พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 491 การประชุมลับอันเคร่งเครียด
ในหัวใจของตงฟางจุน หลิงตู้ฉิง คือเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิดอย่างแท้จริง
ภายในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ หลิงตู้ฉิงได้ถ่ายทอดรูปแบบกระบี่ทั้งสามให้กับเขา ซึ่งมันก็คือรูปแบบกระบี่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเทพกระบี่
และที่สำคัญ หลิงตู้ฉิงยังเคยเสนอที่จะถ่ายทอดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ให้กับเขาในป่ากระบี่ ซึ่งหมายความว่าหลิงตู้ฉิงนั้นมีวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นถ้าหลิงตู้ฉิงไม่ใช่เทพกระบี่แล้วจะเป็นใคร?
ในตอนนี้คนอื่น ๆ ต่างมองไปที่ตงฟางจุนด้วยความงุนงง ถ้าตงฟางจุนไม่ใช่เทพกระบี่ เขาจะสามารถดูดซับเจตจำนงกระบี่ที่คงอยู่มาเป็นหมื่น ๆ ปีได้ยังไง?
ในขณะนี้ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ๆ แม้แต่ตงฟางไป๋ก็คิดเช่นเดียวกัน
เขามองหลานชายของเขาด้วยความงุนงงพลางคิดในใจ ‘เด็กคนนี้คือเทพกระบี่กลับชาติมาเกิดจริง ๆ งั้นหรือ? แบบนี้มันไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาสามารถเข้าใจวิชาเร้นคมกระบี่ เผยคมสะบั้น และวิชากระบี่เผาผลาญรวมไปถึงที่เขาสามารถฝึกร่างกระบี่ได้สำเร็จ ตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดมันล้วนสมเหตุสมผลแล้ว!’
สำหรับตงฟางจุน เขากำลังมองไปที่มือตัวเองด้วยความงุนงง!
บ้าจริง! นี่ข้าดูดซับเจตจำนงกระบี่ของผู้อาวุโสเทพกระบี่ไปแล้วงั้นเหรอ? นี่เขาจะโกรธข้าไหมเนี่ย!
ตงฟางจุนรีบหันกลับไปมองที่หลิงตู้ฉิงทันที ซึ่งหลิงตู้ฉิงก็มองไปที่ตงฟางจุนด้วยสีหน้าแปลกประหลาดเช่นกัน
“ผู้อาวุโส ข้าขอโทษจริง ๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะดูดซับเจตจำนงกระบี่ของท่าน!” ตงฟางจุนส่งคำพูดทางโทรจิตของเขาไปหาหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงหัวเราะร่วนขึ้นทันทีและพูดว่า “การที่เจ้าดูดซับเจตจำนงกระบี่ได้นั้นไม่ใช่เรื่องของข้า ข้าเคยบอกเจ้าเมื่อไหร่ว่าข้าคือเทพกระบี่?”
“ตะ ตะแต่ท่านรู้จักเต๋ากระบี่ของเทพกระบี่นี่นา?” ตงฟางจุนรีบพูด
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ข้าก็แค่รู้มาจากคนรู้จักเท่านั้น”
“เอ่อ…ผู้อาวุโส งั้นนี่มันก็หมายความว่าข้าคือเทพกระบี่กลับชาติมาเกิดงั้นเหรอ?” ตงฟางจุนตะลึง
“อาจจะ!” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ
เขาไม่สามารถบอกได้ว่าเด็กคนนี้เป็นทาสกระบี่ของเขาที่กลับชาติมาเกิดรึเปล่า เนื่องจากบุคลิกของเขาแตกต่างจากทาสกระบี่อย่างสิ้นเชิง พูดง่าย ๆ ก็คือนิสัยร่าเริงของตงฟางจุนไม่ใช่สิ่งที่ทาสกระบี่เคยเป็น
ในสายตาของเขา ทาสกระบี่เป็นชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์ในเต๋ากระบี่เหนือล้ำกว่าใครทุกคนที่เขาเคยเจอ และยังมีบุคลิกที่เคร่งขรึมมาก
อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งตัวเขาเองยังกลับมาเกิดใหม่เพื่อเริ่มเส้นทางการบ่มเพาะใหม่ได้เลย ดังนั้นมันอาจจะเป็นไปได้ที่ทาสกระบี่อาจจะกลับมาเกิดใหม่เพื่อลืมอดีตและเริ่มเส้นทางบ่มเพาะใหม่ได้เช่นกันจริงไหม?
