พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 447 เบาะแสของหยูเฉิงฮุย
แม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะสามารถใช้ห้วงนิทราแห่งราชันอ่านความทรงจำของคนอื่นได้ แต่เขาก็ไม่สามารถเสียเวลาไล่อ่านคนนับหมื่นนับแสนที่อยู่ในพระราชวังและเมืองหลวงได้ทีละคน
ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรออยู่ในพระราชวังของอาณาจักรหลงซานสักพัก เพื่อรอให้หลิงยี่เทียนและหลิงเทียนหยุนหาเบาะแสมาให้เขาแทนโดยการใช้กำลังพลที่นำมาในการตามหา
ในเวลานี้กองทัพมังกรที่มีจำนวน 50,000 นายของหลิงว่านจุนก็เริ่มเข้าควบคุมกำลังทหารของอาณาจักรหลงซานที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในเมืองหลวงให้อยู่ในความสงบ
สำหรับบรรดาประชาชนของอาณาจักรหลงซาน เมื่อพวกเขาเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ถูกเข่นฆ่า จิตใจของผู้คนก็ค่อย ๆ สงบลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาข้าราชบริพารของหยูเจิ้งหมิงทั้งหลายที่ยังอยู่ในพระราชวังเช่นสาวใช้ในวัง ขันทีและคนอื่น ๆ เมื่อพวกเขาพบว่าพวกเขาทั้งหมดจะไม่ถูกสังหาร พวกเขาก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาตระหนักได้ว่าผู้คนของตระกูลหยูยังไม่ถูกนำตัวมาตัดหัว สิ่งนี้จึงยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจมากขึ้น
สองวันต่อมาเมืองหลวงของอาณาจักรหลงซานก็ได้ถูกยึดครองอย่างสมบูรณ์ และข้อมูลทุกประเภทได้ถูกรวบรวมและส่งไปยังหลิงยี่เทียน
“ท่านพ่อ เราได้รับข่าวว่าหยูเฉิงฮุยได้หนีไปแล้ว!” หลิงยี่เทียนพูดขึ้น “แต่เราไม่รู้ว่าเขาหนีไปอยู่ที่ไหน”
ทะเลชางหมางที่กว้างใหญ่ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้ว และเอ่ยขึ้นว่า “เป็นไปได้ไหมที่เขาจะกลับไปที่อาณาจักรมังกรทะยาน?”
หลิงยี่เทียนพูด “เรื่องนี้ข้าไม่แน่ใจ แต่มีคนบอกว่าเขาถูกพาบินไปทิศทางของเกาะวาฬยักษ์”
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วและไม่ได้พูดอะไร ในสถานการณ์ที่ทะเลชางหมางมีกำแพงสมดุลผนึกพลังกฎแห่งสวรรค์และโลกไว้เช่นนี้ เขาเองก็ไม่มีทางอื่นที่จะหาร่องรอยของหยูเฉิงฮุยได้
เขาไม่อาจบินตามไปยังทิศทางที่หยูเฉิงฮุยบินจากไปได้เพราะมันจะเสียเวลามากเกินไป
อันที่จริงทุกอย่างมันคงจะง่ายขึ้นถ้าพวกของหยูเฉิงฮุยกลับไปที่อาณาจักรมังกรทะยาน ซึ่งพวกเขาจะได้ไปที่นั่นโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็คือหลิงตู้ฉิงไม่แน่ใจว่าหยูเฉิงฮุยและคนของเขากลับไปที่อาณาจักรมังกรทะยานหรือไม่
จากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน โม่หยูถังก็เข้ามาและรายงานว่า “นายท่าน ฝ่าบาท มี่ตั้วตั้วขอเข้าเฝ้า!”
