พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 466 เหมือนมนุษย์ปกติมากขึ้น
หลิงตู้ฉิงไม่ได้ตอบคำถามของลั่วหยุน เขาทำเพียงแต่นิ่งเงียบ
เมื่อลั่วหยุนและสีเป่ยเซียะสังเกตเห็นการแสดงออกที่แปลกประหลาดของหลิงตู้ฉิง พวกเขาจึงหยุดถามเกี่ยวกับเรื่องของเทพกระบี่
แม้หลังจากกลับไปที่เมืองเจินไห่แล้ว หลิงตู้ฉิงก็ยังคงเงียบ
หลังจากนั้นเขาก็มอบค่ายกลกระบี่เหินเมฆาให้โม่เอ๋อโดยปล่อยให้โม่เอ๋อและเย่หยูหลันรออยู่ที่เมืองเจินไห่ ส่วนตัวเขาและคนอื่น ๆ ก็กลับไปที่ทะเลชางหมางอีกครั้ง
แต่การกลับไปคราวนี้ สีอี้เฉิงก็ถูกส่งตัวมาให้เดินทางไปที่ทะเลชางหมางกับหลิงตู้ฉิงด้วยเช่นกัน
ส่วนเหตุผลที่สีจิ้งหมิงส่งลูกชายของตนเองเข้าไปที่ทะเลชางหมางด้วยนั้น อาจจะเป็นเพราะเขาต้องการให้สีอี้เฉิงได้รับประสบการณ์ทางโลกมากขึ้น หรือไม่เขาก็ส่งสีอี้เฉิงให้มาสืบค้นหาพื้นที่ที่น่าจะมีความลับของทะเลชางหมางซ่อนอยู่เพื่อที่ในอนาคตเมื่อพวกเขาทำตามข้อตกลงกัน พวกเขาจะได้มาจับจองพื้นที่บริเวณนั้น ๆ เป็นของตนเอง
และแน่นอนว่าสีอี้เฉิงไม่ได้มาคนเดียวอย่างแน่นอน นอกเหนือจากกองทัพที่ติดตามเขามาด้วยแล้ว ยังมีผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญอีกกว่าร้อยคนที่มากับเขาด้วย
หลังจากเข้าสู่ทะเลชางหมางมาได้สักพักใหญ่ หลิงตู้ฉิงก็เอ่ยขึ้นกับหลิงยี่เทียน “ยี่เทียน พ่อจะออกจากทะเลชางหมางเพื่อเดินทางไปยังสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ แต่ก่อนที่พ่อจะออกไป พ่อจะเปิดบรรยายให้กับเจ้าและเหล่าผู้คนของเจ้าอีกครั้งเพื่อที่คนของเจ้าจะได้แข็งแกร่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง เจ้าจงไปจัดคนที่เจ้าต้องการให้เข้าฟังบรรยายที่เป็นประโยชน์กับเจ้าในอนาคต และพามาหาพ่อที่คฤหาสน์สราญรมย์”
หลิงยี่เทียนพยักหน้าและพูดว่า “ลูกเข้าใจแล้วท่านพ่อ!”
หลิงฟ่างหัวรีบพูดแทรกขึ้นทันที “ท่านพ่อ คราวนี้ข้าจะตามท่านไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของป้าเย่!”
หลิงตู้ฉิงลูบหัวของหลิงฟ่างหัวและถามว่า “เจ้าทำความเข้าใจเกี่ยวกับสายเลือดของหนอนมิติเสร็จแล้วหรือยัง?”
“เอ่อข้า…” หลิงฟ่างหัวพูดด้วยความลำบากใจ
ระยะเวลาที่นางได้หลอมรวมกับสายเลือดของหนอนมิตินั้นมีไม่เท่าไหร่เอง ดังนั้นมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะเข้าใจความสามารถของสายเลือดใหม่ที่นางหลอมรวมได้ทั้งหมด?
