พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 499 การกลับมาของสำนักวิญญาณโลหิต
หนิงฉิงเหม่อมองไปที่เหล่าซากปรักหักพังที่กำลังฟื้นตัว โดยไม่รู้จะเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ได้
หลังจาก ‘กระบี่แห่งการทำลายล้าง’ ถูกดูดซับไป เจตจำนงกระบี่ที่เคยผนึกมหาเต๋าที่เป็นรากฐานของสำนักวิญญาณโลหิตก็ถูกลบล้างไปเช่นกัน ส่งผลให้มหาเต๋าที่เคยค้ำจุนสำนักนั้นเริ่มที่จะสำแดงอำนาจของมันอีกครั้งโดยการฟื้นฟูอาคาร พืชพรรณ สมุนไพรและทุกสิ่งทุกอย่างที่สำนักวิญญาณโลหิตเคยมีให้กลับมาเป็นเหมือนตอนก่อนที่มันจะถูกทำลาย
“ในที่สุดสำนักวิญญาณโลหิตของข้าก็ฟื้นฟูกลับมา!” หนิงฉิงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้
นับตั้งแต่ที่สำนักวิญญาณโลหิตของนางถูกทำลาย นางและพวกของนางก็กลายเป็นเหมือนสุนัขจรจัดไร้บ้าน หรือแม้ว่านางและพวกของนางจะมีบ้าน แต่มันก็เป็นบ้านที่พวกนางก็ไม่กล้ากลับไปอยู่
แต่ตอนนี้ในที่สุดนางและพวกของนางก็สามารถกลับมาบ้านของตนเองได้แล้ว!
ในตอนนี้ หลิงตู้ฉิงมองไปที่ฉากที่คุ้นเคยตรงหน้าเขาโดยไม่ได้พูดอะไร
ในอดีตสถานที่แห่งนี้ได้ถูกสั่งสอนโดยน้ำมือของเขาและผู้ติดตามของเขา ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับสภาพตอนก่อนหน้าที่มันจะถูกถล่ม
แต่ด้วยความโชคดีที่ถึงแม้สำนักวิญญาณโลหิตจะมีความบาดหมางกับเขา แต่ความบาดหมางที่มีต่อกันมันก็ไม่ได้หยั่งลึกมากสักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงทำแค่สั่งสอนโดยการผนึกสำนักวิญญาณโลหิตเอาไว้โดยที่ไม่ได้ทำลายมหาเต๋าที่คอยค้ำจุนสำนักนี้ให้สิ้นซาก
ตอนนี้หลังจากเจตจำนงกระบี่ถูกลบออกไป ภูเขาที่เป็นส่วนพื้นที่ด้านหน้าของสำนักวิญญาณโลหิตก็ได้ฟื้นตัวแล้ว
“นายท่าน นี่คือสำนักวิญญาณโลหิตที่เคยรุ่งเรืองเมื่อหลายหมื่นปีงั้นเหรอ?” หมิงยู่ถามขึ้นพร้อมกับคิดในใจ
นี่หรือสำนักวิญญาณโลหิตที่นางจะต้องควบคุมในอนาคต?
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “หนึ่งในสาม ที่นี่ยังไม่ฟื้นฟูอย่างเต็มตัว!”
หยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียวที่ยืนอยู่ด้านข้างเมื่อเห็นภาพของสำนักอันยิ่งใหญ่ปรากฎขึ้นตรงหน้า พวกนางก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรต่อ พวกนางไม่เคยเห็นสำนักมหาอำนาจมาก่อน ดังนั้นเมื่อตอนนี้ที่พวกนางได้เห็นแค่ส่วนหนึ่งของมัน มันก็เพียงพอที่จะทำให้พวกนางรู้สึกตื่นตาเป็นอย่างมาก
ในทางกลับกัน เย่ชิงเฉิงและโม่เอ๋อดูเหมือนจะไม่มีความรู้สึกรู้สาอะไรสักเท่าไหร่ เนื่องจากสำนักของพวกนางเองก็เป็นสำนักมหาอำนาจเช่นกัน ดังนั้นสภาพแวดล้อมแบบนี้พวกนางจึงเคยเห็นมาอย่างชินตาตั้งแต่เกิด
ในขณะที่สำนักวิญญาณโลหิตค่อย ๆ ฟื้นตัวและสิ่งของล้ำค่าต่าง ๆ เริ่มปรากฏขึ้นให้ได้เห็น มันจึงทำให้ใครหลาย ๆ คนตอนนี้อยากครอบครองมันขึ้นมาทันที
ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้บริเวณภูเขาที่อยู่ในสำนักนั้นโล่งเตียนไม่มีพืชพรรณใด ๆ หลงเหลืออยู่แม้แต่ต้นเดียว แต่ในตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยสมุนไพรหายากต่าง ๆ มากมาย ซึ่งดูเหมือนว่าพวกมันนั้นไร้เจ้าของ ดังนั้นแค่เพียงสมุนไพรพวกนี้เพียงอย่างเดียวมันก็พอทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนกรูกันมาที่สำนักวิญญาณโลหิต
ภาพเหตุการณ์นี้มันทำให้ผู้เชี่ยวชาญทุกระดับการบ่มเพาะจำนวนมากรีบวิ่งออกมาจากเมืองวิญญาณโลหิต หรือแม้แต่คนบางกลุ่มที่แม้จะอยู่ในที่ห่างไกลก็รีบตรงดิ่งมาที่สำนักวิญญาณโลหิตเช่นกันหลังจากได้ข่าว
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หนิงฉิงก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันที นางรีบพูดกับหลิงตู้ฉิงว่า “นายท่าน ข้าขอตัวไปแจ้งให้ศิษย์คนอื่นรู้ก่อน”
เดิมทีหน้าที่ของนางคือการทดสอบทัศนคติของเทพกระบี่ที่มีต่อสำนักวิญญาณโลหิตของนาง แต่เมื่อตอนนี้เทพกระบี่ได้นำ ‘กระบี่แห่งการทำลายล้าง’ ที่ผนึกสำนักของนางออกไปมันก็กลายเป็นว่ามันไม่มีความจำเป็นจะต้องไปพยายามทดสอบอะไรเทพกระบี่อีกแล้ว ดังนั้นหน้าที่ของนางในตอนนี้จึงเปลี่ยนไปเป็นการทำให้สำนักวิญญาณโลหิตกลายเป็นบ้านของพวกนางอีกครั้งหนึ่งเหมือนเดิม
หากใครกล้าที่จะขัดขวางโอกาสของพวกนางอีกรอบ พวกมันย่อมจะกลายเป็นศัตรูกับสำนักวิญญาณโลหิตของนางอย่างถาวร
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าเหตุการณ์ใหญ่ขนาดนี้ที่เกิดขึ้นที่นี่ พรรคพวกของเจ้าจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยงั้นเหรอ? นอกจากนี้พื้นที่ที่ถูกปลดผนึกมันก็แค่พื้นที่ของภูเขาด้านหน้าเท่านั้นเจ้าจะรีบดีใจไปทำไมกัน? เอาล่ะเจ้าจงตามข้ามาก่อน ต่อไปเราจะไปกันที่หอคัมภีร์ เพื่อช่วยเจ้าหาวิธีบ่มเพาะวิชามหาโลหิตแปรเปลี่ยนที่ถูกต้อง!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนิงฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าลังเล “แต่ว่านายท่าน ถ้าหากท่านพูดว่ามีแค่เพียงพื้นที่ภูเขาด้านหน้าที่ถูกปลดผนึก ถ้างั้นหอคัมภีร์ก็คงยังถูกปิดผนึกอยู่เช่นกัน”
“ข้ารู้ แต่ข้าเปิดผนึกมันได้” หลิงตู้ฉิงตอบ
“เอ่อ…นายท่าน…” หนิงฉิงมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้างุนงง
หลิงตู้ฉิงพูดว่า “ไปกันเถอะ!”
