พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 526 เรียกข้าว่าท่านลุง!
หลังจากที่ดิ่งลงมาในเหวมรณะได้สักพัก และอันตรายก็เริ่มรุนแรงขึ้นจนหลิงตู้ฉิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น
แต่หลังจากที่สิ้นคำเอ่ยของหลิงตู้ฉิง รอยแยกของมิติที่ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของพวกเขาก็สลายหายไปรวมไปถึงแมลงปีศาจที่ติดตามมาก็หายไปเช่นกัน
จากนั้นชายชราสวมชุดสีเทาก็ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับจ้องมายังใบหน้าของหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เลว สามารถบ่มเพาะมาได้จนอยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นกลาง เอาล่ะตอนนี้เจ้ายังไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น พาข้าไปสถานที่ที่เจ้าใช้เก็บตัวบ่มเพาะก่อนแล้วจากนั้นเราค่อยคุยกัน”
ชายชราชุดเทาพยักหน้า จากนั้นเขาก็บินนำรถม้าไปโดยไม่พูดอะไร
ทางด้านของคนอื่น ๆ ในรถม้า นอกจากหยุนจื่อรุ่ยและเปียนเฉียวเฉียวที่ยังไม่รู้เรื่องระดับการบ่มเพาะดีนัก พวกเขาต่างมองไปที่ชายชราชุดสีเทาด้วยสีหน้าตะลึงงัน เมื่อพวกเขาได้ยินคำที่หลิงตู้ฉิงเอ่ย
ชายชราชุดเทาผู้นี้อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นกลาง ซึ่งมันก็หมายความว่าเขาเข้าใกล้จุดสูงสุดของการบ่มเพาะของมวลมนุษย์แล้ว
หากเขาก้าวหน้าพ้นขอบเขตมหาจักรพรรดิไป เขาจะกลายเป็นผู้ก่อกำเนิดมหาวิถีเต๋าและเดินไปตามเส้นทางมหาวิถีเต๋าของตนเอง
แต่ถ้าหากเขาทำไม่ได้ ทั้งชีวิตของเขาก็จะติดอยู่ที่ขอบเขตมหาจักรพรรดิตลอดไป ซึ่งแน่นอนว่าตั้งแต่บรรพกาลมันมีคนไม่มากนักที่บรรลุถึงขอบเขตมหาจักรพรรดิ แต่มันมีน้อยยิ่งกว่าสำหรับผู้ที่สามารถก่อกำเนิดมหาวิถีเต๋าของตัวเองได้
ด้วยการสนับสนุนของพลังของชายชราชุดเทา ความเร็วในการดิ่งลงของรถม้าก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากและแน่นอนว่าพวกเขาไม่ถูกรบกวนโดยสัตว์ปีศาจหรือความผันผวนของกฎใด ๆ อีกเลยเช่นกัน
พลังของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดินั้นเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกฎทุกอย่าง เขาสามารถใช้เจตจำนงของตนเองในการบังคับกฎให้เป็นไปตามที่เขาต้องการได้ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกอะไรที่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะลงไปในเหวมรณะลึกสักแค่ไหนกฎที่ควรจะผันผวนเป็นอย่างมากมันก็กลายเป็นสงบนิ่ง
ส่วนบรรดาสัตว์ปีศาจ เมื่อพวกมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของตัวตนที่เหนือกว่า มันจึงเป็นธรรมดาที่พวกมันย่อมไม่กล้าที่จะเข้ามาใกล้ นอกซะจากว่ามันจะเป็นสัตว์ปีศาจที่มีระดับการบ่มเพาะเดียวกับชายชราผู้นี้มันถึงจะกล้าเข้ามายุ่มย่าม
ในเวลาไม่นาน ในที่สุดทุกคนก็รู้สึกว่ารถม้าได้หยุดลง แต่ทุกคนไม่รู้ว่าหยุดลงเพราะอะไรเนื่องจากสภาพรอบด้านของพวกเขาตอนนี้มันมีแต่ความมืดมิดมองไปทางไหนก็เหมือนกับว่าพวกเขาตกลงไปในบ่อหมึกดำไม่มีแสงสว่างใด ๆ หลงเหลือ
จากนั้นชายชราชุดเทาก็ควบคุมกฎแห่งแสงให้ปรากฏขึ้นและส่องสว่างบริเวณโดยรอบ ซึ่งคราวนี้ทุกคนก็ได้รู้ว่าตอนนี้พวกเขาได้อยู่บนเกาะที่ลอยอยู่กลางเหวมรณะที่มีพื้นที่ประมาณ 10 ตารางกิโลเมตร
และหลังจากนั้นเพียงครู่เดียว กลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ตามลงมาที่เกาะลอยแห่งนี้ ซึ่งคนกลุ่มที่เพิ่งมาถึงก็คือกลุ่มของมู่เทียนหยูและคนของเขา
บรรดาผู้คนที่ตามมู่เทียนหยูมาด้วยต่างมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาตื่นเต้น
หลิงตู้ฉิงไม่สนใจสายตาของกลุ่มคนของมู่เทียนหยูที่มองเขา เขาหันไปพูดกับเย่ชิงเฉิง และคนอื่น ๆ ว่า “พวกเจ้าอยู่ในค่ายกลกระบี่เหินเมฆาไปก่อน ข้ามีบางอย่างที่จะต้องคุยกับคนเหล่านี้”
“ตามสบายเลย สามี!” เย่ชิงเฉิงหัวเราะ
ในตอนนี้นางรู้แล้วว่าคนพวกนี้เป็นใคร แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงก็คือในบรรดาลูกหลานของเทพกระบี่นั้นมีอยู่หลายคนที่อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ!
