พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 563 สำนักวารีศักดิ์สิทธิ์มาเยือน
ท้ายที่สุดเมื่อการแลกเปลี่ยนจบลง หลิงตู้ฉิงก็ได้วัสดุระดับบรรพกาล จักรพรรดิและสวรรค์จากทั้งสามตระกูลมาเป็นจำนวนมหาศาล
ส่วนเรื่องการช่วยคนที่ติดอยู่ในเขตแดนหมอกนั้น หลิงตู้ฉิงก็ช่วยออกมาจนหมดตามที่สัญญาไว้ ซึ่งแม้แต่ร่างไร้วิญญาณของผู้ที่ตายลงไปที่ยังไม่เน่าเปื่อยเพราะลักษณะพิเศษของเขตแดนหมอกก็ถูกนำออกมาเช่นกัน
จนท้ายที่สุดในเขตแดนหมอกก็เหลือเพียงสองคนที่ยังติดอยู่ในนั้น หนึ่งคือ เล้งเจี้ยนชิว ส่วนอีกคนก็คือ เฉินจี้ซี
“มีพวกเจ้าคนไหนอยากจะจ่ายราคาให้ข้าช่วยสองคนนั้นที่เหลือออกมาไหม?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น
เนื่องจากถ้าเขาปล่อยสองคนนั้นให้ยังอยู่ในเขตแดนหมอกต่อไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงเอ่ยถามขึ้นเผื่อว่าเขาจะได้กำไรวัสดุเพิ่ม
แต่น่าเสียดายที่ทั้งสามตระกูลต่างก็ไม่มีใครเอ่ยปากขอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเอาตัวทั้งสองคนออกมา
ไม่ว่าจะยังไง เล้งเจี้ยนชิวก็เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นต้น ซึ่งมันต้องใช้วัสดุระดับบรรพกาลถึง 3 ชิ้นในการพาเขาออกมา ซึ่งวัสดุระดับนี้มันก็ใช่ว่าจะมูลค่าน้อยซะที่ไหน ดังนั้นมันจึงไม่มีใครต้องการจะจ่าย
และอีกอย่าง เล้งเจี้ยนชิวนั้นเป็นผู้นำของฝ่ายเป็นกลางที่ชอบขัดแย้งกับพวกเขาอยู่แล้ว ดังนั้นจะมีใครที่ต้องการเสียสมบัติของตัวเองให้ฝั่งตรงข้าม?
เล้งหวงรีบรุดหน้ามาหาหลิงตู้ฉิงทันทีเมื่อได้ข่าวว่าคนอื่น ๆ สามารถถูกช่วยออกมาได้หมดแล้ว เขารีบพูดขึ้นว่า “ข้ายอมจ่าย! ตราบใดที่เจ้าสามารถช่วยพ่อของข้ากับเฉินจี้ซีได้ ข้ายอมจ่ายให้เจ้าแน่นอน!”
เมื่อได้ยินเล้งหวงกล่าวเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็ตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าคิดราคาเจ้าเพิ่มสามเท่าตัว!”
