พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 544 พบศิษย์พี่
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านจะเก็บไอ้คนผู้นี้ไว้อีกทำไม ทำไมถึงไม่ฆ่ามันไปให้ตาย ๆ ซะ?” ผู้อาวุโสของสำนักผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
ฉีหานเฟิงมองไปที่ผู้อาวุโสผู้นั้นและผู้ว่า “ถ้ามันตาย สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็มีข้ออ้างไม่จ่ายค่าเสียหายให้เราน่ะสิ! หากตระกูลเล้งสามารถครองสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ได้เมื่อไหร่ พวกเราก็ค่อยไปเรียกร้องค่าความเสียหายจากพวกเขาเอาเมื่อนั้น แต่ถ้าหากแผนครองสำนักของตระกูลเล้งล้มเหลว พวกเราก็ยังไอ้คนผู้นี้เป็นคนรับบาปแทนพวกเราได้ในตอนที่คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์มาคิดบัญชีกับเรา”
“แต่ หานหยู เจ้าทำให้ข้าผิดหวังมาก มันคงจะไม่เท่าไหร่หากมีแค่เฉพาะคนอื่นที่มีส่วนกับเรื่องนี้ แต่เจ้า! เจ้าเป็นถึงผู้คุมกฎของสำนักข้า เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิ และเจ้าเห็นเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนี้มาโดยตลอดแต่เจ้ากลับไม่หยุดลูกของข้า และปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจจนสร้างหายนะให้กับสำนักของข้า! หากเจ้าหยุดลูกของข้าเอาไว้เรื่องราวทั้งหมดมันคงไม่ลงเอยแบบนี้!”
ฉีหานหยูได้เต่ก้มหน้าเงียบ
ใครจะไปคิดว่ากลุ่มคนที่ระดับการบ่มเพาะสูงสุดแค่ระดับนภาครามจะสามารถสร้างหายนะได้ขนาดนี้?
ฉีหานเฟิงจ้องไปที่ฉีหานหยูอยู่สักพักก่อนจะพูดต่อ “จากคำพูดของชายหนุ่มผู้นั้น เขารู้เป็นอย่างดีว่าตำแหน่งปลายทางของประตูเคลื่อนย้ายถูกเปลี่ยนไป แต่เขาก็ยังกล้าพาคนของเขาเข้าไปด้านในvซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าเขาคงจะมีวิธีจัดการอะไรบางอย่างและพวกเขาคงจะปลอดภัยแน่นอน และข้ายังมั่นใจอีกว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขาไปถึงสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ เมื่อนั้นสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์จะต้องเกิดความวุ่นวายอย่างแน่นอน ดังนั้นหานหยู เจ้าจงไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์และเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ที่นั่น หากมีอะไรเกิดขึ้นเจ้าก็จงแสดงท่าทีตามที่เจ้าเห็นสมควรคล้อยตามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ได้เปรียบ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยข้าคิดว่าเจ้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องทำยังไงบ้างใช่ไหม?”
ฉีหานหยูพยักหน้า “รับทราบ ท่านเจ้าสำนัก!”
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ประตูเคลื่อนย้ายได้ถูกทำลายไปแล้ว ดังนั้นฉีหานหยูจึงจำเป็นต้องไปใช้ประตูเคลื่อนย้ายที่สำนักอื่นเพื่อไปยังสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ไม่เช่นนั้นหากเขาต้องบินไปเองมันจะใช้เวลานานเป็นอย่างมาก
ในตอนนี้ที่ด้านของบริเวณหน้าประตูเคลื่อนย้ายของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็เงียบสงบเหมือนทุกวัน บรรดาศิษย์ที่เฝ้าประตูอยู่ต่างก็ยืนจับกลุ่มคุยกันอย่างสบาย ๆ
ไม่มีใครคิดว่าวันนี้จะมีเหตุการณ์อะไรพิเศษเกิดขึ้น
ในขณะที่ศิษย์ผู้หนึ่งกำลังกวาดพื้น จู่ ๆ พื้นดินบริเวณรอบ ๆ ประตูเคลื่อนย้ายก็สั่นสะเทือน ส่วนตรงประตูเคลื่อนย้ายขนาดยักษ์ที่มีลักษณะเป็นวงกลมตั้งฉากขึ้นกับพื้นก็เริ่มมีพลังงานมิติที่เข้มข้นปรากฏขึ้นตรงกลางประตู ซึ่งจากนั้นประตูเคลื่อนย้ายก็ถูกเปิดออกอย่างควบคุมไม่ได้!
