฉิงได้สั้งให้หลิงเทียนหยุนรออยู่นอกดาว ส่วนตัวเขาเองได้เข้าไปหาหวงเซียะที่กำลังบ่มเพาะเพียงลำพัง ในเวลานี้แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของนางจะยังอยู่ที่ขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 14 เท่าเดิม แต่ความแข็งแกร่งของนางก็เพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามเท่าเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงมา นางก็ลุกขึ้นเดินไปหาเขาด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขและพูดกับหลิงตู้ฉิง “ในที่สุดท่านก็กลับมาหาข้า! ข้าไม่รู้จะขอบคุณท่านยังไง ข้ารู้สึกว่าการเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับในครั้งนี้ ข้าโชคดี ๆ มาก ๆ ที่ได้เจอท่านไม่เช่นนั้นข้าคงไม่สามารถประสบความสำเร็จเหนือกว่าเป้าหมายของข้าที่เข้ามาในตอนแรกได้แบบนี้”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “นี่มันยังไม่พอ ข้าจะพาเจ้าไปไปที่อื่นต่อเดี๋ยวนี้”
“เอ๊ะไปไหนเหรอ? มันยังมีสถานที่ที่ข้าจะได้รับประโยชน์นอกเหนือจากที่นี่อีกงั้นเหรอ พี่หลิง?” หวงเซียะจ้องมองไปที่หลิงตู้ฉิง และเปลี่ยนคำเรียกนำหน้าเขาโดยไม่รู้ตัว ในใจของนาง นางไม่ต้องการเรียกหลิงตู้ฉิงว่าผู้อาวุโสหรือบรรพบุรุษอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเขาเคยจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูง แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอดีต
และอีกอย่าง หลิงตู้ฉิงก็เคยบอกนางแล้วว่าเขาไม่ใช่บรรพบุรุษของภูเขาฟีนิกซ์ ซึ่งนางก็รู้สึกว่ามันช่างเหมาะเจาะและดีมาก ๆ ที่เขาไม่ใช่บรรพบุรุษของนาง!
หลิงตู้ฉิงมองไปที่หวงเซียะและพูดขึ้นว่า “สาวน้อย เจ้าอย่าได้มาตกหลุมรักข้า!”
เขาบ่มเพาะเต๋าแห่งอารมณ์ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเกิดความรู้สึกอะไรในใจของหวงเซียะ เขาจึงหยุดนางทันที
หวงเซียะอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง นางก้มศีรษะลงและกระซิบว่า “ใครรักพี่กัน ตกลงแล้วเราจะไปที่ไหนกันต่อ?”
นางแอบก่นด่าหลิงตู้ฉิงอยู่ในใจว่า เขาเป็นบ้าอะไรกัน? ทำไมต้องพูดตรงขนาดนั้นด้วย?
สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือหลิงตู้ฉิงจัดการกับเรื่องที่ ‘เป็นไปไม่ได้’ นี้โดยใช้วิธีที่เด็ดขาด
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวมองไปที่หวงเซียะ และพูดว่า “ต่อไปข้าจะถ่ายทอด ‘คาถาคลื่นหลอมละลาย’ ให้เจ้าใช้ทำลายกำแพงของโลกนี้แล้ว เราจะไปที่โลกขอบเขตนภากัน”
เขาต้องย้ำเตือนกับนางก่อน เพื่อให้นางไม่ถลำกับความรู้สึกที่มีต่อเขามากไปกว่านี้
“ขอบเขตนภา?” หวงเซียะพูดด้วยความประหลาดใจ “ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของพวกท่านยังอยู่ที่ขอบเขตประสานทะเลปราณอยู่เลย ถ้าพวกท่านไปที่โลกขอบเขตนภา พวกท่านจะตกอยู่ในอันตรายแน่นอน ทำไมพวกท่านถึงไม่หยุดบ่มเพาะกันที่นี่?!”
หลิงตู้ฉิงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ถ้าเจ้าไม่ต้องการประโยชน์จากการทำลายกำแพง ข้าก็จะทำเอง แต่ข้าบอกเจ้าไว้ก่อน ที่โลกขอบเขตนภานั้นมีสระโลหิตอยู่ ซึ่งมันสามารถเพิ่มความเข้มข้นของสายเลือดได้ ถ้าเจ้าไม่ต้องการได้รับมันเจ้าก็ไม่ต้องไป”
หวงเซียะพูดด้วยสีหน้าหนักใจ “ข้าอยากไปแต่คำถามสำคัญคือแล้วความปลอดภัยของพวกท่านล่ะ?”
