พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 464 ปกป้องนางด้วยชีวิตของพวกเจ้า
ภายในค่ายกลกระบี่เหินเมฆา หลิงว่านถิงกำลังอำลาคนอื่น ๆ
“พี่สอง ท่านต้องระวังอย่าไปโดนใครหลอกอีกท่านเข้าใจไหม!” หลิงฟ่างหัวเตือน
หลิงว่านถิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เจ้าคิดว่าพี่ของเจ้าโง่จนใคร ๆ ก็สามารถหลอกเอาได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?”
“ก็ท่านโง่จริง ๆ นี่นา!” จากนั้นหลิงฟ่างหัวก็เดินเข้าไปกอดหลิงว่านถิง และพูดว่า “ถ้ามีใครรังแกท่าน ท่านจงรีบส่งข่าวมาให้พวกเรารู้ทันที พวกเราจะได้รีบไปช่วยท่านออกมาท่านเข้าใจไหม? หรือถ้าท่านรู้สึกไม่ดีกับการใช้ชีวิตในสำนักเต๋าสวรรค์ท่านก็กลับมาหาพวกเราได้ทุกเมื่อ จงอย่าลืมว่าพวกเรารอท่านอยู่เสมอ”
หลิงว่านถิงยิ้มและพูดว่า “อืมข้ารู้! ตัวเจ้าเองก็เช่นกัน เจ้าต้องตั้งใจฝึกฝนให้ดี บางทีคราวหน้าพี่อาจจะต้องให้เจ้าช่วยเหมือนครั้งที่แล้ว!”
“เมื่อข้าเข้าใจความสามารถใหม่ของข้า ข้าจะไม่ติดอยู่ในวงล้อมเหมือนครั้งที่แล้วแน่นอน!” หลิงฟ่างหัวกำหมัดแน่นและให้กำลังใจนาง “และเมื่อข้าเก่งเมื่อไหร่ ข้าจะไปที่สำนักเต๋าสวรรค์เพื่อเยี่ยมหาท่าน ถ้าพวกเขากล้ารังแกท่าน ข้าจะส่งคนที่รังแกท่านทุกคนให้ไปอยู่ในมิติอื่นให้หมด”
“โอ้ใช่แล้ว ยังมีไอ้พวกคนของภูเขาเอ้อหลงอีกด้วย ไอ้พวกคนเหล่านั้นมันเอาแต่อ้างชื่อภูเขาเอ้อหลงเพื่ออวดเบ่งอำนาจของตัวเอง เมื่อไหร่ที่ข้ามีความสามารถพอ ข้าจะขับไล่พวกมันทั้งหมดไปสู่มิติแห่งความว่างเปล่าให้หมด!”
หลิงว่านถิงยิ้มและพูดว่า “ได้เลย!”
หลังจากอำลาหลิงฟ่างหัวแล้วนางก็กลับไปอำลาหลิงไช่หยุน
จากนั้นนางก็อำลาพี่น้องทั้งหมดของนาง
จริง ๆ แล้วทุกคนในครอบครัวรู้ว่า หลิงว่านถิงกำลังจะไปที่สำนักเต๋าสวรรค์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าสำนักเต๋าสวรรค์อยู่ที่ไหน แต่ทุกคนก็ได้เตรียมใจไว้แล้วสำหรับเรื่องที่นางกำลังจะจากไป
เมื่อพวกเขาเห็นซือโถวเหวินหยวนและอู๋หลิงซีมาถึง ทุกคนก็รู้ว่าเวลาที่จะต้องจากกันกำลังใกล้เข้ามา
แต่การที่พวกเขาต้องแยกจากกันน่าจะเป็นเวลาหลายสิบปี พวกเขาจึงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับมัน
แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าที่หลิงว่านถิงต้องจากไปนั้นก็เพราะนางต้องการที่จะแยกตัวไปทำใจให้สงบ และไปฝึกฝนในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างออกไป
ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะไม่เต็มใจ แต่พวกเขาก็ยังคงอวยพรให้นางเป็นอย่างดี
เมื่อหลิงว่านถิงบอกลาพี่น้องของนางเสร็จ นางก็ถูกดึงตัวออกมาโดยเหลียงเฟ่ยเอ๋อ ซึ่งเหลียงเฟ่ยเอ๋อก็กระซิบกับนางว่า “ว่านถิง ก่อนเจ้าจากไปข้าไม่มีอะไรจะให้กับเจ้า นอกจากหยดน้ำที่ข้าควบแน่นได้จากหม้อเอกภพอีกเล็กน้อย ดังนั้นเจ้าจงนำมันติดตัวไป และจงจำไว้ว่าไม่ว่าในกรณีใดพี่น้องและแม่ ๆ จะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ!”