หลังจากที่พูดจบ หลิงต็ฉิงก็นำทุกคนมุ่งหน้าไปยังหอคัมภีร์ของสำนักวิญญาณโลหิต
และทันทีที่พวกเขาเข้าไปถึงพื้นที่ด้านหลังภูเขา พวกเขาก็พบว่าพวกเขาได้พบกับฉากที่แตกต่างไปจากเดิม มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับด้านหน้าภูเขา
เนื่องจากด้านหน้าของภูเขามีแต่ซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างจำนวนมากในขณะที่ด้านหลังนั้นเต็มไปด้วยพืชพรรณต่าง ๆ นานา มากมายที่เขียวชอุ่มและดูเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต
และที่สำคัญที่นี่มันเต็มไปด้วยผีเสื้อหลากสีบินไปทั่วป่าราวกับว่าที่นี่คือสรวงสวรรค์
แต่ในทางกลับกันดวงตาของหนิงฉิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อมองเห็นสิ่งที่คนนอกมองว่ามันคือสรวงสวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเห็นผีเสื้อหลากสีที่บินเข้ามาหาพวกเขา
“ป่านี้…” เย่หยูหลันพึมพำออกมาเบา ๆ พร้อมกับคิดอะไรบางอย่างในใจ
หนิงฉิงเหลือบมองไปที่เย่หยูหลัน และพูดว่า “พวกเขาคือผู้อาวุโสผีเสื้อ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เย่หยูหลันหายใจเข้าลึกพร้อมกับเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังและไม่พูดอะไรต่อ ส่วนทางด้านของเย่ชิงเฉิงก็ดูเคร่งขรึมเช่นกันและไม่พูดอะไรสักคำ
หลิงตู้ฉิงที่เดินอยู่ข้างหน้าทุกคนในตอนนี้มีผีเสื้อสีเทาตัวหนึ่งได้มาเกาะอยู่ที่หน้าอกของเขา
เมื่อผีเสื้อสีเทาได้มาเกาะอยู่ที่หน้าอกของเขา มันก็กระพือปีกดูคล้ายกับร่าเริงเป็นอย่างมาก
ทางด้านของหลิงตู้ฉิงก็มองไปที่ผีเสื้อด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เขาเดินต่อไปเข้าไปในป่าด้านหลังภูเขาอย่างช้า ๆ
เมื่อเทียบกับสรวงสวรรค์ที่ด้านหลังภูเขา สถานการณ์ที่ด้านหน้าภูเขานั้นอยู่ในสภาพสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก
เนื่องจากในตอนนี้ได้มีผู้คนมากมายกำลังพยายามแก่งแย่งเหล่าสมุนไพรต่าง ๆ ที่ปรากฎขึ้น จนถึงขั้นสู้รบแตกหักล้มตายกันไปบ้างก็มี
ดังนั้นเมื่อยิ่งเวลาผ่านไปนานขึ้น มันก็เริ่มมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจากสถานการณ์นี้มากขึ้น พร้อมกับอาคารบางส่วนที่พึ่งฟื้นฟูขึ้นมาในตอนนี้ก็ได้กลับกลายไปเป็นซากปรักหักพังตามเดิมจากการต่อสู้ของเหล่าผู้คนที่พยายามแย่งของล้ำค่ากัน
แต่มันก็น่าแปลกที่แม้ว่าอาคารจะถูกทำลายไปสักกี่ครั้งเมื่อผ่านไปเพียงชั่วครู่ ซากแตก ๆ ที่หักเทลงมามันก็จะค่อย ๆ เริ่มฟื้นตัวขึ้นอีกรอบอย่างช้า ๆ
ในขณะที่เหล่าผู้คนกำลังต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง เสียงเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย “พวกเจ้าต่อสู้แย่งของกัน พวกเจ้าเคยถามเหล่าเจ้าของพวกมันไหมว่าเห็นด้วยหรือไม่?”
“เจ้าของบ้าบออะไร? ไสหัวไปซะ!” ชายชราผู้หนึ่งตะคอกขึ้นพลางหันหน้าไปหาชายที่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกเมื่อครู่
ซึ่งเมื่อหันไปชายชราก็ตระหนักได้ว่าชายที่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกเป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าซีดเซียว จากนั้นเขาจึงชกหมัดออกไปทันทีโดยหวังสั่งสอนฝั่งตรงข้าม
ซึ่งหลังจากที่ชายชราปล่อยหมัด ชายวัยกลางคนก็รู้ได้ทันทีว่าฝั่งตรงข้ามอยู่ในระดับนภาคราม
อย่างไรก็ตามชายวัยกลางคนไม่ได้หลบ เขาปล่อยหมัดของชายชราโดนร่างกายของเขา ซึ่งจากนั้นหมัดของชายชราก็เจาะทะลุร่างของเขาเข้าไป
จากนั้นเรื่องแปลกประหลาดก็ได้เกิดขึ้น เนื่องจากถึงแม้ว่าร่างของชายวัยกลางคนจะถูกต่อยจนทะลุแต่เขากลับไม่ตาย ส่วนทางด้านของชายชราในตอนนี้เขากลับไม่สามารถดึงหมัดของตัวเองออกมาจากร่างของชายวัยกลางคนได้เช่นกัน
ชายวัยกลางคนหน้าซีดที่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าคงลืมไปแล้วว่าที่นี่คือที่ไหนใช่ไหม? เจ้าถึงกล้าไล่ข้าให้ไสหัวออกไป? งั้นข้าจะเตือนสติของเจ้าอีกรอบก็แล้วกัน สถานที่แห่งนี้คือสำนักวิญญาณโลหิตของพวกข้า!”
เมื่อฟังจบ ชายชราก็รู้สึกได้ทันทีว่าจู่ ๆ เลือดของเขาก็พุ่งกระฉูดไปที่ชายวัยกลางคนที่หน้าซีดเผือด
ชายชราที่เห็นภาพเช่นนี้ก็ตะโกนร้องด้วยความตกใจทันที “วิชามหาเวทย์สูบโลหิต! เจ้าคือคนของสำนักวิญญาณโลหิต!”
ขณะนี้มือของเขาถูกดูดเข้าไปในร่างกายของชายวัยกลางคนอย่างแน่นหนาจนไม่สามารถหลุดพ้นได้เลย
จากนั้นเลือดในร่างกายของเขาก็ไหลอย่างรุนแรงออกจากมือเข้าไปในร่างของชายวัยกลางคน
เมื่อสัมผัสได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันถึงขั้นวิกฤต ชายชราจึงรีบตัดแขนของตัวเองและรีบบินถอยห่างออกไปหลายร้อยเมตรในพริบตา
“สำนักวิญญาณโลหิตของเจ้ากล้าโผล่หน้ามาได้อย่างไร?” ชายชรายระดับนภาครามมองไปที่ชายวัยกลางคนด้วยความตกใจ
“ก็ในเมื่อเทพกระบี่อนุญาต พวกข้าก็ต้องกล้ากลับมาอยู่แล้ว!” เสียงพูดหนึ่งดังกึกก้องขึ้นพร้อมกับที่ทันใดนั้นร่างที่คล้ายกับถูกย้อมไปด้วยเลือดก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า “ในเมื่อตอนนี้พวกข้าได้กลับมาแล้ว นั่นก็แปลว่าตอนนี้สำนักวิญญาณโลหิตกลับมามีผู้ครอบครองเช่นเดิม นับจากนี้ที่นี่จะไม่ใช่สถานที่ที่พวกเจ้าจะมาก็มาจะไปก็ไปได้ตามใจอีกต่อไป!”
“คารวะท่านเจ้าสำนัก!” ชายวัยกลางคนโค้งคำนับ
ร่างที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดพยักหน้าเล็กน้อยและตะโกนไปยังเหล่าผู้คนที่อยู่ด้านล่างว่า “จงไสหัวออกไปซะ! เนื่องจากพวกข้าพึ่งกลับมา ดังนั้นพวกข้าจะยังไม่เอาเรื่องพวกเจ้าที่บุกเข้ามาในสำนักของข้า แต่หลังจากนี้หากยังมีพวกเจ้าคนไหนที่กล้าเข้ามาในสำนักวิญญาณโลหิตของข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้าจะถือว่าพวกเจ้าทุกคนตั้งใจที่จะเป็นศัตรูกับสำนักวิญญาณโลหิต!”
เมื่อฟังร่างที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดพูดจนจบ ผู้คนที่ต่อสู้กันทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็รีบบินออกจากสำนักวิญญาณโลหิตทันที
เจ้าสำนักวิญญาณโลหิตนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน
การกระทำเช่นนี้ของร่างที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดนั้นมีความหมายแอบแผงอย่างหนึ่งก็คือเขาต้องการให้คนเหล่านี้ที่จากไปได้ออกไปป่าวประกาศให้คนภายนอกรู้ว่า สำนักวิญญาณโลหิตของพวกเขากลับมาแล้ว!