พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 527 ผู้ลอบสังหาร
เมื่อได้ยินว่ามู่หยุนชานมีเบาะแสจากเศษกระดูกศักดิ์สิทธิ์ที่หล่นไว้ ณ สถานที่ที่ทาสกระบี่ใช้ในการต้านทัณฑ์เทวะ หลิงตู้ฉิงก็รีบเอ่ยขึ้นด้วยความหวัง “เอามาให้ข้าดู!”
มู่หยุนชานรีบนำเศษกระดูกศักดิ์สิทธิ์ออกมา วางไว้ที่พื้นทันทีด้านหน้าหลิงตู้ฉิงทันที
เนื่องจากเศษกระดูกศักดิ์สิทธิ์นั้นมีอำนาจแห่งกฎสถิตอยู่ มู่หยุนชานรู้ดีว่าเขาไม่สามารถยื่นมันให้หลิงตู้ฉิงที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณโดยตรงได้ ไม่เช่นนั้นมันจะเกิดอันตราย เขาจึงเลือกที่จะวางเอาไว้แทน
เมื่อเห็นเศษกระดูกศักดิ์สิทธิ์วางไว้อยู่ข้างหน้า หลิงตู้ฉิงก็ไม่ได้หยิบมันขึ้นมาดูเช่นกัน เขาทำเพียงแค่พินิจมองดูมันอยู่สักพัก จากนั้นเขาพูดว่า “ส่งพลังของเจ้ามาให้ข้าจนระดับการบ่มเพาะของข้าไปถึงระดับสวรรค์สามัญ”
มู่หยุนชานรีบทำตามที่หลิงตู้ฉิงสั่งทันทีโดยการส่งพลังวิญญาณของตัวเองเข้าไปเกื้อหนุนร่างของหลิงตู้ฉิง จนระดับการการบ่มเพาะของหลิงตู้ฉิงกลายเป็นระดับสวรรค์สามัญ
จากนั้นหลิงตู้ฉิงจึงรวบรวมพลังระดับสวรรค์สามัญไว้ที่ปลายนิ้วและชี้ไปยังเศษกระดูกศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงหน้า ส่งผลให้เศษกระดูกศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้นปลดปล่อยพลังอันรุนแรงสีดำสนิทแพร่กระจายไปทั่วทั้งเกาะทำให้เกาะลอยถึงกับสั่นสะเทือน
“วิถีมืด!” มู่หยุนชานอุทานเสียงหลงด้วยดวงตาเบิกโพลง “นี่สรุปแล้วเป็นฝีมือของพวกตำหนักแห่งความมืดงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่!” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เศษกระดูกศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้มันเป็นของมือสังหารผู้หนึ่งที่มาจากองค์กรมือสังหาร ‘ตำหนักดับเซียน’ ซึ่งข้าคิดว่ามันน่าจะเป็นของมือสังหาร ‘หมายเลข 9’ เนื่องจากเขานั้นไม่สามารถบ่มเพาะในวิถีแห่งความมืดได้อย่างเต็มตัว เขาจึงเลือกที่จะบ่มเพาะส่วนหนึ่งของวิชาเทพแห่งความมืดและเปลี่ยนแขนข้างหนึ่งของเขาให้กลายเป็นกระดูกศักดิ์สิทธิ์”
“แต่มือสังหารผู้นี้ถูกข้าสังหารตายไปก่อนที่พ่อของเจ้าจะตายไปก็ตั้งนานแล้ว ดังนั้นมันจะต้องไม่ใช่เขาแน่นอนที่ลอบทำร้ายพ่อของเจ้า หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือมีใครบางคนจัดฉากเอาเศษกระดูกศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้มาเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้า”
มู่หยุนชานรีบถามขึ้นทันที “ท่านลุง ถ้างั้นท่านพอจะเดาได้บ้างไหมว่าหลังจากที่ท่านฆ่ามือสังหารผู้นั้นไปแล้วมีใครเก็บเศษกระดูกศักดิ์สิทธิ์นี้ไปบ้าง?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “หลังจากที่ข้าฆ่าเขาแล้วข้าก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับศพของมือสังหารผู้นี้อีก เพราะต่อให้แขนของเขาเป็นกระดูกศักดิ์สิทธิ์มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับข้าที่จะเก็บเอาไว้ ดังนั้นข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากนั้นใครเอาไป”
มู่เทียนหยูและคนอื่น ๆ ที่ได้ยินการสนทนานี้ต่างก็พากันพูดไม่ออกและคิดในใจ
นี่มันคือกระดูกศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ! นี่ท่านปล่อยมันทิ้งไว้เพราะมันไม่มีประโยชน์กับท่านแค่นั้นงั้นเหรอ?