เมื่อเห็นเช่นนี้ บรรดาศิษย์ที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็ตื่นตัวทันที “ทุกคนระวัง! พลังงานมิติของประตูถูกแทรกแซงอย่างรุนแรง ในตอนนี้กำลังมีใครบางคนฝืนผ่านประตูเคลื่อนย้ายเข้ามา!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาศิษย์ที่อยู่รอบ ๆ ก็เริ่มเป็นกังวล ถ้าหากเป็นการผ่านประตูเคลื่อนย้ายมาแบบปกติที่ทั้งประตูต้นทางและปลายถูกอนุญาตให้เชื่อมต่อผ่านไปมากันได้ พลังงานมิติที่บังเกิดกับประตูจะไม่รุนแรงขนาดนี้ ดังนั้นคำอธิบายเดียวของเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้นก็คือมีใครบางคนรู้ตำแหน่งประตูเคลื่อนย้ายของสำนักพวกเขา และฝืนเดินทางข้ามมาโดยไม่ได้รับอนุญาต
การเดินทางข้ามมิติผ่านประตูเคลื่อนย้ายโดยการฝืนเชื่อมตำแหน่งแบบนี้ มันทำให้ยากแก่การตัดสินใจว่าผู้ที่กำลังมาเยือนเป็น ศัตรู หรือ มิตร?
จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ ท่ามกลางสายตาของบรรดาศิษย์มากมายที่เตรียมรอตั้งรับผู้มาเยือนปริศนา จู่ ๆ ร่างของหลิงตู้ฉิงก็ปรากฎขึ้นเป็นคนแรกออกจากประตูและจากนั้นก็ตามมาด้วยคนอื่น ๆ จนครบทุกคน
“นี่พวกเจ้าเป็นใค… เอ๋? ศิษย์น้อง?” ซ่งเฉียนมองไปยังเย่ชิงเฉิงด้วยสีหน้าตกตะลึง
“เป็นข้าเอง ศิษย์พี่ซ่ง!” เย่ชิงเฉิงตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ในตอนอยู่ข้างนอก นางรู้สึกกลัวมาตลอดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ในระหว่าที่นางไม่อยู่ แต่แล้วเมื่อนางออกมาจากประตูเคลื่อนย้ายและภาพแรกที่นางเห็นก็คือ ซ่งเฉียน นางจึงรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก
“ศิษย์น้อง นี่พวกเจ้าเคลื่อนย้ายผ่านมิติจากประตูเคลื่อนย้ายของที่ไหนกัน? ทำไมพลังงานมิติมันถึงดูไม่ปกติแบบนี้ แล้วว่าแต่ผู้คนเหล่านี้เป็นใครกัน?” ซ่งเฉียนรีบเอ่ยถามขึ้น
เย่ชิงเฉิงยิ้มและเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ เรื่องราวมันค่อนข้างซับซ้อนน่ะ เอาเป็นว่าให้ข้าแนะนำสามีของข้าให้ท่านรู้จักก่อนดีกว่า ศิษย์พี่ นี่คือสามีของข้า หลิงตู้ฉิง
สามี นี่คือศิษย์พี่สามของข้า ซ่งเฉียน เขาคือศิษย์คนที่สามของพ่อข้า ส่วนระดับการบ่มเพาะของเขาในตอนนี้อยู่ที่ระดับสวรรค์สมบูรณ์แล้ว เอ๋ สามี หมิงยู่ เป็นอะไรรึเปล่า?”
