พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 520 อยู่รอดมาด้วยความยากลำบาก
หลังจากที่เดินทางไปถึงตระกูลหวู หลิงตู้ฉิงก็เอ่ยความตั้งใจในการมาของเขาทันที ซึ่งในตอนแรกตระกูลหวู หวูหมิงก็ไม่ได้สนใจการมาของหลิงตู้ฉิงสักเท่าไหร่
แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นหมิงยู่ที่ปล่อยกลิ่นอายระดับการบ่มเพาะระดับนภาคราม ท่าทีของหวูหมิงที่แสดงออกก็เปลี่ยนเป็นสุภาพขึ้นทันที
“ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการที่จะรู้เกี่ยวกับอะไรบ้างงั้นหรือ?” หวูหมิงถามขึ้นอย่างสุภาพ
หลิงตู้ฉิงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จงเอาหยดเลือดของเจ้ามาให้ข้าดูก่อน”
ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของตระกูลหวูนั้นจะอยู่ในระดับที่พอใช้ได้ แต่ถ้าเป็นตระกูลที่ไม่ได้รับการหนุนหลังจากขุมกำลังใหญ่ใด ๆ มันก็ไม่ควรที่จะอยู่รอดมาได้ถึง 30,000 ปี ดังนั้นในความคิดของหลิงตู้ฉิง มันจึงมีความเป็นไปได้ที่ตระกูลหวูจะเป็นลูกหลานของเทพกระบี่ เขาจึงขอหยดเลือดของหวูหมิงทันทีโดยไม่ได้สอบถามประวัติเบื้องต้นใด ๆ ก่อน
หวูหมิงเหลือบมองไปยังหมิงยู่ที่อยู่ข้าง ๆ หลิงตู้ฉิง จากนั้นเขาจึงนำหยดเลือดตัวเองส่งให้กับหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าจนใจ โดยที่ไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงจะนำหยดเลือดของเขาไปทำอะไร
หลังจากที่หลิงตู้ฉิงได้รับเลือดมา เขาก็สืบดูต้นตระกูลของตระกูลหวูทันที ซึ่งผลที่ออกมาก็คือพวกเขาไม่ใช่ลูกหลานของเทพกระบี่
หลิงตู้ฉิงหยิบโอสถขัดเกลาวิญญาณขึ้นมา และถามว่า “ในเมืองผนึกกระบี่นี้มีตระกูลไหนอีกไหมที่มีอายุเกิน 30,000 ปี? หากเจ้าให้ข้อมูลนี้กับข้า ข้าจะให้โอสถขัดเกลาวิญญาณเม็ดนี้แก่เจ้า”
หวูหมิงแสดงสีหน้างุนงงและถามขึ้นว่า “คุณชายก็สืบเรื่องของเหล่าตระกูลที่อยู่มานานกว่า 30,000 ปี เหมือนกันงั้นเหรอ?”
“หืม?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น “เหมือนกัน? มีคนอื่นที่สืบเรื่องนี้เช่นกันงั้นเหรอ?”