ภายใต้การจ้องมองของผู้คนกลุ่มอื่นที่อยู่รอบ ๆ กลุ่มของหลิงตู้ฉิงและตงฟางจุนก็ค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่สำนักวิญญาณโลหิต
แต่เดิมสำนักวิญญาณโลหิตนั้นคือหนึ่งในสำนักมหาอำนาจที่ดำรงอยู่มาเป็นเวลานานและที่ใต้พื้นดินของที่ตั้งสำนักนั้นยังคงมีพลังแห่งมหาเต๋าของสำนักไหลเวียนค้ำจุนอยู่ ซึ่งอันที่จริงหากไม่เป็นเพราะมันถูกเจตจำนงหลายรูปแบบของเหล่าผู้ทำลายผนึกเอาไว้ ป่านนี้สำนักวิญญาณโลหิตก็คงฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิมได้ไปนานแล้ว
ดังนั้นในตอนนี้ที่ตงฟางจุนได้ดูดซับเจตจำนงกระบี่ที่ประตูทางเข้าของสำนักวิญญาณโลหิตไปแล้ว ประตูที่ถูกผนึกเอาไว้มันจึงเริ่มกลับมาฟื้นฟูกลายเป็นสภาพปกติที่มันควรเป็นดังเดิม
แต่แล้วด้วยเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจึงถูกบอกเล่าส่งต่อไปยังหูของคนอีกหลาย ๆ คนอย่างรวดเร็ว
“เทพกระบี่กลับชาติมาเกิดจริงงั้นหรือ?” หลายคนถามขึ้น
คนที่ได้รับรู้ข่าวนี้มันมีทั้งคนที่เคารพบูชา คนที่ชิงชังและผู้คนที่มึนงง…
ณ สถานที่แห่งหนึ่งในเมืองวิญญาณโลหิต กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งได้มารวมตัวกันด้วยสีหน้าจริงจัง
ผู้นำกลุ่มพูดก่อนเป็นคนแรกว่า “ทุกคนคิดว่าเราควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?”
“ทำอย่างไรงั้นเหรอ?” ชายผู้หนึ่งที่อยู่ในกลุ่มเอ่ยขึ้น “สำนักวิญญาณโลหิตของเราถูกมันผนึกไว้มาหลายหมื่นปีจนในอดีตที่เราเคยเป็นสำนักชั้นนำ แต่ในตอนนี้เรากลับกลายเป็นเหมือนคนไร้บ้าน! ในเมื่อมันกล้าที่จะกลับชาติมาเกิด เราก็ต้องคิดบัญชีกับมันให้สาสมกับความแค้นที่มันเคยทำกับเราไว้เมื่อหลายหมื่นปีก่อน ถึงแม้ในตอนนั้นพวกเราจะเอาชนะมันไม่ได้และโดนมันทำลายสำนักซะจนย่อยยับ แต่ในตอนนี้ข้าไม่เชื่อว่าไอ้สารเลวที่เพิ่งกลับชาติซึ่งในตอนนี้ยังเป็นแค่เด็กลิ้นไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นนี้ พวกเราจะไม่สามารถทำอะไรมันได้!”
“แต่ว่าโดยปกติแล้วตัวตนระดับเช่นมันคงไม่สามารถฆ่าให้ตายอย่างถาวรได้ อย่างดีที่สุดที่เราจะทำได้ก็คงเป็นการส่งมันกลับไปเกิดมาเป็นคนใหม่อีกครั้งก็แค่นั้น” หญิงสาวชุดแดงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันมีเสน่ห์
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ส่งมันไปเกิดใหม่สักรอบก็ได้ อย่างน้อย ๆ มันก็ถือว่าให้เราได้ระบายแค้นบ้างสักครั้ง” ชายหน้าเศร้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน
อย่างไรก็ตาม ชายชราที่มีเคราแพะส่ายหัวอย่างต่อเนื่องและไม่เห็นด้วย “ข้าเข้าใจว่าความเกลียดชังเป็นสิ่งที่ยากจะลืมเลือน แต่ตอนนี้เราต้องคำนึงถึงแผนการของเราก่อนเป็นอันดับแรก พวกเจ้าอย่าลืมว่าสำนักวิญญาณโลหิตของเราถูกผนึกมาเป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้วและทรัพยากรของเราก็ถูกผนึกอยู่ข้างในนั้นเช่นกัน ทรัพยากรเหล่านั้นล้วนถูกผนึกโดยเจตจำนง แม้ว่าเราจะสามารถนำพวกมันออกมาใช้ได้บ้างด้วยวิธีการพิเศษของเราแต่มันก็น้อยเกินไป แต่ในเมื่อตอนนี้มีคนที่สามารถทำให้เจตจำนงเหล่านั้นหายไปได้ ดังนั้นแม้ว่าเราจะต้องการแก้แค้น แต่เราก็ควรที่จะรอเวลาให้ไอ้คนผู้นั้นมันทำให้เจตจำนงหายไปให้หมดซะก่อน และเมื่อเราเอาของเหล่านั้นของเรากลับคืนมาได้เราค่อยจัดการกับมันทีหลังก็ไม่สาย!”