หลิงตู้ฉิงเดินออกไปหาเหล่าผู้คนของสำนักกระบี่เอกภพและเอ่ยขึ้นว่า “อย่าให้ใครได้ยินสิ่งพวกเราคุย สิ่งที่ข้ากำลังจะพูดนั้นสำคัญมาก”
ในบรรดาผู้คนที่อยู่ตรงนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้เชียวชาญขอบเขตจักรพรรดิทั้งนั้นและยังไม่รวมไปถึงชายชราชุดเทาที่อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิ ดังนั้นหากพวกเขาไม่ต้องการให้ใครได้ยินบทสนทนาของพวกเขา มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาจะสามารถได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน
แต่แน่นอนว่าเพื่อความปลอดภัย ชายชราจึงได้สร้างอาณาเขตปิดกั้นพวกเขาต่อโลกภายนอกขึ้น
มู่เทียนหยูเอ่ยขึ้นทันทีเมื่ออาณาเขตได้สร้างเสร็จ “ท่านปู่ทวด…”
หลิงตู้ฉิงโบกมือส่งสัญญาณให้เขาเงียบลงไปก่อน จากนั้นหันไปคุยกับชายชราชุดเทาว่า “ให้ข้าถามเจ้าก่อน เจ้ารู้จักชื่อพ่อของเจ้าหรือไม่?”
แน่นอนว่าถึงแม้หลิงตู้ฉิงจะรู้ว่าชายชราผู้นี้คือลูกของทาสกระบี่จากการที่เขาตรวจสอบหยดเลือดของเหล่าศิษย์ของสำนักกระบี่เอกภพ แต่เขาก็จำเป็นต้องถามคำถามนี้ย้ำอีกครั้ง เพราะหากชายชราผู้นี้เป็นลูกชายของเทพกระบี่จริง เขาก็ต้องรู้ชื่อพ่อของเขา และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ หลิงตู้ฉิงเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าชื่อที่แท้จริงของทาสกระบี่นั้นชื่ออะไร ส่วนเขาจะรู้ได้ยังไงว่าชายชราผู้นี้โกหกหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
เพราะเขาสามารถจับโกหกได้ด้วยเต๋าตู้ฉิงของเขา!
คนอื่น ๆ ที่ได้ยินคำถามเช่นนี้ของหลิงตู้ฉิงต่างก็พากันทำสีหน้างุนงง และมองไปยังมู่เทียนหยูและคิดในใจ
ไม่ใช่ว่าเจ้ายืนยันมาแล้วเหรอว่าคนผู้นี้คือปู่ทวดจริง ๆ? ทำไมการกระทำของคนผู้นี้ตอนนี้กลับดูไม่เหมือนปู่ทวดของพวกเขาเลยสักนิด!