หวูหมิงฝืนยิ้มและพูดว่า “เป็นเพราะว่าตระกูลหวูของเรานั้นเป็นตระกูลใหญ่ที่สุดในเมืองผนึกกระบี่และมีอายุมานานกว่า 30,000 ปี มันจึงมีผู้คนที่มาสอบถามข้อมูลแบบนี้กับเราอยู่ตลอดหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ซึ่งล่าสุดก็เป็นเมื่อพันปีที่แล้วที่มีคนมาสอบถามข้อมูลนี้กับเรา และเราเองก็บอกข้อมูลเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ไปกับทุกคนที่เข้ามาสอบถามข้อมูลนี้กับเราอยู่ตลอด”
“ถ้างั้นเจ้าก็จงบอกทุกอย่างที่เจ้ารู้มาให้กับข้าให้หมด!” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น
หวูหมิงหัวเราะ “งั้นข้าจะตอบท่านเหมือนที่ข้าตอบกับคนอื่น ๆ ที่มาก่อนหน้าก็แล้วกัน ในเมืองผนึกกระบี่นั้นนอกจากตระกูลหวูของเราที่อยู่มานานกว่า 30,000 ปี มันก็มีตระกูลซุน ตระกูลหลี และตระกูมู่”
“ซึ่งแต่ละตระกูลก็ล้วนแล้วแต่ผ่านเหตุการณ์เกือบสิ้นตระกูลมาแล้วทั้งสิ้น และหลังจากนั้นพวกเขาถึงได้มาหลักลงปักฐานที่เมืองผนึกกระบี่ ตัวอย่างเช่นตระกูลซุน ตามบันทึกของตระกูลเรา เมื่อ 18,000 ปีก่อนตระกูลซุนนั้นแทบจะถูกสังหารทั้งตระกูล ซึ่งมีคนเหลือรอดแค่เพียงคนเดียวและหลังจากที่ระเหเร่ร่อนอยู่ข้างนอกเป็นเวลากว่าร้อยปี ในที่สุดคนที่เหลือรอดของตระกูลซุนก็กลับมาที่เมืองผนึกกระบี่เพื่อลงหลักปักฐาน”
“ส่วนตระกูลที่น่าเวทนาที่สุดก็คือตระกูลมู่ เนื่องจากคำสอนของบรรพบุรุษพวกเขานั้นโอหังจนเกินไป จนทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายที่เชิดชูเทพกระบี่ต้องโมโหและเกือบที่จะสังหารตระกูลมู่ทั้งตระกูลจนเหี้ยน แต่ด้วยการกราบกรานอ้อนวอนร้องขอชีวิตของพวกเขา พวกเขาจึงรอดพ้นจากความตายมาได้จนมีชีวิตจนถึงทุกวันนี้”
หลิงตู้ฉิงนั่งฟังเรื่องราวของหลายตระกูลที่หวูหมิงเล่ามาอยู่เงียบ ๆไปเรื่อย ๆ โดยสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด
“ข้าเองก็เคยไปเตือนตระกูลมู่อยู่หลายรอบแล้วเกี่ยวกับคำสอนของบรรพบุรุษของพวกเขาที่มันดูหยาบคายเกินไป ไม่งั้นใครจะรู้ว่าพวกเขาจะเผชิญกับหายนะจริง ๆ เมื่อไหร่” หวูหมิงถอนหายใจพลางส่ายหัว “แต่ไอ้พวกหัวทึบพวกนั้นกลับไม่ฟังข้าเลย จนในตอนนี้ตระกูลของพวกเขาเลยกลายเป็นตัวตลกประจำเมืองไปแล้ว”
หลิงตู้ฉิงถามขึ้น “นี่เจ้าแน่ใจแน่นะว่าทั้งสามตระกูลนั้นมีประวัติความเป็นมาเกิน 30,000 ปี?”
หวูหมิงยิ้ม “คุณชาย ข้าถูกเหล่าผู้คนแวะเวียนมาถามคำถามนี้กว่า 20,000ปีแล้ว ซึ่งแต่ละคนที่มาถามข้านั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวตนที่ตระกูลของข้าไม่กล้าล่วงเกิน หากข้าบอกข้อมูลเท็จออกไป ข้าเกรงว่าตระกูลของข้าคงไม่สามารถอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้หรอก การเป็นตระกูลเล็ก ๆ เช่นตระกูลเราแต่ต้องมานั่งให้ข้อมูลที่สำคัญเช่นนี้กับเหล่าตัวตนที่พวกเราไม่สามารถล่วงเกินได้เรื่อย ๆ มันไม่ใช่เรื่องที่เราจะล้อเล่นได้”