เล้งหวงตกตะลึงทันทีเมื่อถูกเรียกราคาขนาดนี้ เขารีบตอบกลับทันที “ทำไมเจ้าถึงเรียกราคาข้าเพิ่มตั้งสามเท่าทั้ง ๆ ที่คนอื่น…”
ในระหว่างที่กำลังพูดและนึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง เขาก็หุบปากทันที
เมื่อครู่เขาขาดสติเกินไปจนไม่ได้นึกถึงว่าการที่หลิงตู้ฉิงเรียกราคาเขาเพิ่มสามเท่านั้นถือว่าใจดีมากแล้ว อันที่จริงกับความจริงที่เขาก่อไป เขาควรจะโดนฆ่าซะด้วยซ้ำ
จากนั้นเขาจึงสูดหายใจลึกและเริ่มพูดใหม่ว่า “ข้าไม่มีปัญญาหาวัสดุระดับบรรพกาลได้ถึง 12 ชิ้นหรอก ข้าขอใช้วัสดุระดับอื่นในการจ่ายได้ไหม?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ข้าไม่สนใจวัสดุระดับอื่น หากตอนนี้เจ้าไม่มีก็จงรีบไปหามาเพิ่มซะ แต่จงรีบหน่อยเพราะข้าจะอยู่ที่นี่อีกไม่นานนักหรอก”
“ถ้างั้นโปรดเจ้าให้เวลาข้าสักหน่อย ข้าขอไปหาหนทางหาวัสดุระดับบรรพกาลมาเพิ่มก่อน” เล้งหวงรีบตอบกลับทันที
เล้งเจี้ยนชิวนั้นคือเสาหลักของตระกูลเขา หากไม่มีเล้งเจี้ยนชิว ตระกูลของเขาก็ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ดังนั้นเล้งหวงจึงจำเป็นต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยพ่อของเขาออกมาให้ได้
หลังจากที่เล้งหวงจากไป เย่ชางคงก็ยิ้มให้หลิงตู้ฉิงและพูดว่า “ลูกเขย ข้าขอคุยอะไรกับเจ้าหน่อยจะได้ไหม? เจ้าช่วยบอกให้ท่านผู้นั้นย้ายออกจากสำนักเราไปหน่อยจะได้รึเปล่า?”
เนื่องจากหมาชราสีทองที่อยู่ในเขตแดนหมอกนี้กลิ่นอายของมันข่มมหาวิถีเต๋าของพวกเขาอยู่ มันส่งผลให้มหาวิถีเต๋าของสำนักเขาไม่สามารถพัฒนาต่อได้ และในเมื่อตอนนี้คนที่สามารถคุยกับหมาชราสีทองได้มาอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว เขาจึงคาดหวังให้หลิงตู้ฉิงช่วยแก้ปัญหานี้ให้อีกอย่าง
ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหลิงตู้ฉิงช่วยพวกเขาแก้ปัญหานี้ได้ พวกเขาก็ยินดีที่จะจ่ายไม่อั้น
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “มันไม่ยอมไปไหนในช่วงเวลาเร็ว ๆ นี้แน่ เอาเป็นว่าก็อย่าไปยุ่งกับมัน แล้วมันก็จะไม่วุ่นวายกับพวกเจ้าเช่นกัน”
อันที่จริงหลิงตู้ฉิงเองก็อยากจะพาหมาตัวนี้ที่เคยเป็นอาวุธของเขาไปด้วยเช่นกัน
แต่น่าเสียดายที่มันไม่ต้องการไปกับเขา ซึ่งในตอนนี้เขาก็คงไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ ดังนั้นเขาก็ได้แต่ยินยอมปล่อยมันไว้แบบนี้
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ เย่ชางคงก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
ในระหว่างที่เล้งหวงกลับไปหาวัสดุมาจ่าย หลิงตู้ฉิงก็ไม่ได้อยู่รอที่หลังสำนักอีกต่อไป เขาเลือกที่จะกลับไปรอที่เรือนของเย่ชิงเฉิงแทน
เมื่อไปถึงเรือน เย่ชิงเฉิงก็มองไปที่เหล่าคนรับใช้ใหม่อันแข็งแกร่งและจงรักภักดีทั้งห้าด้วยสีหน้าขัดแย้งเล็กน้อย และพูดว่า “สามี พวกเขาเกือบทั้งหมดต่างเป็นเหล่าผู้อาวุโสของสำนัก…”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ข้ารู้ แต่ตอนนี้เจ้าก็รู้ว่าพวกเราเองก็ขาดผู้เชี่ยวชาญระดับสูงไว้คอยคุ้มกัน แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ในอนาคตหากเมื่อไหร่ข้าไม่ต้องการคนพวกนี้แล้ว ข้าจะปล่อยพวกเขาให้กลับมาที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์อีกรอบ”
