พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 561 เจ้านายคนใหม่
ทันใดนั้น แนวความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวเย่ชางคง ซึ่งมันเป็นแนวความคิดที่สามารถตอบคำถามในหัวของเขาได้สมเหตุสมผลมากที่สุด เหตุผลที่หลิงตู้ฉิงรู้ว่าหมาชราตัวนั้นชอบกินเนื้อย่างก็เป็นเพราะเขาและหมาตัวนั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาก่อน! แต่แล้วตอนนี้ เย่ฉิงเสี่ยวกลับข่มขู่หลิงตู้ฉิงให้กลับเข้าไปในเขตแดนหมอก…
ขนาดตัวเขาเองมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิขั้นกลาง เขายังไม่สามารถต่อต้านแม้เพียงกลิ่นอายของหมาชราตัวนั้นได้แม้แต่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับเย่ฉิงเสี่ยวที่อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิขั้นต้น
หากหมาตัวนั้นเกิดหงุดหงิดขึ้นมา เย่ฉิงเสี่ยวคงตายโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองโดนอะไรตายด้วยซ้ำ
ตามคำอุทานของเย่ชางคง ในตอนนี้คนอื่น ๆ ต่างก็เริ่มกลับมาคิดทบทวนเกี่ยวกับหลิงตู้ฉิงใหม่อีกรอบ ซึ่งหลาย ๆ คนก็เริ่มนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเขาไปตามหลิงตู้ฉิงที่เรือนของเย่ชิงเฉิง พวกเขาก็เห็นว่าหลิงตู้ฉิงกำลังย่างเนื้ออยู่
ซึ่งเนื้อเหล่านั้นที่หลิงตู้ฉิงย่างเตรียมไว้ก็เป็นเพราะว่าเขาจะนำมาให้กับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้สินะ?
แต่ถ้าหากหลิงตู้ฉิงรู้ตัวเตรียมเนื้อเอาไว้ก่อนแบบนี้ มันก็แปลว่าเขาจะต้องมีความคุ้นเคยกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้เป็นอย่างดีใช่ไหม?
หลังจากวิเคราะห์กันจนถี่ถ้วน ผลลัพธ์ที่พวกเขาคิดได้มันก็ทำให้พวกเขาขนลุก
หลังจากนั้นไม่นาน หลิงตู้ฉิงก็เดินออกมาจากเขตแดนหมอกพร้อมกับสองพ่อลูก เย่จางเฟิง และ เย่ฉิงเสี่ยว ซึ่งภาพเช่นนี้มันทำให้บรรดาคนอื่น ๆ ที่รออยู่ด้านนอกถึงกับประหลาดใจว่าทำไมเย่ฉิงเสี่ยวถึงยังไม่ตาย?
สรุปแล้ว หลิงตู้ฉิงกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นไม่ได้สนิทกันงั้นเหรอ?
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ หากพวกเขาจะข่มขู่หลิงตู้ฉิงให้พาคนของเขาออกมาโดยไม่ต้องจ่ายราคา พวกเขาก็ทำได้โดยที่ไม่ต้องกลัวผลที่ตามมาสินะ?
เมื่อสรุปความคิดได้แบบนี้ ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สมบูรณ์ผู้หนึ่งก็พุ่งตัวเข้าไปประชิดตัวหลิงตู้ฉิงทันทีและพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “เข้าไปข้างในและช่วยพ่อของข้ากับข้าซะ ไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้า!”
หลิงตู้ฉิงไม่พูดตอบโต้อะไรสักคำ เขาหันกลับและเดินเข้าไปในเขตแดนหมอกพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สมบูรณ์ผู้นั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
มาตรงถึงจุดนี้ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็พากันแสดงสีหน้าประหลาดใจ โดยเฉพาะเหล่าผู้คนที่คุ้นเคยกับหลิงตู้ฉิง พวกเขายิ่งแสดงอาการสงสัยหนักเข้าไปใหญ่
โดนข่มขู่ติด ๆ กันแบบนี้ ทำไมยังคงไม่มีท่าทีตอบโต้อะไรบ้างเลย?
