พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 435 เจ้าต้องมาลากรถม้าให้ข้า!
เมื่อหลิงตู้ฉิงเดินออกจากรถม้า คนอื่น ๆ ก็ทำตาม
ในบรรดาคนกลุ่มใหญ่ที่เดินตามหลิงตู้ฉิงออกมา มีผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญเพียง 2 คนซึ่งก็คือ เสี่ยวเยว่เฟิงและโม่หยูถัง เท่านั้นส่วนคนอื่น ๆ ต่างก็อยู่ในขอบเขตนภาและขอบเขตรวมแสงดารา
หลงเฉินและคนอื่น ๆ ก็ประหลาดใจมากเมื่อเห็นคนกลุ่มนี้พลางคิดในใจ ‘คนพวกนี้คือเป้าหมายของเขาจริง ๆ งั้นเหรอ?’
เขาหันกลับไปและถามจางหมิง “ใช่คนพวกนี้รึเปล่า?”
“ใช่! เป็นพวกมัน! เป็นพวกมันทั้งหมด!” จางหมิงพยักหน้า
เขารู้จักหลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ อยู่แล้ว แถมเขาเองก็เป็นผู้ให้ข้อมูลของอาณาจักรจันทรากับอาณาจักรหลงซานด้วยตัวเอง แล้วเขาจะดูพลาดได้อย่างไร?
ครั้งล่าสุดที่เขามายังอาณาจักรจันทราก็ตั้งแต่ตอนที่เขาตามหยูเฉิงฮุยมาที่นี่ ซึ่งเขาก็เกือบพลาดถูกจับตัวได้ แต่ในตอนนั้นเขายังโชคดีที่หลิงว่านถิง ผู้น่าสงสารยังคงมีใจให้กับหยูเฉิงฮุย เขาจึงรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
ตอนนี้ที่จางหมิงได้มาถึงอาณาจักรจันทราอีกครั้ง ครั้งนี้จางหมิงเต็มไปด้วยความมั่นใจ เพราะเขาเชื่อว่าด้วยผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญจำนวนมากขนาดนี้ พวกเขาจะสามารถทำลายล้างตระกูลของหลิงตู้ฉิงได้อย่างแน่นอน
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ใช่แล้ว พวกข้าทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้วพวกเจ้าน่าจะพอใจใช่ไหม?”
หลงเฉินมองไปที่หลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ และถามว่า “จักรพรรดิของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงยี่เทียนก็ก้าวออกมาและถามขึ้น “ข้าอยู่นี่ เจ้ามีอะไร?”
หลงเฉินยิ้มออกมา “ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงเห็นสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างชัดเจนแล้ว หากเจ้าฉลาดเจ้าก็ควรจะรู้ว่าอาณาจักรจันทราของเจ้าไม่มีโอกาสรอดแน่นอน ดังนั้นถ้าเจ้าไม่อยากตายเจ้าก็จงมอบสมบัติมิติและบอกความลับของทะเลชางหมางรวมถึงมอบผู้หญิงสองคนนั้นให้กับข้าแต่โดยดี!”
หลิงยี่เทียนหัวเราะและพูดว่า “พวกศัตรูของข้าหลายคนก็เคยพูดแบบนี้ แต่สุดท้ายพวกมันทั้งหมดถ้าไม่ตายก็ตกอยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของอาณาจักรจันทราของข้า ซึ่งอาณาจักรหลงซานของเจ้าเองเดี๋ยวก็จะมีชะตากรรมไม่ต่างอะไรจากไอ้พวกศัตรูก่อนหน้านี้ของข้าเช่นกัน ส่วนสำหรับเจ้า ถ้าเจ้าอยากรอดชีวิต เจ้าก็จงมอบจักรพรรดิสุนัขของพวกเจ้าและไอ้สารเลวที่เรียกว่าหยูเฉิงฮุยมาให้ข้าโดยเร็วที่สุด!”
