พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 560 สัตว์ศักดิ์สิทธิ์
เย่ฉิงเสี่ยวยืนอยู่ด้านข้างหลิงตู้ฉิง และปล่อยพลังเจตจำนงของตนเองล้อมหลิงตู้ฉิงเอาไว้เพื่อเป็นการข่มขู่
การกระทำเช่นนี้ของเย่ฉิงเสี่ยว ทำให้เย่ชิงเฉิงถึงกับหน้าเปลี่ยนสี นางตะโกนขึ้นด้วยอารมณ์เดือดดาล “นี่เจ้ากล้าดียังไง! ท่านพ่อ ท่านแม่ เร็วเข้า ช่วยสามีของข้าที!”
เย่ฉิงเสี่ยวไม่สนใจในท่าทีของเย่ชิงเฉิงเลยสักนิด เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ท่านเจ้าสำนัก ข้าขอเตือนว่าท่านอย่าได้บีบบังคับข้าจะดีกว่า! ท่านควรจะรู้ดีว่าเพียงแค่เศษเสี้ยวเจตจำนงเพียงเล็กน้อยของข้ามันก็สามารถทำให้เขาสลายเป็นฝุ่นผงได้แล้ว แต่ถ้าหากท่านไม่ยินยอม ท่านจะลองดูก็ได้ว่าข้ากับท่านใครกันที่จะเร็วกว่า!”
“ปล่อยเขาก่อน ข้าให้สัญญากับเจ้าว่าข้าจะโน้มน้าวเขาให้ช่วยพ่อของเจ้าให้ได้ ไม่ว่าจะยังไงพ่อของเจ้าก็เป็นผู้อาวุโสของสำนักข้า ซึ่งเขาเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิขั้นปลาย ข้าจำเป็นต้องช่วยเขาเหมือนกัน!” เย่ชางคงพูดกับเย่ฉิงเสี่ยว
ในทางกลับกัน มู่หลงหยานนั้นเลือกที่จะไม่ประนีประนอมเหมือนกับสามีของนาง นางจ้องหน้าเย่ฉิงเสี่ยว และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าเจ้าไม่ปล่อยลูกเขยของข้า และถ้ามีเกิดอะไรขึ้นกับเขา ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งซะ!”
ในตอนนี้สามีของนางได้ถูกช่วยออกมาแล้ว ซึ่งมันทำให้ความกลัดกลุ้มที่เกาะกินอยู่ในใจนางมานานหลายพันปีได้หายไป ท่าทีของนางจึงเปลี่ยนไปกลับกลายเป็นคนเดิมเหมือนเมื่อก่อนที่ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าใครทั้งนั้น
และที่สำคัญนางรู้เป็นอย่างดีถึงความพิสดารของลูกเขยนางคนนี้จากเย่หยูหลัน นางมั่นใจว่าถ้านางไม่รีบแก้ไขให้สถานการณ์นี้จบลงโดยเร็ว ชะตากรรมของเย่ฉิงเสี่ยวคงจะจบไม่สวยแน่นอน
ในทางกลับกันบรรดาคนของตระกูลอื่น ๆ ต่างพากันดูเหตุการณ์ด้วยสายตาเป็นประกาย
พวกเขามีญาติที่ติดอยู่ในนั้นเช่นกัน ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่ต้องการจ่ายราคาสูงเสียดฟ้าให้กับหลิงตู้ฉิง
หากเย่ฉิงเสี่ยวสามารถใช้วิธีการข่มขู่แบบนี้บังคับให้หลิงตู้ฉิงไปช่วยคนในเขตแดนหมอกได้ พวกเขาก็จะทำบ้างเช่นกัน เพราะมันจะทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องเสียสมบัติใด ๆ ออกไป
ดังนั้นไม่เพียงพวกเขาจะไม่ช่วยโน้มน้าวเย่ฉิงเสี่ยว แต่พวกเขากลับพยายามพูดขึ้นขัดเย่ชางคง และมู่หลงหยาน