หลังจากพูดจบ หวูหมิงก็ถอนหายใจด้วยความมืดหม่น
เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมีเหล่าตัวตนที่น่ากลัวมาถามคำถามเดิม ๆ แบบนี้ซ้ำ ๆ อยู่เรื่อย
หลิงตู้ฉิงไม่สนใจในท่าทีมืดหม่นของหวูหมิง เขาพูดต่อว่า “เอาบันทึกของตระกูลเจ้ามาให้ข้าดู หากมันมีประโยชน์ต่อข้า ข้าจะให้รางวัลตอบแทนกับเจ้า”
หวูหมิงพยักหน้า จากนั้นเขาก็หยิบเอาแผ่นหยกชิ้นหนึ่งที่เก็บข้อมูลบันทึกของตระกูลเขาไว้ในนั้นมอบให้กับหลิงตู้ฉิง “พวกเราลอกข้อมูลเหล่านี้ไว้อยู่หลายชุด ซึ่งพวกมันทั้งหมดก็มีข้อมูลแบบเดียวกัน”
หลิงตู้ฉิงมองไปยังหวูหมิง และก็เข้าใจว่าทำไมตระกูลหวูถึงอยู่รอดมาได้ถึง 30,000 ปี หากเป็นตามปกติแล้วมันคงไม่มีไอ้บ้าที่ไหนอยากจะลงมือกับบุคคลที่ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้เก่งเช่นนี้นัก
เมื่อได้รับแผ่นหยกมาเสร็จ หลิงตู้ฉิงจึงส่งโอสถขัดเกลาวิญญาณ 2 เม็ดให้กับหวูหมิงเพื่อเป็นสิ่งตอบแทน จากนั้นเขาก็เดินทางไปต่อที่ตระกูลซุน จากนั้นตระกูลหลี ซึ่งจนท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์นัก
ในเวลาเดียวกับที่หลิงตู้ฉิงเดินทางกลับมาถึงเรือนตระกูลมู่ มู่ฉิงเฟิงก็รีบออกมาทักทายทันที “เป็นไงบ้างคุณชาย? ท่านได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์มาบ้างไหม?”
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่มู่ฉิงเฟิง จากนั้นเขาพูดว่า “ข้าได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาบ้างเช่นกัน แต่อันดับแรก เจ้าเอาหยดเลือดของเจ้ามาให้ข้าสักหยดก่อนสิ”
หลิงตู้ฉิงไม่มีทางเลือก เนื่องจากเขาได้ทำการตรวจสอบมาจนทุกตระกูลแล้ว ซึ่งที่ผ่านมามันก็ไม่มีใครเป็นลูกหลานที่แท้จริงเลย ดังนั้นเขาจึงเหลือแค่เพียงตระกูลเดียวที่ยังไม่ตรวจสอบนั่นก็คือตระกูลมู่ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้คาดหวังสักเท่าไหร่ว่าตระกูลนี้จะใช่ เพราะหลังจากความพยายามตั้งมากมายที่ทาสกระบี่ลงทุนทำลงไป เขาคงไม่ปล่อยให้ลูกหลานของตัวเองตัวอยู่ในสภาพน่าเวทนาขนาดนี้หรอก หรือเปล่า?
มู่ฉิงเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ “คุณชาย ท่านจะเอาเลือดของข้าไปทำอะไร?”
“แค่เอามาให้ข้าก็พอ!” หลิงตู้ฉิงสั่งขึ้น
มู่ฉิงเฟิงที่รู้ว่าตัวเองขัดไม่ได้ เขาจึงจำใจส่งหยดเลือดของตัวเองไปให้กับหลิงตู้ฉิง
หลังจากได้รับหยดเลือดมา หลิงตู้ฉิงก็ใช้ทักษะเดิมในการสืบหาต้นตระกูล ซึ่งหลังจากผ่านไปสักพัก หลิงตู้ฉิงก็ปรับอารมณ์ให้สงบลงและพูดกับมู่ฉิงเฟิง “ผู้อาวุโสที่สุดในตระกูลเจ้าคือพ่อเจ้าเท่านั้นเหรอ? แล้วคนอื่นไปไหนกันหมด?”