ในเวลาเดียวกับที่ทุกคนกำลังรู้สึกครุ่นคิดว่าพอหลิงตู้ฉิงออกมารอบต่อไปพวกเขาจะเอายังไงต่อ เย่จางเฟิงและเย่ฉิงเสี่ยวก็ค่อยเดินมาหาเย่ชิงเฉิงอย่างเงียบ ๆ
จนเมื่ออยู่ในระยะเอื้อมมือถึง เย่จางเฟิงและเย่ฉิงเสี่ยว ทั้งสองคนพ่อลูกก็เข้าคว้าตัวของเย่ชิงเฉิงไว้และรีบพาตัวเย่ชิงเฉิงกระโดดหนีไปอยู่รวมกับกลุ่มของเสี่ยวเยว่เฟิงและคนอื่น ๆ จากนั้นทั้งสองพ่อลูกก็ยืนแสดงท่าทีคุ้มกันคนทั้งกลุ่มและกวาดตามองไปยังผู้คนรอบ ๆ ด้วยสายตาระมัดระวัง
มู่หลงหยานที่ไม่ได้ทันระวังและเห็นว่าลูกสาวของตัวเองโดนฉกตัวไปต่อหน้าต่อตา นางระเบิดอารมณ์โมโหทันทีและตะคอกว่า “เย่จางเฟิง นี่เจ้ากับลูกของเจ้ากำลังทำบ้าอะไรกัน? ตู้ฉิงเป็นคนช่วยเจ้าออกมา แต่แล้วเจ้ากลับตอบแทนบุญคุณเขาแบบนี้งั้นเหรอ!?”
คนอื่น ๆ ต่างมองไปที่เย่จางเฟิงและเย่ฉิงเสี่ยวด้วยสีหน้างุนงง พวกเขาไม่เข้าใจว่าสองพ่อลูกคู่นี้ต้องการทำอะไรกันแน่?
เย่จางเฟิงตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “ด้วยคำสั่งของนายท่านให้พวกข้าปกป้องคนของเขา พวกเจ้าทุกคนจงถอยออกไป อย่าได้เข้ามาใกล้ ไม่เช่นนั้นพวกข้าจะโจมตีทันที!”
เย่ฉิงเสี่ยวยิ้มให้กับเย่ชิงเฉิง และพูดว่า “นายหญิง ท่านไม่ต้องเป็นกังวล พวกเราจะปกป้องท่านด้วยชีวิตของพวกเราเอง!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรยากาศรอบ ๆ หลังสำนักก็กลายเป็นเงียบกริบ ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ล้วนแล้วแต่อ้าปากค้างมองไปที่เย่จางเฟิงและเย่ฉิงเสี่ยวด้วยอาการตกตะลึง
มู่หลงหยานที่ในตอนแรกมีอารมณ์เดือนดาลและอาฆาต แต่ว่ามาถึงตอนนี้นางกลับทำได้เพียงอ้าปากค้างด้วยความรู้ตกตะลึงเช่นกัน
หลังจากผ่านไปสักพักจนได้สติ เย่ชางคงก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าลังเล “จางเฟิง นี่เจ้าหมายถึงใครเป็นเจ้านายของเจ้านะ? หลิงตู้ฉิง หรือว่า สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้น?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ความคิดของทุกคนก็แล่นทันที พวกเขาต่างคาดเดากันว่ามันน่าจะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นที่เย่จางเฟิงยอมรับว่าเป็นเจ้านายแน่นอน!