ในระหว่างที่เย่ชิงเฉิงกำลังแนะนำตัวหลิงตู้ฉิงให้กับซ่งเฉียน นางก็เห็นว่าในเวลานี้หมิงยู่ได้ออกมาจากร่างของหลิงตู้ฉิงแล้ว ซึ่งสภาพของนางในตอนนี้ดูอ่อนแอลงกว่าเดิมมาก ด้วยความเป็นห่วง เย่ชิงเฉิงจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับว่า “เป็นเพราะข้อจำกัดของร่างของนางที่นางพึ่งใช้พลังวิญญาณจำนวนมากออกไป ระดับการบ่มเพาะของนางจึงลดลงก็แค่นั้น มันไม่มีอะไรมากหรอก”
ในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของร่างโลหิตอมตะของหมิงยู่ไม่ใช่ระดับนภาครามอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของนางลดเหลือเพียงแค่ระดับนักบุญขั้นปลาย
“อืม! ถ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” เย่ชิงเฉิงพยักหน้า “แค่นางบ่มเพาะต่อไป ระดับการบ่มเพาะของนางก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมใช่ไหมสามี?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ร่างนี้ของนางเป็นร่างโลหิตอมตะที่ถูกสร้างขึ้นจากทะเลโลหิต หากร่างนี้ของนางสูญเสียอะไรไป มันจะไม่มีวันฟื้นฟูกลับคืนมาได้ตลอดกาล และเนื่องจากมันเป็นเพียงแค่ร่างจำแลงที่ถูกสร้างขึ้น ดังนั้นมันจึงไม่สามารถบ่มเพาะได้เช่นกัน เอาเป็นว่านางไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าก็ทำเรื่องต่าง ๆ ของเจ้าต่อไปเถอะ”
เย่ชิงเฉิงพยักหน้า “อืม! ถ้าอย่างนั้นข้าก็โล่งใจ ไปกันเถอะสามี พวกเราไปพบกับแม่ของข้าก่อนเป็นอันดับแรก! อ๋อใช่ ศิษย์พี่ซ่ง ในระหว่างที่ข้าไม่อยู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับแม่ของข้าใช่ไหม?”
ในตอนนี้ซ่งเฉียนมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาแข็งค้าง
นี่ศิษย์น้องของเขาแต่งงานไปในระหว่างที่ออกไปทำภารกิจข้างนอกงั้นเหรอ?
แต่เมื่อเขาได้ยินคำถามของเย่ชิงเฉิง เขาก็ได้สติขึ้น เขารีบตอบกลับทันที “แน่นอน ๆ อาจารย์หญิงสบายดีไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับนางทั้งนั้น ว่าแต่มันจะมีอะไรเกิดขึ้นกับอาจารย์หญิงได้ยังไง? ทำไมเจ้าถึงถามอะไรแปลก ๆ?”
เย่ชิงเฉิงนึกย้อนไปถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับนางตอนที่อยู่ในสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมันทำให้นางรู้สึกเป็นกังวล นางจะจึงขมวดคิ้วถามขึ้นอีกครั้ง “ศิษย์พี่ ก่อนหน้านี้มันไม่มีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นในสำนักเราเลยเหรอ? บังเอิญว่าในระหว่างที่ข้ากลับมาที่นี่ พวกของข้าถูกใครบางคนรบกวนอยู่บ้าง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซ่งเฉียนขมวดคิ้วทันที “หืม เกิดอะไรขึ้น? แต่ช่างเถอะในเมื่อเจ้ากลับมาได้อย่างปลอดภัยมันก็แสดงว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสำนักที่ผ่านมาที่มันพิเศษหน่อยก็มีแค่การเข้าไปสำรวจใน ‘หมอก’ นั่นอีกรอบ ซึ่งไม่รู้ว่าไปคุยกันยังไง เล้งหวงกลับสามารถไปเชิญ เฉินจี้ซี จากตำหนักความลับสวรรค์ให้มาช่วยสำรวจหมอกนั่นที่อยู่ในด้านหลังภูเขาของสำนักเราได้ ซึ่งในเวลานี้พวกเขาก็มีความคืบหน้าเป็นอย่างมากในการสำรวจ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่ชิงเฉิงหันไปมองหลิงตู้ฉิงทันทีและคิดในใจ
‘ไม่ใช่ว่าท่านบอกว่านอกจากท่านแล้วหมอกนั่นมันไม่มีวันถูกแก้ไขได้ด้วยคนอื่นไม่ใช่เหรอ!?’