มู่ฉิงเฟิงหัวเราะ “คุณชาย พวกเขาตายหมดแล้ว เป็นเพราะคำสอนของบรรพบุรุษของเรา ผู้อาวุโสบางคนก็ถูกสังหารตอนออกไปฝึกกระบี่ บางคนก็แอบไปศึกษาเต๋ากระบี่ของเทพกระบี่และหนีไป”
ในรอยยิ้มของมู่ฉิงเฟิงแอบซ่อนไว้ด้วยความเศร้าโศก
“ในตอนที่พ่อของข้ายังหนุ่ม เขาเองก็เคยอยากจะออกไปศึกษาเต๋ากระบี่ของเทพกระบี่ แต่ในท้ายที่สุดท่านปู่ของข้าก็รู้เรื่องซะก่อน และสั่งสอนพ่อของข้าอย่างรุนแรง จนหลังจากนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะมีความคิดเช่นนั้นอีก”
“ส่วนข้าเองในตอนที่ข้ายังหนุ่ม ข้าเองก็มีความคิดอยากจะออกไปท่องโลกภายนอกเพื่อตามหาเต๋ากระบี่ของตนเองอย่างเช่นที่บรรพบุรุษข้าสอนเอาไว้เช่นกัน แต่แล้วแค่ข้าก้าวขาออกจากเมืองแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ข้ากลับถูกเหล่าผู้ที่เชิดชูเทพกระบี่ทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส!”
“คุณชายท่านดูสิ ข้ายังมีรอยแผลตรงหน้าอกกับตรงหน้าท้องของข้าอยู่เลย ซึ่งจากนั้นเป็นต้นมา ข้าก็ไม่เคยกล้าที่จะออกไปตามหาเต๋ากระบี่ของข้าอีกเลย มันไม่มีประโยชน์อะไรจริง ๆ เอาแค่เหล่าผู้คนที่อยู่หน้าประตูเมืองข้ายังไม่สามารถเอาชนะได้แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่จะออกไปตามหาเต๋ากระบี่?” มู่ฉิงเฟิงส่ายหัวและถอนหายใจด้วยความเศร้า
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและเอ่ยว่า “บรรพบุรุษของเจ้านี่มันโง่งมจริง ๆ ที่ส่งต่อคำสอนบ้าบอแบบนี้มาถึงรุ่นหลัง”
มู่ฉิงเฟิงมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าขุ่นเคือง เนื่องจากไม่ว่าบรรพบุรุษของเขาจะโง่งมเพียงใดแต่หลิงตู้ฉิงก็เป็นเพียงคนนนอก หลิงตู้ฉิงไม่ควรที่จะมาว่าบรรพบุรุษของเขาแบบนี้
“ข้าจะอาศัยอยู่ที่เรือนของเจ้าต่อไปอีกสักหลายวันหน่อย!” จู่ ๆ หลิงตู้ฉิงก็เอ่ยขึ้น
“ตราบใดที่คุณชายต้องการ ท่านสามารถพักกี่วันก็ได้แต่ว่า…” มู่ฉิงเฟิงพูดกับหลิงตู้ฉิง พร้อมกับแสดงสีหน้ามีเลศนัย
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง เจ้าจะได้รับค่าตอบแทนอย่างงามแน่นอน”
หลังจากที่มู่ฉิงเฟิงจากไป หลิงตู้ฉิงก็มองไปยังเหล่าคนของตระกูลมู่ด้วยสีหน้าครุ่นคิดและสับสนในใจ
ทาสกระบี่นั้นมีลูกหลานอยู่จริง ๆ แต่กลับทิ้งให้ลูกหลานของตนเองอยู่ในสภาพตกระกำลำบากไม่ทิ้งทรัพย์สมบัติใด ๆ ไว้ให้แถมยังส่งต่อคำสอนอันแปลกประหลาดลงมาอีก
นี่ทาสกระบี่อยากจะให้เหล่าลูกหลานเหนือกว่าตนเองโดยการให้พวกเขาถูกขัดเกลาในสภาวะที่ยากลำบากงั้นเหรอ?
แต่ไม่ว่าทาสกระบี่จะคิดอย่างไร ในเมื่อตอนนี้เขาได้มาเจอกับเหล่าลูกหลานของทาสกระบี่แล้ว เขาจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือลูกหลานของผู้ติดตามของเขาเหล่านี้ให้มีชีวิตที่ดีขึ้นสักหน่อย!