“เจ้าสำนัก ท่านอย่าพึ่งบุ่มบ่ามลงมือทำอะไรในตอนนี้เลย ท่านก็รู้ว่าระดับการบ่มเพาะของหลิงตู้ฉิงนั้นต่ำแค่ไหน แค่เพียงเย่ฉิงเสี่ยวกระดิกนิ้ว หลิงตู้ฉิงก็คงไม่เหลือแม้เถ้ากระดูกให้พวกเราได้เห็น” หยูยงเห่าพูดขึ้นโน้มน้าว
หานเว่ยฮุยพูดเสริมขึ้นเช่นกัน “ใช่แล้ว ท่านเจ้าสำนัก โปรดไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนดีกว่า”
“น้องเย่…” หานหลิงอู่เอ่ยขึ้นกับเย่ชางคงเช่นกัน
แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้ทันได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น หานซ่งหยวนก็รีบโทรจิตพูดกับเขา ซึ่งมันทำให้เขาหุบปากลงทันที
“ท่านพ่อ หยุด! อย่าเข้าร่วมเด็ดขาด พวกเราแค่รอดูก็พอ!” หานซ่งหยวนรีบเอ่ยขึ้น
มีเพียงแค่เฉพาะผู้ที่เคยเจอกับหลิงตู้ฉิงมาก่อนหน้านี้แล้วเท่านั้นถึงรู้ว่า หลิงตู้ฉิงไม่ง่ายเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก มันจะไม่มีปัญหาอะไรหากพวกเขาวางตัวเป็นกลาง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่พวกเขาเข้าร่วมและกลายเป็นฝั่งตรงข้ามกับหลิงตู้ฉิง ชะตากรรมในอนาคตของพวกเขามันจะยิ่งอนาถมากขึ้นไปอีก
เย่ชางคงพูดกับเย่ฉิงเสี่ยวอีกครั้ง “ฉิงเสี่ยว นี่เจ้าไม่เชื่อข้าแล้วงั้นเหรอ? ปล่อยเขาไปก่อน ข้าสัญญาว่าพ่อของเจ้าจะต้องได้รับการช่วยออกมาอย่างแน่นอน”
เย่ฉิงเสี่ยวส่ายหัวและพูดว่า “ท่านเจ้าสำนัก มันไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อท่าน แต่ถ้าหากข้าปล่อยเขาไป ข้าเกรงว่าแม้แต่ท่านเองก็อาจจะไม่สามารถโน้มน้าวเขาได้ เอาไว้รอให้พ่อของข้าถูกช่วยออกมาก่อน จากนั้นหากท่านจะลงโทษข้าทีหลังข้าก็ไม่ว่า!”
หากพ่อของเขาถูกช่วยออกมาได้สำเร็จ ด้วยสถานะของพ่อเขาที่มีอยู่ในสำนัก เขามั่นใจว่าพ่อของเขาจะช่วยให้เขารอดจากการลงโทษได้อย่างแน่นอน
หลังจากเย่ฉิงเสี่ยวพูดกับเย่ชางคงจบประโยค เขาก็หันมาพูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไอ้หนุ่ม ไป! เข้าไปข้างในเขตแดนหมอกกับข้า ไปช่วยพ่อของข้าออกมา ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนว่าอย่าได้คิดตุกติก ไม่เช่นนั้นข้าฆ่าเจ้าจริง ๆ แน่!”
หลิงตู้ฉิงไม่พูดตอบโต้อะไร เขาหันหลังเดินเข้าไปด้านในเขตแดนหมอกทันที
แต่แล้วเมื่อทั้งหลิงตู้ฉิงและเย่ฉิงเสี่ยวก้าวไปเข้าในเขตแดนหมอกเพียงก้าวเดียว หลิงตู้ฉิงก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที “หากเจ้ายังคงดูอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไร เจ้าก็จงระวังตัวเอาไว้ว่าในอนาคตข้าจะกลับมาฉีกเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ!”