หลิงตู้ฉิงยังคงถามต่อไป “พ่อได้ปรับแต่งประตูมิติของเจ้าให้ไปแล้ว เจ้าได้ศึกษามันบ้างแล้วรึยังว่ามันทำอะไรได้มากขึ้น?”
เมื่อเจอคำถามที่สองเข้าไป หลิงฟ่างหัวถึงกับนิ่งงันไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้แม้เพียงครึ่งคำ ในท้ายที่สุดนางก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “ท่านพ่อ! ถ้าท่านไม่อยากให้ข้าไป ข้าไม่ไปก็ได้! รอบที่แล้วท่านก็ไม่ยอมพาข้าไป รอบนี้ท่านก็ไม่ยอมพาข้าไปอีก ท่านนี่มันช่าง…”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “อย่าเอาแต่เล่นให้มันมากนัก จงตั้งใจศึกษาความสามารถของเจ้าให้ดี เมื่อไหร่ที่เจ้าเชี่ยวชาญ เจ้าจะสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ตามที่เจ้าต้องการบนโลกใบนี้โดยไม่จำเป็นต้องให้พ่อพาเจ้าไปเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงฟ่างหัวถอนหายใจและไม่พูดอะไรต่อ นี่เป็นเพราะมันชัดเจนแล้วว่าพ่อของนางไม่พานางไปด้วยในรอบนี้แน่นอน
สำหรับคนอื่น ๆ หลิงยู่ชานต้องอยู่ช่วยหลิงยี่เทียนชั่วคราวเพื่อรวบรวมดินแดนในทะเลชางหมาง และเขายังต้องคิดรูปแบบการออกหมัดใหม่ด้วยตัวเอง ทางด้านของหลิงเทียนหยุนก็ยังคงต้องบ่มเพาะร่างเงาใหม่เพิ่มเติมจากของเดิมที่ถูกทำลายไปก่อนหน้านี้ แม้แต่หลิงไช่หยุนเองก็ยังต้องวุ่นอยู่กับการบ่มเพาะในขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 14 ของนาง ดังนั้นนางเองก็ไม่สามารถไปที่อื่น ๆ ได้
ส่วนทางด้านของบรรดาภรรยา หลิงตู้ฉิงมองไปยังพวกนางและพูดว่า “ครั้งนี้ ข้าจะออกไปนอกทะเลชางหมางเพื่อช่วยพ่อของชิงเฉิง ซึ่งการออกไปครั้งนี้ข้าต้องเข้าไปสู่ดินแดนที่อันตรายหลายแห่ง ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถนำพวกเจ้าทุกคนไปด้วยได้ ในช่วงระหว่างที่ข้าไม่อยู่ พวกเจ้าทุกคนก็จงนำสิ่งที่ข้าเอากลับมาจากเขตแดนผู้ล่วงลับที่ข้ามอบไว้ให้กับพวกเจ้าทุกคนมาศึกษาให้ดี ข้าหวังว่าเมื่อข้ากลับมา พวกเจ้าทุกคนคงจะศึกษามันได้อย่างสมบูรณ์และสามารถใช้พวกมันได้ตามใจนึกกันแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาภรรยาต่างก็พยักหน้ากันอย่างเงียบ ๆ และไม่พูดอะไร เนื่องจากในตอนที่พวกนางได้ออกไปที่อาณาเขตนภา พวกนางได้พบกับช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพวกนางกับคนภายนอกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกนางได้เห็นพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของอู๋หลิงซี ซึ่งมันได้กลายเป็นตัวกระตุ้นให้พวกนางต้องฝึกฝนอย่างรวดเร็ว
