พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 415 สิ่งที่สำนักเบญจธาตุไม่สามารถรับไหว
บทที่ 415 สิ่งที่สำนักเบญจธาตุไม่สามารถรับไหว
ลั่วหยุนเชื่อว่าศิษย์ของเขาเองจะไม่โกหกเขาแน่นอน ซึ่งเขาเชื่อว่าหลิงตู้ฉิงได้เข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม เขาเองก็ไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงเข้าไปได้อย่างไรหรือออกมาได้อย่างไร?
เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับนั้นเป็นสถานที่อันตรายมาโดยตลอด และหากไม่มีกุญแจ เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับก็ไม่สามารถเข้าไปได้ แต่ทำไมมีคนฝ่าฝืนกฎนี้ได้?
พร้อมกับสีหน้าที่สงสัย ลั่วหยุนก็ได้เดินตามเสี่ยวเยว่เฟิงเข้าไปในค่ายกลกระบี่เหินเมฆา และเมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงกับเย่ชิงเฉิงอยู่ที่นั่น เขาก็ถอนหายใจและพูดว่า “ท่านหลิง ท่านนี่น่าอัศจรรย์ดุงดั่งเทพเจ้าจริง ๆ!”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
“ข้าอยากล่ะอยากจะรู้จริง ๆ ว่าท่านหลิงและคนของท่านทำได้อย่างไร” ลั่วหยุนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “เรื่องนั้นมันไม่สำคัญหรอก เหตุผลที่ข้าอยากพบเจ้าก็คือ ข้าอยากจะบอกกับเจ้าว่าเรากำลังจะกลับไปที่ทะเลชางหมาง และเมื่อไหร่ที่ลูกชายของข้าออกมา เจ้าจงปกป้องเขาให้ดี ซึ่งในเวลานั้นเจ้าจะยิ่งได้รับผลประโยชน์มากขึ้นแน่นอน”
ลั่วหยุนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงแม้ว่าท่านหลิงจะไม่เรียกหาข้า แต่ข้าเองก็คงต้องมาหาท่านอยู่ดี”
อย่างที่หลิงตู้ฉิงต้องการ ลั่วหยุนในตอนนี้ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องที่หลิงตู้ฉิงและคนของเขาเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับได้ยังไงอีกต่อไป เพราะเขาเองก็ทราบดีอยู่แล้วว่าหลิงตู้ฉิงจะไม่บอกเขา
ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องให้ความสนใจในตอนนี้ก็คือการตัดสินใจเมื่อนานมาแล้ว
“ท่านหลิงเมื่อนานมาแล้ว ท่านได้พูดถึงเรื่องที่ท่านจะถ่ายทอดวิธีการบ่มเพาะให้ข้าเพื่อแลกกับการที่ข้าต้องดูแลลายของท่าเป็น 2,000 ปี ข้าอยากรู้ว่าตอนนี้ข้อตกลงนั้นท่านยังไม่เปลี่ยนใจใช่ไหม?” ลั่วหยุนยิ้มและถามขึ้นด้วยสีหน้าคาดหวัง
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ลั่วหยุน จากนั้นเขาก็เริ่มเขียนสัญญาแห่งสวรรค์และโลกขึ้นบนกลางอากาศ
และหลังจากที่ลั่วหยุนลงชื่อในสัญญาแล้วหลิงตู้ฉิงก็พูดขึ้นว่า “เนื่องจากว่าเจ้าเหลือเพียงดวงวิญญาณเท่านั้น เจ้าจึงไม่สามารถบ่มเพาะแบบคนธรรมดาได้ ดังนั้นข้าจะถ่ายทอดวิธีการบ่มเพาะของวิญญาณสงครามให้กับเจ้า แต่ก่อนหน้าที่เจ้าจะฝึกมันได้ เจ้าต้องกลายเป็นวิญญาณสงครามให้ได้ก่อน ซึ่งการที่เจ้าจะพัฒนาดวงวิญญาณตัวเองให้กลายเป็นวิญญาณสงครามได้นั้น เจ้าต้องไปที่สนามรบและดูดซับเจตจำนงแห่งการสังหารให้ได้มากที่สุดและจากนั้นดวงวิญญาณของเจ้าจะค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเอง”
“แต่เจ้าจงอย่าลืมว่าภายในสนามรบยังมีกลิ่นอายแห่งความตาย ความเศร้าโศกและความอาฆาต ซึ่งกลิ่นอายเหล่านี้เจ้าต้องไม่ดูดซับมันเข้าไปเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นเจ้าจะกลายเป็นเช่นเดียวกับวิญญาณปีศาจ”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็ถ่ายทอดมอบวิธีการบ่มเพาะพลังสำหรับวิญญาณสงครามให้กับลั่วหยุน ซึ่งเขาเองเมื่อได้รับมันมาแล้วและลองคิดถึงวิธีการกลายเป็นวิญญาณสงครามแล้วก็ถอนหายใจ จากนั้นเขาเอ่ยขอบคุณกับหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าลำบากใจ
หลิงตู้ฉิงพูดต่อว่า “ลูกชายของข้าจะต้องออกมาทำสงครามเพื่อชิงอาณาเขตนภาในไม่ช้านี้แน่นอน ดังนั้นเมื่อเขาออกมาจากทะเลชางหมาง เจ้าก็จงไปหาเขาและเมื่อไหร่ที่สงครามเริ่มปะทุ ในเวลานั้นเจ้าเองก็จะไม่กังวลเรื่องที่จะพัฒนาวิญญาณตัวเองอีกต่อไป เจ้าสามารถเข้าร่วมรบและดูดซับเจตจำนงแห่งการสังหารไปพร้อม ๆ กับที่เจ้าก็สามารถทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ให้กับลูกของข้าได้ไปด้วย ซึ่งมันเป็นเหมือนประโยชน์สองต่อสำหรับเจ้าเลยทีเดียว”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านหลิง!” ลั่วหยุนพยักหน้า “นับจากนี้ ข้าจะคอยจับตาดูทางออกของทะเลชางหมางทั้งหมด วันใดที่ลูกชายของท่านออกมาจะเป็นวันที่ข้าไปตามหาเขา ส่วนตอนนี้ข้าคงต้องขอตัวนำคนของข้ากลับไปที่เมืองหยูหลันก่อน ข้าขอตัวลา!”