“ไอ้หน…” เย่ฉิงเสี่ยวตื่นตัวและกำลังจะขู่หลิงตู้ฉิงอีกรอบ แต่ว่าก่อนที่เขาจะได้ทันพูดจนจบประโยค จู่ ๆ ร่างของเขาและหลิงตู้ฉิงก็ถูกดึงผ่านมิติไปปรากฏตัวตรงหน้าหมาชราสีทอง
หมาชราสีทองมองไปยังเย่ฉิงเสี่ยวด้วยสายตารำคาญ
“หมาปีศาจงั้นเหรอ?” เย่ฉิงเสี่ยวเย้ยหยัน “เจ้านายเจ้าไปไหนซะล่ะ?”
หมาชราสีทองกรอกตามองบน และจากนั้นมันก็แสดงท่าทีไม่ใส่ใจอะไรกับเย่ฉิงเสี่ยว
“ถ้าเจ้าไม่ตอบ ข้าจะฆ่าเจ้าซะเดี๋ยวนี้!” เย่ฉิงเสี่ยวพูดขึ้นด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หมาชราสีทองจ้องเขม็งไปยังเย่ฉิงเสี่ยวทันที ซึ่งมันทำให้เย่ฉิงเสี่ยวทรุดลงไปนั่งคุกเข่าโดยที่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงแรงกดดดันที่มหาศาลจนเหมือนกับว่าโลกทั้งโลกได้ถล่มลงมาทับตัวเขา ในตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าหมาชราตัวนี้น่ากลัวขนาดไหน
หลิงตู้ฉิงเดินเข้ามาหาเย่ฉิงเสี่ยวอย่างเชื่องช้า และถามขึ้นว่า “พ่อของเจ้าคือคนไหน?”
เมื่อถามจบ หลิงตู้ฉิงก็ชี้นิ้วไปยังเหล่ากลุ่มคนที่นั่งหลับตาอยู่รอบ ๆ
เย่ฉิงเสี่ยวไม่ตอบอะไรออกมาสักคำ เขาได้แต่นั่งคุกเข่าจ้องมองไปที่หมาชราสีทองด้วยความหวาดกลัว
“ท่านผู้อาวุโส ข้าขออภัยด้วยจริง ๆ ที่บังอาจล่วงเกินท่านเมื่อครู่ โปรดท่านเมตตาข้าด้วย ข้าเพียงแค่ต้องการอยากช่วยพ่อของข้าก็เท่านั้น!” เย่ฉิงเสี่ยวเอ่ยขอร้องพลางโขกหัวลงกับพื้น
หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าจนใจ “ในเมื่อเจ้าอยากจะช่วยพ่อของเจ้า เจ้าก็จงบอกมาก่อนว่าพ่อของเจ้ามันเป็นคนไหนกันแน่ เข้าใจไหม?”
แม้จะถูกถามย้ำ เย่ฉิงเสี่ยวก็ยังคงไม่สนใจหลิงตู้ฉิง เขายังคงเอาแต่โขกหัวกับพื้นให้กับหมาชราสีทองที่กำลังนอนอยู่บนแท่นหิน
ในความคิดของเย่ฉิงเสี่ยว ตัวตนที่เขาควรสนใจในตอนนี้มีเพียงแค่หมาชราสีทองตัวนี้เท่านั้น
หมาชราสีทองเหลือบมองไปยังหลิงตู้ฉิง จากนั้นมันก็โบกขาหน้าของมัน ส่งผลให้ชายชราผู้หนึ่งที่นั่งหลับตาอยู่ลอยมาอยู่ข้าง ๆ เย่ฉิงเสี่ยว
หมาชราสีทองใช้การกระทำนี้เป็นการบ่งบอกกับหลิงตู้ฉิงว่าชายชราผู้นี้คือพ่อของเย่ฉิงเสี่ยว
“ท่านพ่อ…” เย่ฉิงเสี่ยวรีบหยุดโขกหัวกับพื้น และหันมามองชายชราที่อยู่ข้าง ๆ เขาทันที
แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้ชายชราผู้นั้นจะถูกส่งตัวมานั่งอยู่ข้าง ๆ เขาแล้ว ชายชราก็ยังคงนั่งนิ่งไร้สติเหมือนเช่นเดิม
หลิงตู้ฉิงมองไปยังคู่พ่อลูกและพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ทำตามกฎที่ข้าเคยบอกเอาไว้ ดังนั้นนับจากนี้ไปทั้งเจ้าและพ่อของเจ้าก็จงกลายมาเป็นทาสของข้า! เอาล่ะ จงทำให้พวกเขากลายเป็นทาสของข้าอย่างสมบูรณ์ที อ๋อ อย่าทำให้พวกเขากลายเป็นหุ่นเชิดล่ะ ไม่เช่นนั้นข้าคงเอาพวกเขาไปใช้อะไรไม่ได้มาก”
หมาชราสีทองกรอกตาพร้อมกับคิดในใจ ‘ข้าบอกไปแล้วว่าเจ้าไม่ใช่เจ้านายข้าอีกต่อไป แต่เจ้ากลับยังคงสั่งข้าให้ทำนู่นทำนี่อยู่อีกเนี่ยนะ?’