ในขณะที่พวกเขากำลังต่อล้อต่อเถียงกัน ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญทั้ง 70 คน ที่หลงเฉินเป็นผู้พามาก็ได้ล้อมกรอบกลุ่มของหลิงตู้ฉิงไว้หมดทุกทิศทางแล้ว
แต่ครอบครัวของหลิงตู้ฉิงกลับเมินเฉยราวกับว่ากลุ่มคนพวกนี้ไม่มีค่าอะไรให้ใส่ใจ
“เจ้าหมายความว่าเจ้าต้องการขัดขืนจนถึงที่สุดเลยงั้นสิใช่ไหม?” หลงเฉินถามขึ้น
ก่อนที่หลิงยี่เทียนจะพูดอะไร หลิงตู้ฉิงยิ้มและถามว่า “เจ้าคือคนของเผ่ามังกรใช่ไหม?”
หลงเฉินรู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง เขามองไปที่หลิงตู้ฉิงและพูดว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าคือเผ่ามังกร เช่นนั้นก็จงรีบยอมจำนนซะตั้งแต่ตอนนี้ดี ๆ พูดตามตรงข้าเองก็ขี้เกียจจะเปลืองแรงลงมือกับพวกเจ้าเหมือนกัน”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดีจริง ๆ ที่เจ้ามาจากเผ่ามังกร พวกเจ้าเผ่ามังกรนับได้ว่ามีความแข็งแกร่งพอใช้ได้เหมาะที่จะลากรถม้าให้ข้านับจากนี้ไป!”
แม้ว่าความเร็วของกงหนิวจะรวดเร็ว แต่เขาก็สามารถฝึกฝนได้ถึงขอบเขตนภาระดับ 10 เท่านั้น แม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะมีวิธีการฝึกกงหนิวแต่ราคาที่เขาต้องจ่ายมันก็สูงเกินไป
ยิ่งไปกว่านั้นจุดเริ่มต้นที่กงหนิวต้องมาลากรถม้านั้นก็เพราะเขาเคยทำผิดเอาไว้จึงต้องลากรถม้าเป็นการชดใช้ ดังนั้นด้วยความสัมพันธ์เช่นนี้มันจึงไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่หลิงตู้ฉิงต้องทุ่มเทอะไรให้มันมากมายเพื่อเลี้ยงดูเขา
แต่ในเมื่อตอนนี้กลับมีมังกรระดับสวรรค์สามัญมาปรากฏตัวที่นี่ มันจึงกลายเป็นโอกาสเหมาะพอดีของหลิงตู้ฉิงที่จะเปลี่ยนสัตว์วิเศษตัวใหม่ให้มาลากรถม้าให้เขา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของหลงเฉินมืดลงทันที เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดูเหมือนว่าเจ้าอยากตายมากสินะ?”
กงหนิวที่ตอนนี้อยู่ในร่างกระทิงปีศาจอเวจีมองไปที่หลงเฉินด้วยสีหน้าซับซ้อน
เขาเคยเป็นคนหยิ่งผยอง แต่ก็ลงเอยด้วยการลากรถมาหลายสิบปี ซึ่งมันกลับกลายเป็นว่าการได้มาทำหน้าที่ลากรถม้านี้เขากลับได้ผลประโยชน์มาอย่างมหาศาล หากเขาต้องเลือกอีกครั้งเขาก็เต็มใจที่จะลากรถม้า
แต่น่าเสียดายที่ศักยภาพของเขาตอนนี้มันได้มาถึงทางตันเรียบร้อย และเขาเองก็ไม่สามารถทะลวงระดับขึ้นไปสูงกว่านี้ได้อีกต่อไป ซึ่งมันทำให้เขารู้เสียใจอยู่ลึก ๆ
แต่เมื่อเขาลองมองย้อนถึงความโชคดีที่การทำงานหนักมาตลอดหลายสิบปีทำให้หลานชายของเขามีโอกาสได้ผงาดขึ้นมา เขาจึงรู้สึกว่ามันคุ้มค่า
ส่วนในอนาคตต่อไปนี้ผู้ที่จะได้รับหน้าที่แทนเขาในงานชักลากดูเหมือนจะเป็นมังกรตัวนี้แทนแล้วแน่นอน
แม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เปะปะของกงหนิว แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก เขามองไปที่หลงเฉิน และพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้ข้าไม่สามารถหาใครมาแทนที่ดีกว่าเจ้าได้ ข้าก็คงไม่ต้องการใครสักคนเช่นเจ้า อย่างไรก็ตามเนื่องจากข้าได้พบเจ้าแล้ว ข้าก็จะเอาเจ้ามาลากรถม้าให้ข้าไปก่อนก็แล้วกัน!”