หลิงเทียนหยุนเหลือบมองไปที่หวงเซียะ และพูดว่า “ท่านควรกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวเองมากกว่า!”
ไม่จำเป็นต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของพ่อของเขา แม้แต่ตัวเขาเองก็เอาตัวรอดได้เช่นกัน เนื่องจากการมีอยู่ของร่างเงา และความสามารถในการหลบหนีเข้าไปในเงามืด นอกจากนี้ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไป เพราะตอนนี้เขามีอาวุธประจำตัวแล้ว
หลิงตู้ฉิงไม่สนใจปฏิกิริยาของหวงเซียะ เขาบินขึ้นไปที่ขอบของกำแพงแบ่งโลกทันที
หลิงเทียนหยุนเองก็เพิกเฉยต่อหวงเซียะ และติดตามหลิงตู้ฉิงไป ซึ่งหวงเซียะก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบินตามทั้งสองคนไปเช่นกัน
นางรู้สึกกังวลเล็กน้อยเพราะไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่ทุกอย่างมันก็มีขีดจำกัดของมัน และในโลกถัดไป ผู้คนที่อยู่ในนั้นทั้งหมดคือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาอาจพบกับผู้เชี่ยวชาญระดับครึ่งสวรรค์อีกเป็นจำนวนมาก
ภายในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดคือผู้เชี่ยวชาญระดับครึ่งสวรรค์
เมื่อเป็นเช่นนี้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณแค่สองคน จะรับมือกับผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นได้อย่างไร?
ด้วยความกังวล นางเองก็ลืมคิดไปว่าหลิงตู้ฉิงสามารถใช้กฎในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับได้
อันที่จริงแล้วการที่หวงเซียะมีความรู้สึกเช่นนี้มันจะโทษนางก็ไม่ได้ เพราะตั้งแต่ที่นางได้มาเจอกับหลิงตู้ฉิง ชีวิตของนางก็เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก
ในตอนแรกที่นางเพิ่งเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ นางมีความมั่นใจว่านางสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ แล้วยิ่งบวกกับการที่นางเป็นบุคคลสำคัญของภูเขาฟีนิกซ์ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะในรอบหมื่นปี นางจึงไม่เคยเห็นหัวใครหน้าไหนมาก่อน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นางได้พบกับหลิงตู้ฉิง ความั่นใจทั้งหมดของนางก็ถูกพังทลาย นางถูกหลิงตู้ฉิงก่นด่าอยู่ตลอดเวลา นางถูกเย่ชิงเฉิงตีก้นและทำให้อับอายต่อหน้าผู้อื่น จากนั้นภายใต้แรงกดดันทั้งหลายนางจึงยอมเปลี่ยนชื่อ
แต่แล้วเมื่อนางเปลี่ยนชื่อ มันก็ดูเหมือนว่าการกระทำนั้นจะมีอิทธิพลอะไรบางอย่างกับตัวตนของนาง แถมหลังจากนั้นหลิงตู้ฉิงก็ปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี
ซึ่งหลังจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงไปมาดังกล่าว ในใจของนางก็อดไม่ได้ที่จะตราตรึงไปกับเงาของหลิงตู้ฉิง
ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะอัจฉริยะของภูเขาฟีนิกซ์ มีเพียงคนอย่างหลิงตู้ฉิงเท่านั้นที่คู่ควรกับนาง
ดังนั้นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดมันก็เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ อย่างไรก็ตามความในใจของนางก็ถูกหลิงตู้ฉิงมองทะลุในทันที ซึ่งมันทำให้นางรู้สึกอายและรำคาญใจ แต่ในเวลาเดียวกัน ถึงแม้นางจะถูกปฏิเสธแบบนั้น แทนที่นางจะล้มเลิกความคิด นางกลับยิ่งมุ่งมั่นมากขึ้น จนในตอนนี้นางจึงตัดสินใจแล้วว่านางจะแสดงความรู้สึกทุกอย่างของนางอย่างเปิดเผย!