เด็กสาวคนแคระอีกคนพยักหน้าเช่นกัน “ข้าคิดว่าคำแนะนำของศิษย์พี่เหริ่นนั้นดีมาก ในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการยืมมือมันดูดซับเจตจำนงกระบี่ให้หมดไป จากนั้นก็แย่งชิงทรัพยากรของพวกเรากลับคืนมา”
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านคิดว่ายังไง?” ทุกคนหันไปมองคนที่คนเป็นผู้นำ
ผู้นำถอนหายใจและพูดว่า “สำนักวิญญาณโลหิตของเรา…หลังจากผ่านไปหลายหมื่นปีข้าเกรงว่าจะไม่มีใครจำได้ว่าเราเป็นใคร นอกจากที่ตั้งของสำนักเราเท่านั้น! หากจะพูดถึงการแก้แค้นมันคงเป็นเรื่องยากที่จะทำเช่นนั้น เนื่องจากอีกฝ่ายคือเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิด ตัวตนระดับนี้ที่มาเกิดใหม่พวกเจ้าคิดว่าเขาจะไม่มีแผนสำรองเผื่อทางรอดเลยงั้นหรือ?”
“เจ้าคิดว่าถ้าเขาดูดซับเจตจำนงกระบี่เข้าไปแล้ว เขาจะไม่สามารถนำมันออกมาใช้ได้อีกงั้นหรือ? แล้วถ้าเขาใช้เจตจำนงกระบี่นั้นขึ้นมาอีกรอบข้าอยากถามว่ามีใครบ้างที่สามารถขัดขวางเขาได้? พวกเจ้าเอาแต่พูดว่าต้องการแก้แค้น แต่มีใครที่สามารถต่อต้านเจตจำนงกระบี่นั้นได้บ้าง?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหล่าผู้คนที่ต้องการแก้แค้นก็ทำได้แต่นิ่งเงียบ หากเขาสามารถต้านทานมันได้ เขาคงจะเป็นคนถอนเจตจำนงกระบี่ออกไปด้วยตัวเองนานแล้ว
ชายที่เป็นผู้นำพูดต่อ “นอกจากเรื่องของเจตจำนงกระบี่แล้ว พวกเจ้าลืมกันไปแล้วงั้นเหรอว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกหลานของตระกูลตงฟางแห่งสำนักวิญญาณกระบี่! ด้วยสภาพปัจจุบันของเรา พวกเจ้ากล้าที่จะสังหารเด็กที่ได้รับตำแหน่งเป็นโอรสสวรรค์ของตระกูลตงฟางงั้นเหรอ? หากพวกเราทำเช่นนั้นจริง พวกเราทุกคนจะต้องถูกตามคิดบัญชีจนไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว และเมื่อถึงเวลานั้นสำนักวิญญาณโลหิตก็จะหายไปอย่างแท้จริง!”
ยิ่งได้ยินเช่นนี้คนอื่น ๆ ต่างนิ่งเงียบไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่อ
“ในเมื่อเราอดทนมากันได้ขนาดนี้แล้วเราก็ต้องอดทนกันต่อไปเพื่อรอเวลาโอกาสที่พวกเราจะได้กลับมาผงาดอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเราจะต้องอดทนต่อไปด้วยความรู้สึกอดสูก็ตาม!” ผู้นำพูดขึ้นด้วยสีหน้าแน่วแน่ “แต่มันก็ยังมีความเป็นไปได้อื่น ๆ อีก ซึ่งมันก็คือเด็กคนนี้อาจไม่ใช่เทพกระบี่กลับชาติมาเกิดก็ได้ มันอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่เขาสามารถดูดซับเจตจำนงกระบี่ของเทพกระบี่ได้ แต่ไม่ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันจะเป็นเพราะอะไร สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขาจะเปิดผนึกของสำนักของเราได้ไม่มากก็น้อย”
“ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเราต้องรู้ก่อนว่าเจตนาของพวกเขาคืออะไร มิตรหรือศัตรู? เพื่อที่เราจะได้วางแผนรับมือต่อไปกันได้ถูก เราจะต้องส่งคนของเราไปทดสอบปฏิกิริยาของพวกเขา”
“หากพวกเขาเป็นศัตรูคนที่เราส่งไปจะต้องตาย ดังนั้น มีใครในพวกเจ้าที่จะอาสารับหน้าที่นี้บ้าง? แน่นอนว่าถ้าหากพวกเขาเป็นมิตรคนที่อาสาไปจะได้รับผลตอบแทนเป็นอย่างงาม เมื่อถึงเวลาที่พวกเราคลายผนึกคลังสมบัติได้แล้ว”
คนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากันไปมา มีใครบ้างที่ไม่กลัวตาย?
แต่หลังจากนั้นไม่นาน สาวคนแคระก็ถอนหายใจและพูดว่า “เฮ้อ งั้นข้าไปเอง! ที่ผ่านมาข้าเองก็มีชีวิตอยู่กับความเจ็บปวดมาตลอดเพราะการฝึกวิชาที่ผิดพลาดของข้าในอดีต ดังนั้นต่อให้ข้าจะตายไปมันก็ถือว่าข้าได้ปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บปวดล่ะนะ”
เมื่อเห็นเช่นนี้ทุกคนในกลุ่มก็พูดว่า “หนิงฉิง เราจะรอข่าวดีของท่าน”
สาวแคระพยักหน้า จากนั้นร่างของนางก็กลายเป็นแสงสีเลือดก่อนจะหายไปจากสายตาของทุกคน