อันที่จริงหากจะเรียกคนเหล่านี้ว่าเป็นทาสมันจะเหมาะสมกว่าในการเรียกพวกเขา เนื่องจากว่าในตอนนี้ความคิดอ่านของพวกเขาทั้งหมดได้ถูกทำให้เปลี่ยนไปโดยหมาชราสีทอง พวกเขาเหล่านี้จะฟังแต่คำสั่งของหลิงตู้ฉิงเพียงคนเดียวเท่านั้น และจะยังคงเป็นเช่นนี้ตราบจนวันที่พวกเขาสิ้นลมหายใจหรือจนกว่าหลิงตู้ฉิงจะทำการคืนสติของพวกเขาให้กลับมาเป็นปกติ
เย่ชิงเฉิงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ถึงแม้ว่าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของข้าจะดำรงอยู่มานาน แต่พวกเราก็ไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิมากนัก แต่นี่ท่านกลับเอาไปด้วยถึงสองคน…”
แม้ว่าเย่ชิงเฉิงอยากจะโน้มน้าวให้หลิงตู้ฉิงปราณีสำนักนางกว่านี้สักหน่อย แต่นางก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มาก เนื่องจากคนเหล่านี้หาเรื่องใส่ตัวเองก่อน และอีกอย่างคนเหล่านี้ก็ยังมีชีวิตอยู่แถมหลิงตู้ฉิงก็ได้เอ่ยแล้วว่าจะคืนให้กับสำนักของนางเมื่อเขาใช้งานคนเหล่านี้เสร็จ
ในทางกลับกัน คนอื่น ๆ ที่เห็นภำเช่นนี้กลับยิ่งรู้สึกเทิดทูนหลิงตู้ฉิงมากขึ้นไปอีกหลายระดับ พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจู่ ๆ กลุ่มของพวกเขาจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิมาเสริมอีกถึง 2 คน
ในเวลาเดียวกัน มู่หลงหยานก็เข้ามาในเรือนของเย่ชิงเฉิง และพูดกับหลิงตู้ฉิงและเย่ชิงเฉิงว่า “ตู้ฉิง ชิงเฉิง คนของสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ ฉีหานหยู มาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวสำคัญ พวกเจ้าต้องการจะออกมาฟังด้วยกันไหม?”
เย่ชิงเฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคียดแค้นทันที “นี่พวกเขายังกล้าโผล่หน้ามาที่นี่อีกงั้นเหรอ!?”
มู่หลงหยานส่ายหัว “แม่คิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องของเบื้องหลังการต้อนรับอันเย็นชาที่พวกเจ้าเผชิญเมื่อตอนอยู่ที่สำนักของพวกเขาแน่นอน เอาเป็นว่าพวกเจ้าก็ลองไปฟังเขาสักหน่อยที่ห้องโถงใหญ่ของสำนักดีกว่าไหม?”
“สามี พวกเราไปกันเถอะ ไปฟังสักหน่อยว่าคนเหล่านั้นจะแก้ตัวว่ายังไง!” เย่ชิงเฉิงลุกขึ้นทันทีและพูดขึ้น
ในเวลาที่ผ่านมานางเก็บความแค้นนี้ไว้เงียบมาโดยตลอด ดังนั้นในวันนี้นางจึงอยากจะรู้ว่าสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์จะมาไม้ไหน
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ได้ติดใจอะไรสักเท่าไหร่ แต่ข้าจะไปฟังสักหน่อยก็ได้”
จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็พาเย่จางเฟิงและหยูเจิ้นไห่ไปที่ห้องโถงใหญ่ของสำนัก
เมื่อบรรดาเหล่าผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ได้เห็นเย่จางเฟิงและหยูเจิ้นไห่เดินตามหลังหลิงตู้ฉิงต้อย ๆ พวกเขาก็รู้สึกสลดในใจ
คนทั้งคู่นั้นเป็นถึงระดับผู้อาวุโสของสำนัก แต่ตอนนี้กลับกลายมาเป็นได้แค่คนรับใช้…
“เอาล่ะ ตอนนี้คนของข้าได้มากันครบแล้ว เจ้ามีอะไรจะพูดก็จงรีบพูดมา!” เย่ชางคงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