“ลุงสามช่วยจับเขามาให้ข้าที อ๋อ! จับตัวชายผู้นั้นที่เรียกตัวเองว่าจางหมิงมาให้ข้าด้วยเช่นกัน มันคือคนที่มากับหยูเฉิงฮุยครั้งสุดท้ายใช่ไหม? ข้าต้องการเห็นว่าหยูเฉิงฮุยมันไปหลบซ่อนที่ไหน นอกจากนั้นเฟ่ยเอ๋อ เทียนหยุน พวกเจ้าจงร่วมมือกันและจงใช้เหรียญตราผนึกสวรรค์เพื่อจัดการคนที่เหลือให้เสร็จโดยเร็ว”
เมื่อได้ยินคำสั่ง หลิงฉุยฟงก็เปิดใช้งานค่ายกลสัตว์เทวะทันที และกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดตัวขนาดเท่ามนุษย์ จากนั้นก็พุ่งไปที่จางหมิง ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
จางหมิงที่เพิ่งเข้าสู่ระดับสวรรค์สามัญเมื่อไม่นานมานี้ เขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงฉุยฟงได้อย่างไร?
หลิงฉุยฟงที่ไปถึงด้านข้างของจางหมิงก็คว้าตัวเขาเอาไว้ และส่งจางหมิงหายเข้าไปในค่ายกลในร่างกายของเขา จากนั้นหลิงฉุยฟงก็พุ่งไปที่หลงเฉินเป็นอันดับต่อมา
หลงเฉินที่เห็นอยู่เต็มตาว่าจางหมิงถูกจับไปอย่างง่ายดายโดยสัตว์ประหลาดรูปร่างพิสดารตัวนี้เขาก็ตกใจ และรีบหยิบสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ขึ้นมาและเปิดใช้งานทักษะอาณาเขตสวรรค์ของเขาปกคลุมบริเวณรอบกายของเขาทันที ส่งผลให้รอบกายของเขาตอนนี้มีมวลน้ำถูกสร้างขึ้นเป็นชั้น ๆ เป็นเหมือนกำแพงปกป้องเขารอบทุกทิศทาง
เมื่อเห็นทักษะอาณาเขตสวรรค์ของหลงเฉินเช่นนี้ หลิงฉุยฟงที่อยู่ในร่างรวมของสัตว์เทวะทั้งห้าก็ขยายร่างใหญ่ขึ้น จากนั้นเขาก็แยกสัตว์เทวะทั้งห้าออกจากกัน และสั่งให้สัตว์เทวะทั้งห้าแยกกันโจมตีโดยให้ตุ่นปีศาจอเวจีปล่อยหมอกพิษไหลเข้าสู่อาณาเขตสวรรค์ของหลงเฉิน ให้หมอกแพร่กระจายเข้าไปด้านในอาณาเขตสวรรค์เพื่อทำให้ร่างกายของหลงเฉินติดเชื้อ จากนั้นสายฟ้าจำนวนนับร้อยสายจากเต่าอัสนีทมิฬก็พุ่งเข้าโจมตีอาณาเขตสวรรค์อีกแรงจนทำให้มันแตกกระจุยไปจนไม่เหลือชิ้นดี และด้วยการโจมตีเพียงแค่สองครั้งแค่นี้ หลิงเฉินก็หมดสภาพจะสู้ต่อ
จากนั้นเขาถูกกุมตัวโดยหลิงฉุยฟง และถูกขังไว้ในค่ายกลห้าสัตว์เทวะ
การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็วมากจนกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญที่หลงเฉินพามานั้นไม่ทันได้ตอบโต้อะไรเลยแม้แต่น้อย
“พี่ใหญ่หลง…” พี่น้องของหลงเฉินตกใจ และรีบพยายามพุ่งเข้ามาช่วยเขา
“ผู้บัญชาการหลง!” ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์คนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจเช่นกัน และรีบพุ่งเข้ามาที่หลิงฉุยฟงอย่างรวดเร็วเพื่อนำตัวผู้นำทัพของพวกเขากลับมา
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้มาถึงตัวของหลิงฉุยฟง เหลียงเฟ่ยเอ๋อก็เคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน
เหลียงเฟ่ยเอ๋อรู้ว่าที่หลิงตู้ฉิงสั่งนาง นั้นหมายความว่าเขาต้องการให้นางใช้เหรียญตราผนึกสวรรค์จัดการกับพวกคนฝั่งตรงข้าม
นางจึงหยิบเหรียญตราผนึกสวรรค์ของนางออกมาและบินพุ่งไปหากลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่มากับหลงเฉินทันที จากนั้นนางจึงโคจรพลังวิญญาณส่งเข้าไปในเหรียญตราผนึกสวรรค์ ส่งผลให้รอบกายของนางมีโดมโปร่งแสงที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่ากางขยายออกกินพื้นที่รัศมี 100 เมตร ซึ่งมันทำให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญของหลงซานถูกผนึกระดับการบ่มเพาะลงมาเหลือระดับการบ่มเพาะเดียวกับนางทันที นั่นก็คือขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 1 !