“ให้เขาเข้ามา!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า หลังจากได้รับอนุญาตโม่หยูถังก็ออกไปทันทีและไม่นานต่อมาเขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับมี่ตั้วตั้วและอสูรทมิฬโม่จู่
“เชิญนั่ง!” หลิงตู้ฉิงทักทายมี่ตั้วตั้ว
เป็นเวลาหลายปีแล้วหลังจากที่พวกเขาได้พบกันครั้งสุดท้าย ในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของมี่ตั้วตั้วได้มาถึงขอบเขตนภาระดับ 3 แล้วส่วนอสูรทมิฬโม่จู่ที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ได้ก้าวเข้าสู่ระดับสวรรค์สามัญเรียบร้อย และด้วยความแข็งแกร่งของโม่จู่ที่เพิ่มมากขึ้นเช่นนี้ จึงทำให้มี่ตั้วตั้วกล้าที่จะท่องไปรอบ ๆ ทะเลชางหมาง
เป็นที่ทราบกันดีว่าความแข็งแกร่งของอสูรทมิฬนั้นน่ากลัวอยู่แล้ว และเมื่อโม่จู่ทะลวงมาถึงระดับสวรรค์สามัญความแข็งแกร่งของเขาก็ยิ่งน่ากลัวยิ่งขึ้น
มี่ตั้วตั้วนั่งลงด้วยรอยยิ้มและถามว่า “ข้าได้ยินมาว่าพวกท่านกำลังมองหาที่อยู่ของหยูเฉิงฮุย ข้ามาจากเกาะวายุคลั่งและเห็นว่าภายใต้การคุ้มครองของผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญ 7 คน เขาได้ออกจากทะเลชางหมางไปแล้ว”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่ามันจะกลับไปที่อาณาจักรมังกรทะยานแน่นอน! ยี่เทียน จงไปแจ้งพวกเราให้เตรียมพร้อมทันที เมื่อพร้อมแล้วพวกเราจะออกเดินทางไปตามตัวมันที่อาณาจักรมังกรทะยาน!”
หลิงยี่เทียนพยักหน้าและกลับไปสั่งให้คนของเขาออกไปแจ้งกับทหารที่อยู่ด้านนอกเตรียมตัวให้พร้อม
จากนั้นหลิงตู้ฉิงมองไปที่มี่ตั้วตั้ว และพูดว่า “อันที่จริงท่านมาในเวลาที่เหมาะสมมาก เพราะข้ากำลังอยากเจอท่านพอดี”
“อืม ที่ข้ามาก็เพราะมีเรื่องที่สำคัญมากที่จะมาปรึกษากับเจ้าเช่นกัน” จากนั้นมี่ตั้วตั้วหันกลับไป และพูดกับโม่จู่ “ผู้อาวุโส โปรดออกไปรอข้างนอกก่อน ข้าต้องการเวลาส่วนตัวสักหน่อย”
โม่จู่พยักหน้า และเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร เนื่องจากโม่จู่รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างหลิงตู้ฉิงและมี่ตั้วตั้วเป็นอย่างดี เขาแน่ใจว่าหลิงตู้ฉิงจะไม่ทำอะไรกับมี่ตั้วตั้วแน่นอน
หลังจากที่โม่จู่จากไป หลิงตู้ฉิงก็ได้สร้างกำแพงวิญญาณปิดกั้นบริเวณโดยรอบ และพูดว่า “บอกข้ามาก่อนก็แล้วกัน ว่าท่านต้องการพบข้าเรื่องอะไร?”