ส่วนทางด้านของชายชราชุดเทานั้นไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเขารู้แต่แรกแล้วว่าหลิงตู้ฉิงนั้นไม่ใช่พ่อของเขา เพราะเขาสัมผัสได้ว่าหลิงตู้ฉิงนั้นไม่มีกลิ่นอายที่เหมือนพ่อของเขาเลยสักนิด
ทุก ๆ คนที่มีชีวิตอยู่ตอนนี้มันก็มีแค่เขาเพียงคนเดียวที่เคยเห็นพ่อของเขาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่
เมื่อได้ยินคำถามของหลิงตู้ฉิง ชายชราชุดเทาก็ตอบอย่างเชื่องช้า “พ่อของข้าชื่อ มู่จางหมิง! ซึ่งมันคือชื่อที่แม่ของข้าบอกเอาไว้”
“งั้นก็เอาเป็นว่าเขาชื่อ มู่จางหมิง ก็แล้วกัน” หลิงตู้ฉิงถอนหายใจ “เฮ้อ…ติดตามข้าอยู่ตั้ง 3,000 ปี แต่ข้ากลับเพิ่งมารู้ชื่อของเขาเอาป่านนี้ ข้านี่มันแย่จริง ๆ …”
คำพูดของหลิงตู้ฉิงประโยคนี้ทำเอาทั้งห้าคนต่างรู้สึกตกตะลึง พวกเขามองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ
ชายชราชุดเทารีบเอ่ยขึ้นทันที “ทะ ทะที่แท้ก็เป็นท่าน! นายเหนือหัวท่านกลับมาแล้ว!”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “ในอดีตพ่อของเจ้าติดตามข้าอยู่ถึง 3,000 ปีในฐานะเจ้านายและคนรับใช้ ซึ่งอันที่จริงข้ามาคิดดูแล้วข้ากับพ่อของเจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากการเป็นพี่น้องกันมากกว่า หากเจ้าต้องการ ข้าอนุญาตให้เจ้าเรียกข้าว่าลุงได้!”
“หลาน มู่หยุนชาน ขอคารวะท่านลุง!” ชายชราชุดเทารีบเอ่ยขึ้นพลางคุกเข่าลงคำนับ
เขารู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้คือคนที่พ่อของเขาเคยติดตามรับใช้ตอนยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากนอกจากพ่อเขาแล้วมันก็มีอีกเพียงแค่คนเดียวที่รู้วิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ และเมื่อรวมกับคำเอ่ยของหลิงตู้ฉิงที่บอกว่าพ่อของเขาได้ใช้เวลาติดตามหลิงตู้ฉิงอยู่ 3,000 ปี มันก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ย้ำให้เขาแน่ใจ
ส่วนเรื่องการคุกเข่าให้นั้นเขาไม่รู้สึกตะขิดตะขวงแม้แต่น้อย เนื่องจากต่อให้เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิแล้วยังไง? คนผู้นี้เคยสังหารผู้เชี่ยวชาญระดับเดียวกับเขามาแล้วนับไม่ถ้วน!
คนอื่น ๆ เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ต่างก็รีบทำตามกันทันที และทุกคนต่างก็คารวะหลิงตู้ฉิง อย่างเคารพพร้อมกับเรียกหลิงตู้ฉิง ‘ท่านทวด’
หลิงตู้ฉิงส่งสัญญาณให้ทุกคนลุกขึ้นและถามมู่หยุนชาน “เอาล่ะ ตอนนี้ข้าขอถามเจ้าสักหน่อย พ่อของเจ้าตายได้อย่างไร? ข้าได้สืบหาข่าวมาบ้างแล้วซึ่งก็มีแต่คนพูดกันว่า พ่อของเจ้านั้นตายลงเพราะเขาล้มเหลวจากการเผชิญกับทัณฑ์เทวะ เจ้าพอจะมีข้อมูลอื่นเพิ่มเติมอีกไหม?”
มู่หยุนชานครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็เอ่ยว่า “ท่านลุง พ่อของข้าไม่เคยเอ่ยถึงสาเหตุที่เขาบาดเจ็บมาก่อนเลย เขาแค่เคยเอ่ยขึ้นมาว่าเขาเสียใจที่ไม่สามารถผ่านทัณฑ์เทวะเพื่อติดตามท่านไปได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น หลังจากที่พ่อของข้าตายลง ข้าและเหล่าลูกหลานก็ได้ออกไปสืบหาความลับนี้เช่นกัน ซึ่งแม้แต่สถานที่ที่พ่อของข้าใช้ในการผ่านทัณฑ์เทวะพวกเราก็ไปกันมาหมดแล้ว”
“หลังจากสืบหาความจริงกันอยู่พักใหญ่ พวกเราก็ได้ข้อสรุปที่ตรงกันว่าท่านพ่อนั้นได้ถูกลอบโจมตีในระหว่างที่เขากำลังต้านทัณฑ์เทวะและยิ่งไปกว่านั้นบุคคลที่ลอบโจมตีนั้นไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียวแต่มีด้วยกันถึง 5 คน ส่วนเหตุผลที่พวกเรารู้ว่ามีกันอยู่ 5 คนที่ลอบโจมตีท่านพ่อนั้นก็เพราะว่า พวกเราได้เจอเศษกระดูกศักดิ์สิทธิ์บางส่วนที่หลงเหลือไว้ในที่เกิดเหตุ!”