“ไปเถอะ!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า
ทันทีที่ลั่วหยุนจากไป สีเป่ยเซียะก็มาขอเข้าพบทันที
จากนั้นเมื่อสีเป่ยเซียะเข้ามาในค่ายกลกระบี่เหินเมฆา นางก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “พวกเจ้าได้เข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับจริง ๆ งั้นเหรอ?”
“แล้วมันมีปัญหาอะไร?” หลิงตู้ฉิงถาม
สีเป่ยเซียะหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็พูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าจริงจัง “สำนักเบญจธาตุของเราต้องการแลกเปลี่ยนวิธีนี้ของเจ้า ไม่ว่ามันจะราคาเท่าไหร่เราจะตกลงทั้งหมด!”
สีเป่ยเซียะเข้าใจอย่างชัดเจนว่าหากนางได้วิธีนี้มาจากหลิงตู้ฉิง มันจะหมายความว่าทุกครั้งที่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเปิดขึ้น มันจะหมายถึงว่าเวลานั้นเป็นช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวของสำนักนาง ซึ่งสิ่งนี้มันสำคัญมากสำหรับสำนักของนาง
หลิงตู้ฉิงเย้ยหยัน “ต่อให้เจ้าจะใช้สำนักของเจ้ามาแลกมันก็ไม่เพียงพอหรอก นอกจากนี้แม้ว่าข้าจะมอบวิธีนี้ให้กับสำนักเบญจธาตุของเจ้า แต่สำนักเบญจธาตุของเจ้าก็ไม่มีทางที่จะแบกรับผลที่ตามมาได้แน่นอน”
สีเป่ยเซียะจ้องไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาไม่ยินยอม เนื่องจากความแข็งแกร่งของสำนักเบญจธาตุของนางนั้นนับได้ว่าแข็งแกร่งสุดยอด ซึ่งมันถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดสำนักไม่กี่แห่งที่มีอยู่บนโลกใบนี้
หลิงตู้ฉิงเย้ยหยัน “เจ้าไม่เชื่อข้าเหรอ? ถ้าไม่เชื่อข้า เจ้าก็จงไปตามบรรพบุรุษของเจ้ามาหาข้า ซึ่งข้าจะให้วิธีนี้กับสำนักเบญจธาตุของเจ้าโดยไม่คิดราคาแม้แต่เหรียญทองเดียว แล้วจากนั้นเราลองมาเดิมพันกันดูก็ได้ว่าสำนักเบญจธาตุของเจ้าจะต้องถูกทำลายลงในเวลาไม่เกิน 500 ปีแน่นอน เจ้าต้องการเดิมพันกับข้าไหม? ส่วนราคานั้นก็คือชีวิตของผู้คนนับไม่ถ้วนในสำนักเบญจธาตุของเจ้าเองนั่นแหละ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีเป่ยเซียะอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น จากนั้นนางจึงนิ่งเงียบไปสักพักและไม่พูดอะไร
หลิงตู้ฉิงพูดต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าอย่าได้โลภนักเลย! สำนักเบญจธาตุของเจ้าตอนนี้ก็นับได้ว่าอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว ดังนั้นจงอย่าถือผลประโยชน์ทั้งหมดไว้ในมือแต่เพียงผู้เดียวแบบนี้ ไม่เช่นนั้นสำนักของเจ้าคงจะต้องเผชิญกับหายนะในไม่ช้าก็เร็ว เอาล่ะหากเจ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็จงออกไปได้!”