หลิงว่านถิงกระซิบถาม “ป้าเฟ่ย ท่านจะให้ข้าอีกแล้วเหรอ?”
เหลียงเฟ่ยเอ๋อหัวเราะเบา ๆ “เจ้าอย่าเอาไปบอกใครนะ นี่คือสุดยอดความลับของครอบครัวเรา!”
หลิงว่านถิงที่เคยได้รับมันมาก่อนหน้านี้แล้วรอบหนึ่ง ซึ่งนางก็รู้ว่ามันเป็นของดี แต่ปัญหาก็คือนางเองก็ไม่เข้าใจถึงวิธีการใช้งานมัน?
สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือความลึกล้ำของโชคของคนคนหนึ่งได้กำหนดสิ่งต่าง ๆ มากมาย
โดยปกติสิ่งเหล่านี้จะยังคงไม่แสดงออกมาให้เห็นได้ในทันที แต่มันจะแสดงออกมาในเฉพาะช่วงเวลาที่วิกฤตเท่านั้น ซึ่งผลของมันนั้นจะทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เมื่อพูดจบ เหลียงเฟ่ยเอ๋อก็นำหยดน้ำที่ได้จากหม้อเอกภพออกมา และส่งมันเข้าไปในร่างกายของหลิงว่านถิง
หลิงว่านถิงโค้งคำนับ “ขอบคุณป้าเฟ่ย ข้าขอตัวไปบอกลาท่านพ่อก่อนนะ”
“ไปเถอะ!” เหลียงเฟ่ยเอ๋อหัวเราะ
จากนั้นหลิงว่านถิงก็เข้าไปในรถม้า และเดินไปนั่งตรงข้ามของหลิงตู้ฉิง
ซึ่งหลิงตู้ฉิงเองก็ส่งข้อความทางโทรจิตไปหาซือโถวเหวินหยวน ให้เข้ามาหาเขาในรถม้าเช่นกัน
จากนั้นเมื่อเห็นว่าคนทั้งคู่มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว หลิงตู้ฉิงจึงยิ้มและพูดว่า “สำนักเต๋าสวรรค์แสดงความจริงใจต่อเจ้าได้ดีทีเดียว พ่อเชื่อว่าเจ้าจะไม่มีปัญหาอะไรแน่นอนเมื่อไปอยู่ที่นั่น เจ้าจงไปอย่างสบายใจเถอะ! หลังจากนี้พ่อเองก็ต้องเดินทางไปยังสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน และเมื่อพ่อเสร็จธุระจากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์เมื่อไหร่พ่อจะแวะไปเยี่ยมเจ้าที่นั่นอีกที”
“และเมื่อถึงเวลานั้นไม่ว่าเจ้าจะทุกข์ใจเรื่องอะไร เจ้าก็จงบอกกับพ่อมา พ่อจะได้จัดการกับพวกเขาให้เจ้า แต่เจ้าจงอย่าลืมที่จะตั้งใจฝึกฝนเมื่ออยู่ที่นั่น สำนักเต๋าสวรรค์ขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องของการสั่งสอนวิถีการบ่มเพาะ ซึ่งเจ้าสามารถเลือกที่จะฟังหรือไม่ฟังคำสอนของพวกเขาก็ได้ อย่างไรก็ตามหากพวกเขาต้องการให้เจ้าเป็นแม่ชีและให้เจ้าละอารมณ์ความปรารถนาทางโลก เจ้าจงอย่าสนใจ เนื่องจากพ่อเคยบ่มเพาะมาก่อน พ่อบอกกับเจ้าได้เลยว่ามันไม่ใช่สิ่งที่มีประโยชน์อะไรสักเท่าไหร่”
“เข้าใจแล้วท่านพ่อ!” หลิงว่านถิงพยักหน้าเล็กน้อย