มี่ตั้วตั้วหัวเราะ “เมื่อไม่กี่วันก่อนมีคนเข้ามาในทะเลชางหมางจากด้านนอกและประกาศว่าพวกเขาต้องการหาข้า พวกเขาได้ประกาศอย่างชัดเจนว่ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องพบกับข้าให้ได้ และหลังจากที่ข้าสังเกตการณ์พวกเขาอยู่สักพักและเมื่อได้พบกับพวกเขา ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าเขาเป็นคนจากตำหนักเทพโชคลาภ”
“ซึ่งพวกเขาต้องการเชิญข้าเข้าร่วมตำหนักเทพโชคลาภของพวกเขา แต่แน่นอนว่าก่อนที่ข้าจะได้เข้าร่วม ข้ายังต้องพบกับตัวตนที่รับผิดชอบอาณาเขตนภาซะก่อน และถ้าหากข้าได้รับการยอมรับแล้ว คนพวกนั้นสัญญาว่าจะให้ประโยชน์มากมายกับข้า ซึ่งข้าเองเมื่อได้ยินเงื่อนไขแล้ว ข้าก็รู้สึกอยากไปจริง ๆ”
“แต่ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับสถานการณ์ภายนอกทะเลชางหมาง และหลังจากได้ยินโม่จู่เล่าถึงบางเรื่องเกี่ยวกับตำหนักเทพโชคลาภ ข้าก็เลยยังลังเลอยู่บ้าง ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ข้ามา ข้าอยากจะถามเจ้าว่า ข้าควรจะร่วมมือตำหนักเทพโชคลาภนี้ดีหรือไม่?”
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “คนที่เป็นผู้แนะนำตำหนักเทพโชคลาภให้มาพบกับท่านก็คือข้าเองนี่แหละ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขามาหาท่าน คนที่ดูแลตำหนักเทพโชคลาภของอาณาเขตนภาชื่อ ลั่วหยุน ซึ่งเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน เอ่อ…ท่านค่อย ๆ ถามโม่จู่เอาก็แล้วกันเกี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันคืออะไร…”
“ส่วนตัวตนของลั่วหยุนผู้นี้ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง เนื่องจากว่าเขาได้ทำสัญญากับข้าแล้ว ซึ่งมันทำให้เขาต้องติดตามยี่เทียนไปอีกนับพันปี พูดง่าย ๆ ก็คือเขาอยู่ข้างเดียวกันกับพวกเรา อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าลั่วหยุนจะเป็นพวกเดียวกับเรา แต่กฎการค้าอย่างความยุติธรรมของตำนักเทพโชคลาภของพวกเขาก็ไม่สามารถฝ่าฝืนได้ ดังนั้นแม้ว่าท่านจะได้กลายเป็นหนึ่งในพวกเขาไปแล้ว ท่านยังคงต้องพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเองเมื่ออยู่ในตำหนักเทพโชคลาภด้วย มิฉะนั้นท่านจะไม่ได้รับการสนับสนุนใด ๆ จากพวกเขา”
“เอาล่ะ ไม่ว่าจะยังไงท่านก็ต้องไปพบกับลั่วหยุนให้ได้ เพราะมันจะเป็นประโยชน์ต่อเส้นทางในอนาคตของท่านเอง อ๋อแล้วอีกอย่างเมื่อท่านพบกับลั่วหยุน ท่านควรจะอธิบายความสัมพันธ์ของข้ากับท่านไปด้วย เพราะว่ามันจะทำให้ท่านดำเนินการต่าง ๆ ได้สะดวกขึ้น”
เมื่อฟังจนจบ มี่ตั้วตั้วก็พยักหน้ารัว ๆ และพูดว่า “มิน่าล่ะ ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทำไมจู่ ๆ ถึงมีคนของตำหนักเทพโชคลาภมาหาข้าโดยตรง! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็โล่งใจ เอาล่ะข้าคงจะต้องรีบกลับไปเตรียมตัวออกจากทะเลชางหมางไปพบกับคนเหล่านี้สักหน่อย! อ๋อ ข้าต้องขอขอบคุณเจ้ามากจริง ๆ สำหรับคำแนะนำของเจ้าต่อตำหนักเทพโชคลาภ แม้ว่าเราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ข้าต้องขอขอบคุณเจ้าจริง ๆ สำหรับเรื่องนี้”