สีเป่ยเซียะพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็หันหลังกลับและเดินออกจากค่ายกลกระบี่เหินเมฆา
แต่ก่อนที่นางจะเดินพ้นออกไป จู่ ๆ นางก็หยุดและหันมาถามว่า “ข้าได้ยินมาจากน้องชายของข้าว่าเจ้าต้องการ หยดน้ำวิญญาณบริสุทธิ์ กับ ไม้มรกตศักดิ์สิทธิ์?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้องข้าต้องการพวกมัน”
ถึงแม้ว่าเขาจะหาพวกมันเจอในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงด้วยก็ตาม แต่เขาก็ยังเก็บพวกมันมาน้อยเกินไป เนื่องจากขนาดพื้นที่ของหม้อเอกภพนั้นไม่ได้ใหญ่อะไรมากนัก
ถ้าหากเขามีโอกาสได้รับหยดน้ำวิญญาณบริสุทธิ์และไม้มรกตศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้น เขาก็ยินดีที่จะจ่ายเพื่อได้ครอบครองพวกมันเพิ่ม เนื่องจากว่าสมาชิกครอบครัวของเขาบางคนต้องการพวกมัน
สีเป่ยเซียะพยักหน้า “ข้ามีหยดน้ำวิญญาณบริสุทธิ์และไม้มรกตศักดิ์สิทธิ์อยู่กับตัว แต่ข้าไม่ต้องการขายมันให้กับเจ้า ข้าต้องการที่จะมอบพวกมันให้กับเจ้าเพื่อเป็นการผูกสัมพันธ์กับเจ้าและแน่นอนว่าถ้าหากมีวันไหนที่ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า และด้วยความสัมพันธ์ที่ดีของเราเจ้าก็ต้องช่วยข้าด้วยจริงไหม?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ไม่มีปัญหา!”
จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็ฉุกคิดได้ถึงเรื่องที่หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์ได้เคยบอกกับเขาว่าให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงอีกสัก 2-3 คน เพื่อประโยชน์ของตัวเขาเอง หลิงตู้ฉิงจึงยิ้มและพูดว่า “อันที่จริงถ้าเจ้าต้องการ ข้ายินดีให้เจ้ามาเป็นภรรยาของข้า”
สีเป่ยเซียะส่งหยดน้ำวิญญาณบริสุทธิ์และไม้มรกตศักดิ์สิทธิ์ไปให้กับหลิงตู้ฉิง จากนั้นนางจ้องเข้าไปในดวงตาของหลิงตู้ฉิง และพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคงจะเป็นคู่ครองที่ยอดเยี่ยม แต่ตัวข้านั้นได้บ่มเพาะมาคนเดียวเป็นเวลานานกว่าพันปีแล้ว ซึ่งข้าเองก็ได้คุ้นเคยกับการอยู่คนเดียวมาตลอดเวลา ดังนั้นข้าจึงไม่มีความคิดที่จะหาคู่ครองเหมือนหญิงสาวผู้อื่นหรอก ส่วนเรื่องเกี่ยวกับเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะเตือนหลานชายของข้าให้เขาไม่พูดถึงมันอีกต่อไป แต่สำหรับคนอื่น ๆ ที่เคยเห็นเจ้าด้วยนั้นมันคงไม่ใช่สิ่งที่ข้าควบคุมได้”
หลังจากพูดจบนางก็พยักหน้าและจากไป
จากนั้นเมื่อสีเป่ยเซียะได้ออกมาข้างนอก และพบกับสีอี้เฉิง นางจึงเอ่ยกับเขาทันทีว่า “เจ้าจงลืมเรื่องที่เจ้าได้พบกับหลิงตู้ฉิงในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับไปให้หมดและอย่าได้บอกใครรวมไปถึงพ่อของเจ้าด้วย เรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าเจ้าหลุดปากเอ่ยมันออกไปเราอาจจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ก็เป็นได้”
สีอี้เฉิงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมและไม่ได้พูดอะไร
ในเวลานี้หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์มองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างมีความสุข และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นไงบ้างล่ะความรู้สึกที่ถูกปฏิเสธ? สนุกไหม? ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าอยากจะบอกเจ้าว่า นี่แหละมันคือกรรม! มันคือกรรมของเจ้า! เมื่อชีวิตก่อนหน้านี้เจ้าปฏิเสธผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน แต่ในชีวิตปัจจุบันของเจ้า ในที่สุดเจ้าก็ถูกปฏิเสธบ้างแล้ว! หากใครรู้เข้าว่าเจ้าถูกคนปฏิเสธจริง ๆ มันก็คงจะเป็นเรื่องตลกที่เอาไปล้อกันได้เป็นแสนปีเลยทีเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า!”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “เจ้าดูมีความสุขดีจริง ๆ นะ”
“แน่นอน! ข้ามีความสุขแน่นอน!” หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์พูดอย่างห้วน ๆ
เมื่อเห็นอาการของนางเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก