พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 505 ร่างโลหิตอมตะ
เมื่อได้ยินคำพูดของหมิงยู่ เว่ยกวนและคนอื่น ๆ ก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตางุนงง
พวกเขางุนงงเป็นอย่างมากว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณมีความเป็นมายังไงกันแน่?
ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าสำนักของพวกเขาถึงขนาดเรียกหลิงตู้ฉิงว่า นายท่าน ? ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันเป็นแบบนี้ได้ยังไง?
“เอ่อ…นายท่าน เจ้าสำนักยังอยู่ในระหว่างควบแน่นร่างโลหิตอมตะ ทำไมเราไม่ไปรอท่านเจ้าสำนักที่ห้องโถงใหญ่ก่อนล่ะ?” เว่ยกวนถาม
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่จำเป็นนางจะออกมาในไม่ช้า หมิงยู่ เจ้ารู้เคล็ดลับที่แท้จริงของแก่นแท้ในการฝึกฝนวิชาโลหิตอมตะแล้วรึยัง? เทพโลหิตก่อเกิด มหาเต๋าไม่มอดดับ ทะเลโลหิตไม่เหือดแห้ง โลหิตอมตะคงอยู่ตลอดกาล!”
“ขอบคุณนายท่านที่ชี้แนะ!” เสียงร่าเริงของหมิงยู่ดังมาจากทะเลโลหิต
จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ร่างของหมิงยู่ก็ค่อย ๆ โผล่ออกมาจากทะเลโลหิตพร้อมกับที่นางใช้พลังแห่งโลหิตสร้างชุดยาวสีแดงห่อหุ้มร่างกายของนาง
เมื่อร่างกายของนางโผล่พ้นทะเลโลหิตทั้งร่าง นางก็ค่อย ๆ เดินเหนือผิวทะเลเข้ามายังชายฝั่งราวกับว่านางกำลังเดินอยู่บนพื้นดิน ในระหว่างที่นางเดินจากกระแสน้ำทะเลโลหิตที่ปั่นป่วนก็กลายเป็นสงบนิ่งลงอย่างน่าแปลกประหลาด
เมื่อเห็นเช่นนี้บรรดาผู้คนต่างมองไปที่ร่างของหมิงยู่ และจากนั้นก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยอาการตกตะลึง
คนผู้นี้รู้แก่นแท้ของเคล็ดลับในการฝึกวิชาโลหิตอมตะได้ยังไง? นี่มันไม่ใช่ความลับของสำนักวิญญาณโลหิตของพวกเขาที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมางั้นเหรอ?
เว่ยกวนส่งโทรจิตของเขาไปยังหนิงฉิง และถามว่า “หนิงฉิง เจ้าสำนักได้รับวิชาโลหิตอมตะจากหอคัมภีร์จริง ๆ งั้นเหรอ? เจ้าเห็นกับตาตัวเองรึเปล่า?”
หนิงฉิงขมวดคิ้วและตอบกลับว่า “ผู้อาวุโสเว่ย ตามความทรงจำของข้า ข้านึกได้แค่ว่าเจ้าสำนักได้รับวิชาโลหิตอมตะจากหอคัมภีร์”
เว่ยกวนพยักหน้าพลางครุ่นคิด
ความทรงจำของนางเชื่อถือได้จริงไหม?
เพราะหากเป็นเขา ด้วยการระดับการบ่มเพาะของเขา เขาสามารถใช้จิตสำนึกจักรพรรดิของตนเองเพื่อลบความทรงจำของใครก็ได้ที่อยู่ในขอบเขตสวรรค์ทั้งหมด
ถ้าอย่างนั้นความทรงจำของนางก็อาจจะถูกลบและแก้ไขใหม่ ซึ่งมันคงเชื่อถือไม่ได้เต็มสิบส่วนแน่นอน แล้วยิ่งบวกกับเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เขาเห็นตรงหน้าด้วยแล้วมันยิ่งไม่น่าเชื่อถือได้เข้าไปกันใหญ่
ทางด้านของเย่ชิงเฉิงและเย่หยูหลัน ขณะนี้พวกนางต่างก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาสงสัย
ท่านรู้วิชาโลหิตอมตะได้ยังไง? ท่านเป็นใครกันแน่?
ในเวลานี้ หมิงยู่ได้เดินมาถึงหน้าหลิงตู้ฉิงพร้อมกับโผเข้ากอดและพูดว่า “นายท่านร่างกายที่แท้จริงของข้าได้หลอมรวมกับทะเลโลหิตแล้ว ข้าเกรงว่าข้าคงจะไม่สามารถมอบมันให้ท่านได้อีกต่อไป แต่ข้าจะใช้ร่างจำแลงโลหิตอมตะนี้ติดตามและรับใช้ท่านตลอดไป!”
ร่างกายที่แท้จริงของนางกลายเป็นหนึ่งเดียวกับทะเลโลหิตแล้ว หากทะเลโลหิตไม่เหือดแห้ง นางก็จะสามารถสร้างร่างจำแลงขึ้นมาได้เรื่อย ๆ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือนางไม่มีวันตาย!
ซึ่งการที่จะทำให้ทะเลโลหิตแห้งไปนั้น มันหมายถึงมหาเต๋าของสำนักจะต้องถูกทำลายหรือถูกผนึก และแน่นอนว่าการทำลายหรือผนึกมหาเต๋าแห่งโลหิตนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้
ร่างของนางในตอนนี้เป็นเพียงแค่ร่างจำแลงโลหิตอมตะที่ถูกควบแน่นขึ้นมา ส่วนร่างที่แท้จริงของนางนั้นมันจะยังไม่ปรากฎขึ้นนอกซะจากมันจะถึงที่นางสามารถแบกรับอำนาจมหาเต๋าแห่งโลหิตได้ทั้งหมด จากนั้นร่างที่แท้จริงของนางจึงจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “อืม พวกเราไปกันเถอะ!”
เขาพอใจมากกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อหน้าโดยเฉพาะที่ร่างโลหิตอมตะของหมิงยู่ในตอนนี้มีระดับการบ่มเพาะทะลวงไปถึงระดับนภาคราม
ทางด้านของคนอื่น ๆ มองไปที่เจ้าสำนักของพวกเขาที่เกาะเกี่ยวอยู่บนร่างของหลิงตู้ฉิง โดยที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
หมิงยู่เหลือบมองศิษย์สำนักวิญญาณโลหิตคนอื่น ๆ และหัวเราะ “ตอนนี้ร่างของข้าที่พวกเจ้าเห็นมันเป็นเพียงร่างจำแลงโลหิตอมตะเท่านั้น ร่างที่แท้จริงของข้ายังอยู่ในทะเลโลหิต ซึ่งข้าจะใช้ร่างนี้ติดตามนายท่านไปในภายภาคหน้า แต่ถ้าหากพวกเจ้าต้องการสิ่งใดจากข้าในอนาคตเพียงแค่มาที่ทะเลโลหิตแล้วเรียกหาข้าก็พอ”
“และเนื่องจากข้าได้ใช้พลังทั้งหมดของข้าในตอนนี้ไปเพื่อสร้างร่างโลหิตอมตะร่างแรกไปแล้ว ร่างโลหิตอมตะร่างที่สองอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายสิบปีในการสร้างขึ้น ดังนั้นตอนนี้ สำนักวิญญาณโลหิตของเราจะอยู่ในสถานะ ‘ไร้เจ้าสำนักประจำการ’ ไปก่อน และเรารอจนกว่าร่างโลหิตอมตะที่สองของข้าจะถูกสร้างขึ้น”
“เจ้าสำนัก!” เว่ยกวนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหมดหนทาง
ในตอนนี้พวกเขาต่างรู้สึกว่าจ้าสำนักคนนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ พอร่างโลหิตอมตะแรกสร้างขึ้นเสร็จ นางกลับไม่อยู่ดูแลสำนักแต่กลับจะออกไปติดตามใครก็ไม่รู้?
เมื่อเห็นว่าเหล่าคนของนางเริ่มแสดงสีหน้ากังวล หมิงยู่ก็พูดย้ำขึ้นว่า “นี่คือคำมั่นสัญญาที่ข้าได้เคยพูดไว้กับนายท่านของข้า!”
ตั้งแต่แรกเริ่ม อาจารย์ของนางได้มอบนางให้กับหลิงตู้ฉิงไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมันหมายความว่านางคือคนของเขา ต่อให้ถึงแม้ว่าตอนนี้นางจะกลายเป็นเจ้าสำนัก นางก็ยังคงเป็นคนของเขาแบบนี้เหมือนเดิมแบบในอดีตและในอนาคตก็จะเป็นเช่นเดียวกัน
“นอกจากนี้ในฐานะที่นายท่านช่วยสำนักวิญญาณโลหิตของเรา ข้าได้สัญญาไว้แล้วว่านายท่านสามารถนำส่วนหนึ่งของสมบัติวิเศษในสำนักไปได้” หมิงยู่พูดต่อ
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ บรรดาคนอื่น ๆ เริ่มไม่พอใจและพยายามห้ามปรามทันที “เจ้าสำนัก…”
“ข้าเป็นเจ้าสำนัก ข้าต้องรักษาคำพูด!” หมิงยู่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นอกจากนี้ต่อให้พวกเจ้าไม่พอใจ งั้นข้าขอถามพวกเจ้าหน่อย พวกเจ้าสามารถเปิดผนึกที่บรรพบุรุษของสำนักเราทิ้งไว้ได้รึเปล่า?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้คนอื่น ๆ หยุดพูดกันทันที เนื่องจากพวกเขาเองก็รู้ดีว่าพวกเขาไม่สามารถเปิดผนึกเหล่านั้นได้ ดังนั้นแม้ว่าหลิงตู้ฉิงต้องการจะเอาอะไรออกไปเขาก็คงจะทำไม่ได้เช่นกัน
เมื่อเห็นว่าคนอื่นหยุดพูดแล้ว หมิงยู่จึงยิ้มให้กับหลิงตู้ฉิง “นายท่าน ข้าขอความช่วยเหลือจากท่านในการเปิดผนึกที่บรรพบุรุษของเราสร้างไว้ได้ไหม? ข้ารู้ว่านายท่านของข้าต้องมีวิธีเปิดมันอย่างแน่นอน”
ถึงแม้ว่าความทรงจำของนางจะถูกลบไปมากมาย แต่นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของมหาเต๋าโลหิตที่มีความหวาดกลัวต่อหลิงตู้ฉิง ซึ่งแค่นั้นมันก็เพียงพอทำให้นางมั่นใจแล้ว
บุคคลเช่นนี้จะไม่สามารถเปิดผนึกของสำนักวิญญาณโลหิตได้อย่างไร?
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า เขามองไปที่ผู้คนสำนักวิญญาณโลหิตคนอื่น ๆ และพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าจะแบ่งไปเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น”
บรรดาผู้คนที่ได้ยินเช่นนี้ต่างมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาแปลกประหลาด คนผู้นี้สามารถเปิดผนึกของสำนักวิญญาณโลหิตได้จริง ๆ งั้นหรือ?
จากนั้นในเวลาต่อมาพวกเขาก็ได้เห็นฉากที่น่าขนลุก
หลิงตู้ฉิงเดินเป็นผู้นำกลุ่มมุ่งหน้าไปยังตำหนักโอสถ และจากนั้นเขาก็เริ่มเปิดผนึกที่อยู่ในตำหนักโอสถออกทีละส่วน ๆ นอกจากนี้เขายังทิ้งวิธีการสร้างและวิธีการเดินผ่านผนึกที่เหล่าบรรพบุรุษของสำนักวิญญาณโลหิตใช้กันไว้ให้กับเหล่าผู้คนของสำนักวิญญาณโลหิต เพื่อที่ในอนาคตพวกเขาจะได้สามารถเข้าและออกจากตำหนักโอสถได้อย่างอิสระ
ในเวลานี้บรรดาคนของสำนักวิญญาณโลหิตต่างมองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างตื่นเต้น และอาจพูดได้ว่าพวกเขามองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความเคารพพร้อมกับคิดในใจ
‘นี่คือเจ้าสำนักวิญญาณโลหิตรุ่นก่อนตั้งแต่เมื่อนานมาแล้วซึ่งก็คือบรรพบุรุษของพวกเขาแน่นอน! ไม่น่าแปลกใจที่เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสำนักวิญญาณโลหิต ไม่น่าแปลกใจที่หมิงยู่เชื่อใจคน ๆ นี้มาก ไม่น่าแปลกใจที่เขามาช่วยสำนักวิญญาณโลหิตโดยไม่มีเหตุผล!’
โดยปราศจากคำอธิบายของหลิงตู้ฉิง ความเข้าใจผิดอันยิ่งใหญ่นี้จึงก่อตัวขึ้น
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ผู้เหล่าคนของสำนักวิญญาณโลหิตอย่างทำอะไรไม่ถูก ถ้าคนพวกนี้รู้ความจริงว่าเขาเป็นใคร พวกเขาคงต้องอาเจียนออกมาเป็นเลือดแน่นอนจริงไหม?
แต่แน่นอนว่าเขาคงยังไม่ยอมเปิดเผยตัวตนเร็ว ๆ นี้
หลิงตู้ฉิงเปิดผนึกต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว และในที่สุดก็มาถึงชั้นบนสุดของตำหนักโอสถ
ทุกคนของสำนักวิญญาณโลหิตต่างมองไปที่เม็ดโอสถที่เก็บไว้ที่ชั้นบนสุดของตำหนักโอสถด้วยอาการตื่นเต้นจนแทบจะหลั่งน้ำตา
เว่ยกวนเองก็รู้สึกตื่นเต้นมากเช่นกัน เขาเห็นทั้ง โอสถสร้างกายา โอสถสงบวิญญาณ โอสถขัดเกลาเจตจำนง ซึ่งมีอยู่ที่นี่ทั้งหมด พวกมันคือโอสถพิเศษที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิขึ้นไปต้องการใช้เป็นพิเศษ
นอกจากนี้ยังมีโอสถเม็ดอื่น ๆ อีกที่พวกเขารู้แค่ชื่อเพราะมีชื่อเขียนอยู่ แต่ไม่เคยได้ยินมันมาก่อน
หลิงตู้ฉิงมองไปที่บรรดาโอสถมากมายและยิ้ม “ยังมีโอสถเหลืออยู่เยอะมาก ข้าจะแบ่งมาบางส่วน”
เว่ยกวนรีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคารพว่า “ท่านบรรพบุรุษเชิญเลย ๆ”
ผู้อาวุโสเคราแพะพูดขึ้นเสริมเช่นกันว่า “บรรพบุรุษ ท่านต้องการให้เราช่วยหยิบมันให้ไหม?”
เนื่องจากหลิงตู้ฉิงเป็นบรรพบุรุษของพวกเขา พวกเขาจะไม่เคารพได้อย่างไร? แต่มันก็ยังมีสิ่งที่คาใจพวกเขาอยู่ก็คือ พวกเขาเสียใจที่ทำไมบรรพบุรุษของพวกเขาไม่ยอมอยู่ที่สำนักวิญญาณโลหิตเพื่อคอยชี้แนะการบ่มเพาะให้พวกเขา?
ท่ามกลางการแสดงออกที่เศร้าใจของเหล่าคนของสำนักวิญญาณโลหิต หลิงตู้ฉิงก็ไม่สนใจ เขาค่อย ๆ หยิบโอสถสงบวิญญาณไปบางส่วน โอสถสร้างกายาไปอีกบางส่วน โอสถหยกบริสุทธิ์ 3 เม็ด และโอสถกำหนดเต๋า 3 เม็ด ซึ่งทั้งหมดนี้พวกมันคือโอสถระดับสุดยอดทั้งนั้น
จากนั้นไล่จากชั้นบนลงมาถึงชั้นล่างของตำหนักโอสถ หลิงตู้ฉิงก็ได้หยิบโอสถเพิ่มมาอีกหลากหลายชนิดเช่น โอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์อีกจำนวนหนึ่ง
หลังจากนั้นไม่นานเมื่อหลิงตู้ฉิงเลือกโอสถเสร็จ เขาก็พาทุกคนไปที่ตำหนักยุทธภัณฑ์
ซึ่งขณะนี้บรรดาผู้คนของสำนักวิญญาณโลหิตก็เดิมตามหลิงตู้ฉิงไปอย่างเชื่อฟังราวกับเป็นหลานตัวน้อย ๆ พลางเฝ้าดูหลิงตู้ฉิงหยิบจับสมบัติต่าง ๆ อย่างมีความสุข