“ถ้าพวกเขาบังคับให้เจ้าทำอะไรที่เจ้าไม่ต้องการ และเจ้ายังสามารถประวิงเวลารอพ่อได้ เจ้าก็จงรอก่อนอย่าพึ่งไปทำตามที่พวกเขาต้องการ แต่ถ้าเจ้ารับไม่ได้จริง ๆ เจ้าก็จงติดต่อมาหาพ่อทันที ถึงแม้ว่าสำนักเต๋าสวรรค์นี้จะอยู่ไกลเกินไปจนเจ้าไม่สามารถส่งข้อความแบบปกติได้สะดวก พ่อจะเตรียมวิธีที่เจ้าสามารถส่งข้อความหาพ่อได้ง่าย ๆ อีกที” หลิงตู้ฉิงยิ้มให้กับหลิงว่านถิง
ซือโถวเหวินหยวนที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกสงสัยเล็กน้อย เขาอยากรู้ว่าจะมีวิธีการไหนที่หลิงตู้ฉิงจะทำให้หลิงว่านถิงสามารถส่งข้อความหาเขาได้ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกันขนาดนั้น
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่เขากำลังครุ่นคิดสงสัย เขาก็รู้สึกตัวได้ว่าเขากำลังถูกจ้องมองโดยหลิงตู้ฉิง
“ซือโถวนับตั้งแต่ที่เจ้าและลูกสาวของข้าลงชื่อในสัญญากฎสวรรค์ เจ้าก็เป็นคนรับใช้ของลูกสาวข้า” หลิงตู้ฉิงเตือนเขา
ซือโถวเหวินหยวนพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเต็มใจที่จะเป็นคนรับใช้ของนาง”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “ดี! ในเมื่อเจ้ารู้เช่นนี้แล้วข้าจะให้เจ้าเป็นตัวส่งข้อความให้นาง!”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงเอื้อมมือไปจับด้านบนของศีรษะของซือโถวเหวินหยวน ซือโถวเหวินหยวนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงครวญครางออกมาขณะที่ใบหน้าของเขาซีดลง เขามองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความกลัว เพราะหลิงตู้ฉิงเพิ่งดึงเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเขาออกไป ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดราวกับเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ
หลิงตู้ฉิงไม่ได้มองไปที่ซือโถวเหวินหยวน แต่เขานำชิ้นหยกเนื้อดีออกมาและจากนั้นเขาก็นำเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของซือโถวเหวินหยวนใส่ลงไปในหยก จากนั้นเขาก็เขียนอักขระประทับซ้ำลงไปอีกชั้น
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ซือโถวเหวินหยวนอีกครั้ง และพูดว่า “แผ่นหยกนี้เชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเจ้า หากมีอะไรผิดพลาดกับจิตวิญญาณของเจ้า หยกของข้าจะแสดงให้ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังมีปัญหา แน่นอนว่าถ้าเจ้าตาย แผ่นหยกของข้าจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ จงใช้ชีวิตของเจ้าเพื่อปกป้องลูกสาวข้า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนางจงใช้ชีวิตของเจ้าแจ้งให้ข้ารู้ เจ้ามั่นใจได้ว่าถึงเวลานั้นข้าจะแก้แค้นให้เจ้าอย่างสาสมแน่นอน”
ซือโถวเหวินหยวนพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ นับตั้งแต่ที่เขาได้ลงชื่อในสัญญากับหลิงว่านถิง ชีวิตของเขาก็ผูกอยู่กับนางอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้หลิงตู้ฉิงจะไม่พูดขึ้นเขาก็เต็มใจที่จะตายเพื่อปกป้องหลิงว่านถิงแน่นอนเช่นกัน
หลิงตู้ฉิงพูดต่อว่า “ครั้งต่อไปที่ข้าไปที่สำนักเต๋าสวรรค์ ถ้าเจ้ายังทำตัวดีอยู่ ข้าจะเปลี่ยนชะตาของเจ้าให้”
“ขอบคุณนายท่าน!” ซือโถวเหวินหยวนโค้งตัวพลางพยักหน้ารับทราบทันที
จากนั้นหลิงตู้ฉิงหันไปหาหลิงว่านถิง และพูดว่า “สาวน้อยของพ่อ ตอนนี้เจ้ารู้แล้วใช่ไหมว่าพ่อจะรู้ได้ยังไงเมื่อเจ้ามีปัญหา ดังนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริง เจ้ารู้ว่าต้องทำอย่างไรใช่ไหม?”
หลิงว่านถิงเหลือบมองไปที่ซือโถวเหวินหยวน และพยักหน้าด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อน
“เอาล่ะบอกลากับทุกคนให้เสร็จ จากนั้นเจ้าก็ไปกับพวกเขาเถอะ!” หลิงตู้ฉิงโบกมืออย่างใจเย็น
“ท่านพ่อ ลูกสาวของท่านขอลาไปที่สำนักเต๋าสวรรค์ก่อน แล้วเราค่อยเจอกันนะท่านพ่อ!” หลิงว่านถิงลุกขึ้นยืนและพูด
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าพลางโบกมือให้หลิงว่านถิง และซือโถวเหวินหยวนออกไป
เมื่อหลิงว่านถิงออกมาจากรถม้า นางโบกมือลาให้กับทุกคน จากนั้นนางก็นำซือโถวเหวินหยวนเดินออกไปจากค่ายกลกระบี่เหินเมฆา และบินไปหาอู๋หลิงซีที่รออยู่ข้างนอก
เมื่อเห็นว่าหลิงว่านถิงมาถึงแล้ว อู๋หลิงซีก็รีบเรียกพาหนะวิเศษของเขา ซึ่งเป็นรูปร่างพัดขนาดใหญ่ออกมา และจากนั้นเขาก็เชิญให้หลิงว่านถิงขึ้นไปบนมันพร้อมกับให้ซือโถวเหวินหยวนตามขึ้นมาด้วย
แต่อก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง เสียงอันเยือกเย็นของหลิงตู้ฉิงก็ดังขึ้นจากด้านหลังของพวกเขา “จำคำพูดของข้าไว้ มิฉะนั้นสำนักเต๋าสวรรค์ของเจ้าจะต้องเผชิญกับหายนะ!”
อู๋หลิงซีที่กำลังจะจากไปถึงกับหยุดกึกทันทีพร้อมกับหันหน้าไปตามทิศทางของเสียง “เรื่องนั้นท่านไม่ต้องกังวล ไม่ว่าจะยังไงข้าก็ไม่ต้องการให้ท่านไปปรากฏตัวที่สำนักเต๋าสวรรค์ของเราไม่ว่าเมื่อไหร่หรือด้วยเหตุผลอะไรทั้งนั้น!”
เมื่อพูดจบ อู๋หลิงซีก็รีบบังคับพาหนะวิเศษของเขาบินหายไปพร้อมกับทั้งสองในทันที
สำหรับหลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ หลังจากที่เห็นว่าหลิงว่านถิงได้จากไปกับอู๋หลิงซีแล้ว พวกเขาต่างก็พากันเตรียมตัวกลับไปที่ทะเลชางหมาง