“นี่พวกเจ้าทั้งคู่ได้รับการยอมรับจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นให้พวกเจ้ากลายเป็นผู้ติดตามงั้นเหรอ?” คนที่อยู่รอบ ๆ ถามขึ้น
เย่จางเฟิงและเย่ฉิงเสี่ยวไม่ตอบอะไรกลับทั้งนั้น พวกเขาทั้งคู่แค่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวังต่อโดยไม่พูดอะไร
ในเวลานี้ มู่หลงหยานเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว นางนึกย้อนไปถึงคำบอกเล่าของเย่หยูหลันเกี่ยวกับหลิงตู้ฉิงว่าเป็นคนยังไง ซึ่งตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้แตกต่างจากวิธีการที่ผ่านมาที่เขาชอบใช้เลยแม้แต่น้อย
จากประวัติของหลิงตู้ฉิงที่เคยปราบวิญญาณปีศาจขอบเขตจักรพรรดิมาแล้วหรือแม้กระทั่งถล่มสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์จนย่อยยับ ดังนั้นการที่เขาจะสามารถทำให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิสักคนสองคนให้กลายเป็นคนของเขานั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้
โดยเฉพาะหลิงตู้ฉิงน่าจะมีสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านในเขตแดนหมอก
เมื่อคิดได้เช่นนี้ มู่หลงหยานก็ได้แต่ยิ้มอย่างข่มขื่นให้กับชะตากรรมของผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สมบูรณ์เมื่อครู่ที่กล้าข่มขู่หลิงตู้ฉิง และให้พาเข้าไปในเขตแดนหมอก
และก็ตามที่นางคาดไว้ ผ่านไปไม่นานหลิงตู้ฉิงก็ออกมาพร้อมกับร่างของมุนษย์อีกสองคนที่เดินตามติดมาไม่ห่าง
เมื่อออกมาจากเขตแดนหมอก หลิงตู้ฉิงก็สั่งหยูเจิ้นไห่และหยูคงหมิงที่ยืนประกบเขาอยู่ “จงไปปกป้องคนของข้าซะ!”
สองพ่อลูก หยูเจิ้นไห่และหยูคงหมิงพยักหน้าแทบจะพร้อมเพรียงกัน และตอบกลับว่า “รับทราบนายท่าน!”
เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ ทุกคนก็ได้คำตอบที่ติดค้างอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว
มันสรุปได้แล้วว่า หลิงตู้ฉิงกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ข้างในนั้นรู้จักกันอย่างแน่นอน! ด้วยการสนับสนุนของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้หากพวกเขาเกิดทำให้หลิงตู้ฉิงเป็นอะไรขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบไหว?
ตอนนี้ไม่มีใครที่มีความคิดอยากจะข่มขู่หรือเล่นไม่ซื่อกับหลิงตู้ฉิงอีกต่อไปแล้ว
เมื่อหยูเจิ้นไห่และหยูคงหมิงเดินเข้าไปสมทบกับกลุ่มของเย่จางเฟิงและเย่ฉิงเสี่ยว และคนอื่น ๆ หลิงตู้ฉิงก็กวาตามองไปยังผู้คนรอบและถามขึ้นว่า “มีใครในพวกเจ้าที่ต้องการให้ข้าพาเข้าไปเอาญาติของตัวเองออกมาอีกไหม? แต่ถ้าจะให้ดีข้าขอเป็นประเภทที่เมื่อข้าพาออกมาแล้วข้าเอามาใช้ประโยชน์ได้นะ!”
ทุกคนต่างปิดปากเงียบไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีกต่อไป โดยเฉพาะบรรดาผู้คนที่เคยมีความคิดจะใช้กำลังข่มขู่หลิงตู้ฉิง พวกเขาต่างไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองซะด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่าไมมีใครตอบอะไรเลย หลิงตู้ฉิงก็ได้แต่ส่ายหัวด้วยความเสียดาย “แค่สี่คนเองงั้นเหรอ…ข้าก็นึกว่าจะได้เยอะมากกว่านี้!”
เย่ชางคงยิ้มอย่างขมขื่น “เอ่อ…ลูกเขยเจ้า…”
“นายท่าน ก่อนหน้านี้ตอนที่ท่านยังอยู่ข้างในเขตแดนหมอก ไอ้คนผู้นั้นมันต้องการจะฆ่าพวกเรา!” เปียนเฉียวเฉียวรีบพูดขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่หลิวไฮ่กวน
หลิงตู้ฉิงยิ้มอย่างเย็นชาและสั่งขึ้นทันที “จับตัวมันไว้!”