ถึงแม้ว่ามันจะคิดเช่นนั้น แต่มันก็ยังคงทำตามที่หลิงตู้ฉิงบอก
ที่ด้านนอกของเขตแดนหมอก เหล่าผู้คนกำลังมองไปที่เขตแดนหมอกพร้อมกับคิดคำนวณในใจ
หานหลิงอู่เดินเข้าไปหาเย่ชางคงด้วยรอยยิ้ม และพูดว่า “น้องเย่ ข้าขอยินดีด้วยที่เจ้าสามารถกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย ว่าแต่ข้างในนั้นมันมีอะไรกันแน่? ทำไมเจ้าถึงติดอยู่ข้างในและไม่สามารถออกมาได้ด้วยตัวเอง?”
เย่ชางคงยิ้มอย่างขมขื่นและตอบกว่า “มันคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์!”
ตัดสินจากรูปลักษณ์และความแข็งแกร่งของหมาชราสีทอง เย่ชางคงสรุปได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แน่นอน
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะได้ข้อสรุปแบบนั้น เขาก็ยังคงรู้สึกแปลกใจอยู่เช่นกัน เนื่องจากเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีหมาเป็นที่เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ด้วย
เมื่อทุกคนได้ยินที่เย่ชางคงพูดว่าสิ่งที่อยู่ข้างในเขตแดนหมอกคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาต่างก็รู้สึกขนหัวลุก
ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งหลายต่างได้ลองใช้วิธีการต่าง ๆ มากมายในการทำให้เขตแดนหมอกนี้หายออกไป ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับการไปรบกวนสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้
ซึ่งมันถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขามาก ๆ ที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้นั้นยังมีความเมตตาไม่เอาเรื่องพวกเขามากมาย ไม่เช่นนั้นหากเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวอื่นที่ดุร้ายแล้วล่ะก็ สำนักของพวกเขาคงถูกทำลายไปนานมากแล้ว
“ในเมื่อสิ่งที่อยู่ข้างในคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้างั้นหลิงตู้ฉิงพาเจ้าออกมาได้ยังไง?” หยูหงเว่ยถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
ไม่ใช่แค่หยูหงเว่ยคนเดียวเท่านั้นที่อยากรู้คำตอบของคำถามนี้ ทุก ๆ คนที่อยู่ในที่นี้ก็อยากรู้เหมือนกันหมด
เย่ชางคงหัวเราะอย่างขมขื่นและตอบว่า “ไอ้หนุ่มนั่นเอาเนื้อย่างให้กับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นกิน ซึ่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นดูท่าว่าจะชอบเอามาก ๆ เอ๊ะ! ไม่สินี่มันไม่ถูกต้อง ไม่นะนี่มันเป็นปัญหาใหญ่แล้ว!”
เย่ชางคงมองไปยังเขตแดนหมอกด้วยสายตาตกตะลึง เนื่องจากเขาพอจะเดาอะไรได้คร่าว ๆ แล้ว!