ทางด้านของเย่ชิงเฉิง เมื่อนางได้ยินเช่นนี้นางก็มีความสุขมากเพราะในที่สุดหลิงตู้ฉิงก็จะไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะเคยรับปากกับนางไปแล้วว่าเขาจะไปแน่นอน แต่ด้วยความเป็นห่วงพ่อของนาง นางจึงคิดกังวลอยู่ตลอดว่าหลิงตู้ฉิงจะไปช่วยพ่อของนางตอนไหน แล้วนี่เวลาก็ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว และนางก็ยังไม่รู้ว่าพ่อของนางเป็นอย่างไร ดังนั้นเมื่อวันนี้นางได้ยินว่าหลิงตู้ฉิงกำลังจะออกเดินทางไปช่วยพ่อของนาง นางจึงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก
ในเวลานี้ หลิงตู้ฉิงมองไปที่คนอื่นที่อยู่รอบ ๆ และพูดกับอี้ลั่วเอ๋อว่า “ลั่วเอ๋อ ครั้งนี้เจ้าเองก็ต้องอยู่ในทะเลชางหมาง เนื่องจากตัวตนของเจ้าในตอนนี้ยังคงมีปัญหาอยู่ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเมื่อไหร่ ข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่ป่าภูตินางฟ้า”
อี้ลั่วเอ๋อส่ายหัว “นายท่าน ลั่วเอ๋อได้ตัดสินใจแล้วว่าจะติดตามนายท่านตลอดไป ข้าจะยังคงไม่กลับไปที่ป่าภูตินางฟ้าหากไม่จำเป็น นอกจากนี้ข้าเองยังจำเป็นต้องอยู่ในทะเลชางหมางต่ออีกเพื่อฝึกฝนวิชาที่ท่านถ่ายทอดให้ ส่วนเรื่องลูกชายของท่าน นายท่านโปรดมั่นใจ ข้าจะเป็นอีกแรงที่คอยช่วยอาณาจักรจันทราอย่างแน่นอน”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อยและไม่พูดอะไรอีก
หลังจากกลับไปถึงอาณาจักรจันทรา หลิงตู้ฉิงก็ขอยันต์สั่งสวรรค์จากมี่ไล จากนั้นเขามองไปที่ในดวงตาของหญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์และเอ่ยว่า “ข้าจะให้เจ้าอยู่ที่นี่ในทะเลชางหมาง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นโปรดเจ้าช่วยคนของข้าด้วย”
หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์เหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิง และพยักหน้าเล็กน้อย “เนื่องจากเจ้าในตอนนี้เหมือนมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ งั้นข้าจะช่วยเจ้าเฝ้าดูแลพวกเขาให้ก็แล้วกัน”
หลิงตู้ฉิงเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร
หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์ส่งยิ้มหวาน “ข้าไม่ได้ตำหนิอะไรเจ้าสักหน่อย เอาเถอะแล้วเจ้าจะเข้าใจมันเองในอนาคต แต่เอ้… เอาเป็นว่าข้าจะชี้แนะอะไรเจ้าให้สักนิดก็แล้วกัน เจ้าลองคิดย้อนดูสิทำไมเจ้าถึงต้องสาปไอ้เด็กนั่นลับหลังลูกสาวของเจ้าด้วย? หากเป็นตัวเจ้าเมื่อก่อน เจ้าจะทำแบบนั้นรึเปล่าล่ะ ถ้าเจ้าตัดสินใจจะฆ่าไอ้เด็กนั่นอยู่แล้ว? นอกจากนี้เมื่อเจ้าได้ยินถึงเรื่องของเทพกระบี่ อารมณ์ของเจ้าก็ยิ่งแย่ลงไปอีก สิ่งเหล่านี้แหละมันคืออารมณ์ที่แท้จริง ว่าแต่พูดถึงเรื่องของเทพกระบี่ คนผู้นี้ไม่ได้เป็นผู้หญิงใช่ไหม?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ไม่!”
“ถ้างั้นเจ้าพอจะเล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับเทพกระบี่ได้ไหม?” หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์เลิกคิ้วและถามขึ้น “การได้ระบายความในใจให้คนอื่นฟัง มันก็ถือว่าเป็นการแสดงอารมณ์ของเจ้าเช่นกัน!”