แต่น่าเสียดายที่นางไม่รู้ว่า ไม่ว่าจะยังไงความสัมพันธ์ของนางกับหลิงตู้ฉิงมันก็ไม่มีวันที่จะเป็นไปได้ สาเหตุก็เพราะสถานะตัวตนของนางเอง
หลิงตู้ฉิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เมื่อเขารู้สึกได้ว่าอารมณ์ความรักของหวงเซียะมันยิ่งลึกซึ้งขึ้นมากเข้าไปใหญ่
ซึ่งมันย้อนให้เขานึกถึงคำสอนของถังชี่หยุน เมื่อตอนอยู่ที่เมืองฟีนิกซ์ ซึ่งนางเคยย้ำกับเขาหลายครั้งว่า เขาไม่ควรที่จะแตะต้องลูกสะใภ้ของตัวเองและเครือญาติคนอื่น ๆ ของเขาที่เป็นผู้หญิงด้วย แล้วมาตอนนี้ ยิ่งเมื่อเขานึกสถานะของหวงเซียะที่ซับซ้อนมากขึ้นยิ่งไปกว่าลูกสะใภ้ ดังนั้นเขาจึงมีความรู้สึกขัดแย้งในใจเป็นอย่างมาก
แถมเขายังไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของเขากับเด็กผู้หญิงที่มีความรู้สึกอันแรงกล้าขึ้นเรื่อย ๆ กับเขาได้อีกต่างหาก มิฉะนั้นเรื่องราวความลับของเขาหลายอย่างคงจะถูกเปิดออกไปก่อนเวลาอันควร
‘ต้องรีบไปยังโลกขอบเขตนภา จากนั้นหลังจากที่ชดเชยนางด้วยสระโลหิต แล้วข้าจะต้องรีบให้นางถอนตัวออกจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับไปทันที’ หลิงตู้ฉิงคิดอย่างเหนื่อยใจ
และแล้วพวกเขาทั้งสามก็มาถึงหน้ากำแพงแบ่งโลกอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันก็คือรอยต่อระหว่างโลกขอบเขตรวมแสงดาราและโลกขอบเขตนภา
หลิงตู้ฉิงชี้ไปที่กำแพงแบ่งโลกและพูดว่า “ข้าจะให้เวลาเจ้า 1 เดือน ถ้าพังกำแพงไม่ได้ใน 1 เดือนข้าจะจัดการเอง”
คำพูดของหลิงตู้ฉิงทำให้หวงเซียะกระวนกระวายใจทันที นางจึงรีบตอบกลับว่า “ข้าจะตั้งฝึกฝนและจะทำลายกำแพงให้ได้ภายใน 1 เดือน!”
เนื่องจากเป็นคำขอของหลิงตู้ฉิง นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากทำลายกำแพงแล้ว มันยังให้ประโยชน์ที่นางต้องการอีกต่างหาก
จากนั้นหลิงตู้ฉิงและหลิงเทียนหยุนก็เริ่มรอคอย
ครึ่งเดือนต่อมา หวงเซียะลุกขึ้นยืนพร้อมกับโคจรเปลวเพลิงหลายชั้นให้รวมตัวอยู่ในมือของนาง ซึ่งมันดูคล้ายกับละลอกคลื่นที่กระเพื่อมไม่หยุด
และเมื่อนางโคจรคลื่นเพลิงไปถึงจุดสูงสุด นางก็ปล่อยมันไปที่กำแพงทันที
ภายใต้การระเบิดของคลื่นเพลิง กำแพงก็แตกออกและจากนั้นก็มีรอยฉีกขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนกำแพงแบ่งโลก ในขณะเดียวกันอักขระประหลาดก็พุ่งเข้าไปหลอมรวมกับห้วงจิตสำนึกของหวงเซียะ
“ข้าเปิดมันได้แล้ว!” หวงเซียะหันกลับไปหาหลิงตู้ฉิงและตะโกนขึ้นอย่างมีความสุข
อย่างไรก็ตามเมื่อนางหันกลับไปคนที่อยู่ข้างหลังนางก็หายไปแล้ว
นางรู้สึกได้ว่ามีคนบินผ่านนางไปอย่างรวดเร็ว นางจึงรีบหันกลับไปดูและนางก็พบว่าคนที่บินผ่านนางไปก็คือ หลิงตู้ฉิงและหลิงเทียนหยุนที่ได้เข้าสู่โลกขอบเขตนภาไปแล้ว
“รอข้าด้วย!” หวงเซียะกรีดร้องขึ้นทันทีและไล่ตามเขาไป