แต่แล้วเมื่อพวกเขาลองนึกถึงลักษณะนิสัยของหลิงตู้ฉิงเมื่อก่อนที่พวกเขาเคยได้ยินมา พวกเขาก็รู้สึกว่ามันไม่แปลกอีกต่อไป
มู่หยุนชานพยักหน้า “ข้าเข้าใจที่ท่านลุงหมายถึง ถ้างั้นสิ่งที่เราควรจะทำก็คือแกะรอยจากเศษกระดูกศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ไป ซึ่งมันคงจะสามารถทำให้เราทราบได้ว่าใครเป็นคนวางแผนลอบสังหารท่านพ่อ ส่วนร่องรอยของคนที่เหลือข้าจะแสดงให้ท่านดูเดี๋ยวนี้ท่านลุง”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เจ้าไม่จำเป็นต้องแสดงให้ข้าเห็น ข้าสามารถใช้วิชาห้วงนิทราแห่งราชันย์ได้ ดังนั้นข้าจะเข้าไปดูภาพพวกนั้นเองในห้วงความฝันของเจ้า”
มู่หยุนชานพยักหน้า จากนั้นเขาก็ปล่อยให้หลิงตู้ฉิงเข้าไปในห้วงความฝันของเขาเอง
ไม่นานหลังจากนั้น หลิงตู้ฉิงก็ออกมาจากห้วงความฝันของมู่หยุนชาน และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หนึ่งในพวกนั้นก็คือ ตระกูลหลิวแห่งเผ่าสัตว์อสูร ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่างูผู้ที่ชำนาญการใช้พิษเป็นพิเศษ ส่วนอีกคนก็คือคนของเผ่าปีศาจฝันจากภูมิภาคเป่ยหมิง”
“ส่วนร่องรอยของอีก 3 คนนั้นมันดูไม่มีเอกลักษณ์พิเศษอะไรสักเท่าไหร่ ซึ่งมันมีวิชามากกว่าสิบวิชาที่สามารถสร้างร่องรอยแบบนี้ได้ ดังนั้นข้าจึงยังไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ในตอนนี้ว่ามันเป็นของผู้ใด แต่เมื่อไหร่ที่เรามีเบาะแสมากขึ้นในอนาคต ข้ามั่นใจว่าเราต้องหาพวกมันเจอ และเมื่อถึงตอนนั้นพวกเราค่อยไปคิดบัญชีกับพวกมันและทำให้พวกมันทรมานอย่างช้า ๆ!”
เมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ มู่หยุนชาน และคนอื่น ๆ ต่างมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตางุนงง ที่พวกเขารู้สึกงุนงงก็เพราะว่าคำพูดนี้มันดูเหมือนไม่ใช่แนวทางแก้ปัญหาของหลิงตู้ฉิง เมื่อก่อนสักเท่าไหร่เท่าที่พวกเขาเคยได้ยินมา
คิดบัญชีและทรมานอย่างช้า ๆ? เมื่อไหร่กันที่บุคคลผู้นี้กลายเป็นมีเมตตาได้ขนาดนี้?
เมือเห็นสีหน้าที่งุนงงของคนอื่น ๆ หลิงตู้ฉิงก็อธิบายอย่างจนใจว่า “เต๋าที่ข้าบ่มเพาะในชีวิตนี้ทำให้ข้าไม่สามารถฆ่าคนได้มากเหมือนเมื่อก่อน ไม่เช่นนั้นเต๋าของข้าอาจพังทลายและข้าคงต้องกลับไปบ่มเพาะเต๋าเดิมแบบชีวิตที่แล้วอีกรอบ”
เมื่อมู่หยุนชาน และคนอื่น ๆ ได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิงเช่นนี้ พวกเขาก็นึกย้อนไปถึงเรื่องเล่าวีรกรรมในอดีตของหลิงตู้ฉิง ซึ่งมันถึงกับทำให้พวกเขารู้สึกหนาวไปถึงขั้วกระดูก
จากนั้นมู่หยุนชานจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “ท่านลุง ถ้างั้นท่านให้ข้าส่งคนคอยตามคุ้มครองท่านดีไหม? คนของข้าจะได้คอยจัดการกับพวกน่ารำคาญให้ท่านเมื่อท่านต้องการ”
ในเมื่อหลิงตู้ฉิงไม่อาจลงมือได้อย่างใจนึกเหมือนเมื่อก่อน ดังนั้นความปลอดภัยของเขาจึงอยู่ในความเสี่ยงสูง
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมู่หยุนชานถึงอยากส่งคนไปคอยอารักขาหลิงตู้ฉิง
เป็นที่รู้อยู่แล้วว่าบุคคลผู้นี้คือคนเดียวกับที่พ่อของเขาให้ความนับถือมาทั้งชีวิต ดังนั้นเมื่อคนที่พ่อของเขานับถือในตอนนี้ต้องการความช่วยเหลือ มันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาต้องรับผิดชอบหน้าที่นี้
หลิงตู้ฉิงโบกมือปฏิเสธ “ในตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าข้าเป็นใคร ดังนั้นพวกเจ้าจึงยังไม่ควรที่จะเปิดเผยตัวตนตอนนี้เช่นกัน และอีกอย่างข้าเองก็พอจะมีไพ่ลับหลายอย่างไว้ปกป้องตัวเองบ้างอยู่แล้ว”