หลิงตู้ฉิงพูดว่า “ข้ามีเหตุผลที่แนะนำให้ท่านเข้าร่วมกับตำหนักเทพโชคลาภ”
“เหตุผลอะไร?” มี่ตั้วตั้วถามกลับทันทีด้วยสีหน้าจริงจัง
อันที่จริง มี่ตั้วตั้วเองก็รู้ดีว่าหลิงตู้ฉิงจะไม่ทำอะไรบางอย่างโดยไม่มีเหตุผล
หากเขาได้เข้าร่วมกับขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้แล้วกลับทำความผิดพลาดเกิดขึ้น ผลลัพธ์ของมันอาจจะนำพาเข้าไปสู่ความตายได้ง่าย ๆ
ยิ่งไปกว่านั้นเขามั่นใจเกี่ยวกับนิสัยของหลิงตู้ฉิง ถ้าเขารู้สึกว่าสิ่งที่หลิงตู้ฉิงวางแผนจะให้เขาทำมันยากมากเกินไป เขาก็สามารถปฏิเสธได้
“หลังจากที่ท่านเข้าไปในตำหนักเทพโชคลาภแล้ว ข้าต้องการให้ท่านช่วยข้าตรวจสอบสองสิ่ง” หลิงตู้ฉิงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “สิ่งแรกที่ข้าอยากรู้ก็คือ เป็นผู้ใดที่เพ่งเล็งเผ่าภูตนางฟ้า และเป็นใครกันที่จับและขายองค์หญิงของพวกเขาไป”
“สำหรับเรื่องที่สอง มันสำคัญมากเกินไป ซึ่งข้าจะบอกท่านอีกครั้งเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม และท่านไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อข้าได้ขอความช่วยเหลือจากท่าน ดังนั้นแน่นอนว่าข้าจะตอบแทนท่านด้วยราคาที่เหมาะสม นอกจากที่ข้าแนะนำตัวท่านให้มีโอกาสเข้าไปในตำหนักเทพโชคลาภแล้ว ข้าจะให้บางสิ่งบางอย่างแก่ท่านเพื่อให้ท่านใช้มันไว้ป้องกันตัวเอง นอกจากนี้ท่านยังสามารถอ้างชื่อของข้าในการข่มขู่ผู้อื่นได้ในอนาคต”
มี่ตั้วตั้วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่น “แม้ว่าข้าไม่เข้าใจคำพูดของเจ้า แต่ข้ารู้สึกว่าคำขอของเจ้ามันดูอันตรายจริง ๆ”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบดลับ “ยิ่งอันตรายมากเท่าไหร่ ผลตอบแทนก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ท่านจงค่อย ๆ คิดเอาก็แล้วกัน ซึ่งถ้าท่านตกลง ข้าจะให้บางสิ่งบางอย่างแก่ท่าน แต่ถ้าท่านปฏิเสธ ท่านก็ลืมเรื่องที่ท่านจะสามารถอ้างถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับข้าในอนาคตไปได้เลย”
มี่ตั้วตั้วครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็จ้องไปที่หลิงตู้ฉิงและพูดว่า “เจ้าอธิบายให้ข้าฟังก่อนได้ไหมว่าสิ่งที่เจ้าจะให้กับข้ามันคืออะไร?”
หลิงตู้ฉิงตอบกลับอย่างช้า ๆ “สะพานทองคำเชื่อมทศทิศ! ‘เมื่อสะพานทองคำดิ่งลงพื้นปฐพี แม้แต่เหล่าเทพยังต้องหลีกทาง’ นี่คือวลีที่อธิบายถึงสมบัติวิเศษชิ้นนี้ ด้วยอำนาจของสมบัติวิเศษชิ้นนี้ ตัวตนเกือบทั้งหมดที่ดำรงอยู่ในโลกนี้จะไม่มีใครที่สามารถคุกคามความปลอดภัยของผู้ถือครองมันได้ เว้นแต่ผู้ถือครองมันจะรนหาที่ตายไปล่วงเกินตัวตนที่อยู่ในระดับระดับสูงสุดจริง ๆ เอาล่ะนี่คือผลประโยชน์ที่ข้าจะตอบแทนให้ท่าน ซึ่งมันก็คือวิธีการสร้าง ‘สะพานทองคำ’ ฉบับสมบูรณ์ที่หายสาปสูญ!”