เย่จางเฟิงส่งพลังเจตจำนงของตัวเองผนึกการเคลื่อนไหวของหลิวไฮ่กวนทันที จากนั้นเขาก็พุ่งตัวไปคว้าร่างของหลิวไฮ่กวนกลับมาอยู่ตรงหน้าของหลิงตู้ฉิง
หลิวไฮ่กวนนั้นไม่มีปัญญาต่อต้านได้แม้แต่น้อย เนื่องจากระดับการบ่มเพาะของเขานั้นอยู่เพียงแค่ขอบเขตราชันขั้นต้น แต่ระดับการบ่มเพาะของเย่จางเฟิงนั้นคือขอบเขตจักพรรดิขั้นปลาย ด้วยความต่างของระดับการบ่มเพาะมากถึงขนาดนี้ หลิวไฮ่กวนจึงไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ที่รอถูกเชือด
“ท่านเจ้าสำนัก ช่วยข้าด้วย!” หลิวไฮ่กวนกรีดร้องด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ข้า…”
หลิงตู้ฉิงสั่งต่อ “โยนมันเข้าไปข้างใน!”
เย่จางเฟิงโยนหลิวไฮ่กวนเข้าไปในเขตแดนหมอกทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงหลังจากได้รับคำสั่ง จากนั้นเขาก็พุ่งตัวกลับมายืนอยู่ข้าง ๆ เย่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ เพื่อคอยทำหน้าที่คุ้มกันต่อไป
บรรดาผู้คนที่อยู่รอบ ๆ เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ต่างก็พากันยืนเงียบไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ พวกเขาได้แต่ยืนมองไปที่เย่ชางคงว่าจะจัดการกับสถานการณ์นี้ยังไง เพราะว่าเย่ชางคงคือเจ้าสำนักแถมยังเป็นพ่อตาของหลิงตู้ฉิง
ในที่สุดเย่ชางคงก็อดไม่ได้และพูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนว่า “ตู้ฉิง เจ้าไม่คิดว่าเจ้าควรจะให้อภัยพวกเขาสักหน่อยเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้ากำลังขาดกำลังคนพอดี! ในเมื่อนี่เป็นโอกาสที่ดีที่ข้าสามารถได้กำลังคนมาเพิ่มข้าก็จะใช้พวกเขา! ไว้หลังจากข้าใช้พวกเขาเสร็จเมื่อไหร่ และถ้าพวกเขายังคงมีชีวิตรอดอยู่ ข้าจะคืนพวกเขาให้ก็แล้วกัน”
“แต่เจ้าเอาคนของสำนักข้าไปเยอะขนาดนี้แล้วข้าจะทำยังไง…” เย่ชางคงยิ้มอย่างขมขื่น
หลิงตู้ฉิงชี้เข้าไปในเขตแดนหมอกและพูดว่า “ยังมีข้างในอีกเยอะ! และอีกอย่างข้าอุตส่าห์รักษาคำพูดมาเยือนที่สำนักของเจ้า แต่แล้วดูสิว่าพวกเจ้าต้อนรับข้ายังไง?”
“แต่ก็ช่างเถอะมันไม่มีประโยชน์จะพูดอะไรถึงเรื่องเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว เอาเป็นว่าถ้าหากใครต้องการให้ข้าช่วยญาติของตัวเองที่ติดอยู่ข้างในก็จงทำตามเงื่อนไขของข้าซะ ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าเตรียมตัวและเมื่อพวกเจ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็จงมาหาข้า แต่ข้าเตือนเอาไว้ก่อนว่าข้าจะอยู่ที่นี่ไม่นานนัก หากถึงเวลาเมื่อไหร่ข้าจะจากไปทันที!”
หลังจากพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็เดินกลับเข้าไปในเขตแดนหมอก และจากนั้นไม่นานเขาก็ออกมาพร้อมกับทาสขอบเขตราชันขั้นต้นอีกคน!