ทางด้านของบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่มากับหลงเฉิน เมื่อพวกเขารู้สึกได้ว่าระดับการบ่มเพาะของพวกเขาถูกผนึก พวกเขาก็ยังคงใจเย็นเนื่องจากว่าพวกเขารู้อยู่แล้วว่าทางฝั่งของอาณาจักรจันทรามีสมบัติเช่นนี้อยู่ในครอบครอง
ในความคิดพวกเขานั้นคิดอย่างรวดเร็วว่า พวกเขาที่มีจำนวนถึง 70 คน ถ้าหากพวกเขาเข้าไปรุมเหลียงเฟ่ยเอ๋อพร้อม ๆ กันอย่างรวดเร็ว และแย่งชิงเหรียญตราลึกลับนั่นมาได้ทุกอย่างก็จะกลับมาอยู่ในความควบคุมของพวกเขาอีกรอบแน่นอน และจากนั้นพวกเขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังวางแผนคิดเช่นนี้อยู่ หลายคนในพวกเขาจู่ ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงอย่างกระทันหันและพบว่าตามร่างกายจุดสำคัญของพวกเขามีรอยแผลคล้ายถูกแทงจนเป็นแผลฉกรรจ์อย่างเป็นปริศนา!
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเช่นนี้ พวกเขาทั้งหมดก็เริ่มสติหลุดและจากตอนแรกที่กำลังจะหยิบอาวุธวิเศษของตัวเองขึ้นมาต่อสู้ ตอนนี้พวกเขากลับหยิบโอสถรักษาชนิดต่าง ๆ ขึ้นมาแทนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสของตัวเอง
เหลียงเฟ่ยเอ๋อที่เห็นว่าพวกผู้เชี่ยวชาญรอบ ๆ กายนางได้รับบาดเจ็บสาหัสไปเรียบร้อยแล้ว นางก็ถอนอำนาจของเหรียญตราผนึกสวรรค์ออกและพุ่งไปยังกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เนื่องจากยังมีบางส่วนที่เมื่อครู่อยู่ห่างจากระยะอำนาจของเหรียญตราผนึกสวรรค์ของนาง
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญที่เห็นเช่นนี้พวกเขารู้สึกตกตะลึงปนหวาดกลัวจนวิญญาณของพวกเขาแทบจะออกจากร่างทันที และรีบพุ่งหนีกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง จนกลายเป็นภาพอันแปลกประหลาดที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราเป็นฝ่ายไล่ล่ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์!
ภายใต้การไล่ล่าของเหลียงเฟ่ยเอ๋อ ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญที่มากับหลงเฉินก็ได้รับบาดเจ็บกันเพิ่มไปอีกหลายต่อหลายคน จนในที่สุดก็มีผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญคนอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บที่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ที่พวกเขาคิดว่ารับมือไม่ไหวแน่นอน พวกเขาจึงตัดสินใจหันหลังกลับเพื่อหลบหนีไปรายงานสถานการณ์ให้กับทัพใหญ่ของพวกเขาทราบทันที