“อ๋อ?” หลิงตู้ฉิงกระพริบตา จากนั้นก็พึมพำกับตัวเอง “บุคคลที่คนอื่นเรียกว่าเทพกระบี่…เขาเป็นคนรับใช้ของข้า พรสวรรค์ทางด้านกระบี่ของเขานั้นนับว่ายอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอ!”
หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์กลอกตาแล้วถามว่า “แค่นั้น? ไม่ใช่แบบนี้สิ! เอางี้ เขาเป็นคนรับใช้ของเจ้าแล้วยังไงต่อ?”
“ต่อมา เขาก็น่าจะตายลง” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ
หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์เอามือปิดหน้าผากของนาง และพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “เอางี้ งั้นข้าจะถามเจ้า แล้วเจ้าค่อยตอบข้าตามที่ข้าถามไปก็แล้วกัน แบบนี้ดีไหม?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า
“แซ่ของเทพกระบี่คืออะไร?” หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์ถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงคิดอยู่นานก่อนที่เขาจะส่ายหัวและพูดว่า “ข้าไม่เคยถามชื่อของเขา ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์กลอกตาไปที่หลิงตู้ฉิงแล้วถามว่า “นี่…นี่เขาติดตามเจ้ามานานแค่ไหนกัน? แล้วเจ้าไม่เคยถามชื่อเขาเลยเหรอ?”
“สามพันปี!” หลิงตู้ฉิงตอบ
หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์ตะคอกใส่ทันที “ไอ้สารเลว เจ้านี่มันควรตายไปสักหมื่น ๆ รอบเลยจริง ๆ! นี่เจ้าเป็นบ้าอะไร คนรับใช้ของเจ้าที่ติดตามเจ้ามานานกว่าสามพันปี แต่กลับยังไม่รู้จักชื่อด้วยซ้ำ ช่างหัวเจ้าก็แล้วกัน ข้าขี้เกียจจะถามแล้ว!”
เมื่อพูดจบนางก็ม้วนยันต์เก็บด้วยตัวเอง จากนั้นก็ลอยไปหามี่ไล
หลิงตู้ฉิงมองไปยังทิศทางที่หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์จากไปด้วยความสับสน
เขาแค่ไม่ถามชื่อเองไม่ใช่เหรอ ทำไมนางถึงต้องโกรธขนาดนั้น
หรือว่าถ้าไม่รู้ชื่อก็ไม่มีทางสื่อสารได้? ก็ไม่น่าจะใช่นี่นา
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าหญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์จะโกรธเขาเพราะอะไร แต่เขาก็ได้รู้ว่าการรู้ชื่อของคนรอบตัวเขาก็น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ไม่เช่นนั้นทำไมหญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์ถึงโกรธขนาดนี้?
เมื่อเขามาถึงลานฝึกของคฤหาสน์สราญรมย์ที่มีทหารมากกว่า 750 คนกำลังฝึกฝนกันอย่างขมักเขม้น
“ทุกคนหยุดก่อน!” หลิงตู้ฉิงออกคำสั่ง
เมื่อได้ยินคำสั่ง ทุกคนต่างก็หยุดการฝึกลงและมองไปที่หลิงตู้ฉิง พวกเขาไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงต้องการจะทำอะไร
“หลานชายมีภารกิจอะไรใหม่ให้พวกเราทำงั้นเหรอ?” หลิงฉุยฟงถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ไม่ใช่แบบนั้น ข้าแค่อยากให้ทุกคนบอกชื่อของทุกคนมาให้กับข้าฟัง!”
ในห้องของมี่ไล หญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์ที่รับรู้ได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในลานฝึก นางก็ตบหน้าผากตัวเองด้วยสีหน้าเหนื่อยใจสุดขีดและสาปแช่งความโง่งมของหลิงตู้ฉิงอย่างไม่หยุดหย่อน!