“ท่านลุง ถึงแม้ว่าค่ายกลกระบี่ของท่านมันจะดูล้ำลึก แต่ข้าคิดว่าพลังของมันในตอนนี้ก็ยังคงอ่อนด้อยอยู่ หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญระดับสูงสักคนคอยดูแลปกป้องท่าน ข้าคิดว่ามันคงจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่” มู่หยุนชานพูดขึ้นพลางขมวดคิ้วด้วยความเป็นกังวล
“ค่ายกลกระบี่นี้คือค่ายกลระดับศักดิ์สิทธิ์!” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้น “หรือถ้าจะให้พูดตามตรงก็คือการที่เจ้าเห็นว่าพลังของมันยังไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่นักก็เพราะตอนนี้แกนของค่ายกลมันเป็นเพียงแค่สมบัติวิเศษระดับจักรพรรดิเท่านั้น มันจึงไม่สามารถสำแดงอำนาจของมันได้อย่างเต็มที่ และยิ่งไปกว่านั้นความแข็งแกร่งของข้าเองก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เอาเป็นว่าในตอนนี้เราอย่าพึ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย ให้ข้าถามพวกเจ้าก่อน พวกเจ้าทุกคนรู้วิชาดาราโลหิตประสานครบหมดแล้วรึยัง?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ทุกคนต่างส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น มู่หยุนชานพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นว่า “ท่านลุง พ่อของข้าไม่เคยคิดจะถ่ายทอดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ให้กับพวกเราเลย ซึ่งพวกเราเองก็เข้าใจเขาเป็นอย่างดีว่าที่เขาทำเช่นนี้ก็เพราะเขาไม่ต้องการให้พวกเราเผลอเปิดเผยวิชานี้ ซึ่งมันคงจะนำหายนะมาสู่ตระกูลของเราทั้งหมดหลังจากที่เขาจากไป”
“ดังนั้นตั้งแต่บัดนั้นจวบจนทุกวันนี้ พวกเราจึงได้เรียนรู้แค่สี่กระบี่เท่านั้นจากการเข้าไปผ่านการทดสอบในสุสานกระบี่ ซึ่งอันที่จริงการที่เราเข้าไปในนั้นก็เพราะว่าต้องการไปพบกับเจตจำนงที่ท่านพ่อทิ้งเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่เจตจำนงของเขาได้เลือนหายออกไปหมดแล้ว ซึ่งมันทำให้แม้กระทั่งพวกเราเองบางคนที่เป็นสายเลือดเดียวกันกับเขาต้องจบชีวิตลงในสุสานกระบี่เลยก็มี ว่าแต่เร็ว ๆ มานี้ข้าได้ยินข่าวว่าท่านพ่อได้กลับชาติมาเกิดใหม่แล้ว ข้าอยากรู้ว่าท่านลุงพอจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างไหม?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “อย่าพึ่งไปนับว่าเขาเป็นพ่อของเจ้าในตอนนี้ เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่โชคดีที่ข้าได้ถ่ายทอดรูปแบบกระบี่พื้นฐานและชุดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ให้ และจากนั้นเมื่อตอนที่เขาอยู่ที่สำนักวิญญาณโลหิตเขาก็บังเอิญสามารถดูดซับเจตจำนงกระบี่ขอพ่อเจ้าได้ มันจึงทำให้บรรดาผู้คนที่เห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้าใจไปกันว่าเด็กคนนั้นคือพ่อของเจ้าที่กลับชาติมาเกิด”
“แต่อันที่จริงข้าเองก็สรุปไม่ได้เหมือนกันว่าเขานั้นใช่พ่อของเจ้าที่กลับชาติมาเกิดจริง ๆ รึเปล่า เพราะบุคลิกของพวกเขานั้นช่างแตกต่างกันเป็นอย่างมาก แต่ต้องไม่ลืมว่าขนาดข้าเองยังสามารถเลือกที่จะมาบ่มเพาะในวิถีเต๋าใหม่ในชีวิตใหม่ได้ ดังนั้นใครจะไปรู้ไม่แน่เขาอาจจะเป็นพ่อของเจ้าที่กลับชาติมาเกิดจริง ๆ ก็ได้?”
“เอาล่ะ งั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะถ่ายทอดชุดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ให้กับพวกเจ้าเอง ในฐานะที่พวกเจ้าก็เหมือนลูกหลานของข้าเช่นกัน!”