พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 569 ไม่รู้จักกัน
ถึงแม้ว่าอู่หยุนจี๋จะไม่เคยได้ยินชื่อของหวงเซียะมาก่อน แต่เมื่อเขาได้ยินว่านางเป็นคนของภูเขาฟีนิกซ์ เขาจึงไม่กล้าที่จะเพิกเฉยต่อคำกล่าวของนาง
เขารีบนำคำขอของหวงเซียะไปรายงานต่อหลิงยี่เทียนทันที
หลิงยี่เทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย “คนของภูเขาฟีนิกซ์มาที่นี่งั้นเหรอ? แม่ทัพอู่ เจ้าจงไปนำนางเข้ามาหาข้า”
เขารู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าคนของภูเขาฟีนิกซ์มาที่นี่ทำไม แล้วยิ่งคนในครอบครัวของเขาบางคนมีความสัมพันธ์กับภูเขาฟีนิกซ์ด้วยอยู่แล้ว มันก็ยิ่งทำให้เขาอยากรู้มากเข้าไปอีกว่าเป้าหมายที่แท้จริงของหวงเซียะคืออะไร
ไม่นานต่อมา หวงเซียะและหลิงยี่เทียนก็ได้พบกัน
“ข้าสงสัยว่าแม่นางหวงเซียะต้องการพบข้าเนื่องจากเหตุใด?” หลิงยี่เทียนถามขึ้น
หวงเซียะยิ้มและตอบว่า “พวกเรามาที่ทะเลชางหมางเพราะต้องการตามจับกุมตัวเหล่าผู้ทรยศที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มเสื้อคลุมโลหิต หากฝ่าบาทช่วยเหลือพวกเราในการตามหาคนเหล่านั้น ภูเขาฟีนิกซ์ของเราจะจดจำบุญคุณนี้เอาไว้”
“โดยเฉพาะหลังจากที่ข้าเข้ามาในทะเลชางหมาง ข้าได้ยินข่าวว่าฝ่าบาทเพิ่งจะผ่านศึกใหญ่กับเหล่าเผ่าอสูรและสังหารพวกมันไปมากมาย ซึ่งฝ่าบาทอาจจะยังไม่ทรงทราบว่าแท้จริงแล้วเหล่าอสูรพวกนั้นมันมีที่มาที่แข็งแกร่งขนาดไหน เอาเป็นว่าข้าจะบอกกับฝ่าบาทว่าถ้าหากทะเลชางหมางไม่มีผนึกค่อยปกป้องแล้วล่ะก็ พวกท่านจะตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่งยวด หากฝ่าบาทช่วยเหลือพวกเรา เมื่อถึงเวลาที่ฝ่าบาทต้องการความช่วยเหลือ พวกเราก็จะยื่นมือช่วยท่านเช่นกัน”
หลิงยี่เทียนหัวเราะ “ไอ้พวกอสูรเหล่านั้นน่ะเหรอ? พวกมันก็เป็นอสูรที่มาจากสันเขาหมื่นอสูรถูกต้องใช่ไหมล่ะ ทำไมข้าจะไม่รู้เรื่องนี้? ต่อให้มันกล้ามาบุกข้าอีก ข้าก็จะฆ่ามันจนไม่เหลือเหมือนเดิมไม่ว่าพวกมันจะเป็นอสูรชนิดไหนก็ตาม ส่วนกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตที่แม่นางเอ่ยขึ้นมานั้น ถึงแม้ว่าข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของคนกลุ่มนี้มาบ้าง แต่ข้าก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าแหล่งกบดานของพวกเขาอยู่ที่ไหน”
ถึงแม้ว่ากลุ่มเสื้อคลุมโลหิตจะไม่ใช่กลุ่มคนดีอะไรนัก แต่หลิงยี่เทียนก็ไม่ได้มีความรู้สึกเป็นปรปักษ์อะไรด้วย เนื่องจากอย่างน้อย ๆ ก็มีผู้ที่เคยเป็นสมาชิกกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตอยู่ในครอบครัวเขาถึง 2 คน ดังนั้นตราบใดที่กลุ่มเสื้อคลุมโลหิตไม่มาวุ่นวายอะไรกับอาณาจักรของเขา เขาก็จะไม่ไปวุ่นวายอะไรด้วยเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงตั้งใจว่าจะไม่ให้ความช่วยเหลือใด ๆ กับหวงเซียะ ถึงแม้ว่านางจะเสนอความช่วยตอบกลับแก่เขาเช่นกันเขาก็ไม่สนใจ ซึ่งถ้าหากไม่ใช่ว่าครอบครัวของเขามีความเกี่ยวพันกับภูเขาฟีนิกซ์อยู่บ้าง เขาคงไม่ปฏิเสธแบบถนอมน้ำใจเช่นนี้
อันที่จริงถ้าหากหลิงเทียนหยุนได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับให้กับหลิงยี่เทียนฟังบ้าง คำตอบมันก็คงจะไม่ออกมาเป็นรูปแบบนี้ หลิงยี่เทียนคงจะให้ความช่วยเหลือกับหวงเซียะไปแล้ว
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้หลิงเทียนหยุนไม่อยู่ที่นี่ เขากำลังอยู่ที่เกาะมายาเพื่อเก็บตัวบ่มเพาะอยู่เพียงลำพัง
ในทะเลชางหมางนั้นมีเกาะอยู่มากมาย เกาะมายานั้นคือเกาะที่อยู่ทางใต้สุดของทะเลชางหมาง ส่วนปัจจุบันเกาะน้ำเต้าที่เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลชางหมางได้กลายมาเป็นที่ตั้งใหม่ของเมืองหลวงของอาณาจักรจันทรา ซึ่งอยู่ที่กึ่งกลางทะเลชางหมางพอดี ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่หลิงเทียนหยุนจะรู้ว่าหวงเซียะได้มาถึงที่นี่
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ หวงเซียะก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ฝ่าบาทจะช่วยพวกเราสักหน่อยไม่ได้เลยงั้นเหรอ? ข้าพร้อมที่จะจ่ายข้าตอบแทนท่านเป็นอย่างงามสำหรับการช่วยเหลือพวกเราครั้งนี้”
หากเป็นเมื่อก่อน นางคงโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปแล้ว แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ที่นางถูกสั่งสอนไปโดยหลิงตู้ฉิง ซึ่งถึงแม้ว่านางจะจำไม่ได้แต่นิสัยของนางก็ถูกเปลี่ยนไปอย่างถาวรเรียบร้อยแล้ว นางจึงไม่ใช้ฐานะของนางที่เป็นคนของภูเขาฟีนิกซ์ในการข่มเหงใครอีก
และที่สำคัญ นางรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากในเรื่องที่หลิงยี่เทียนบอกว่าเขารู้อยู่แล้วว่าพวกอสูรพวกนั้นมาจากสันเขาหมื่นอสูร แต่เขากลับยังกล้าสังหารอสูรเหล่านั้นไปจนหมดโดยไม่เกรงกลัวอะไรเลย
ที่เขากล้าทำเช่นนี้ก็เพราะเขาคิดว่าหากอยู่ในทะเลชางหมางอสูรเหล่านั้นจะทำอะไรเขาไม่ได้งั้นเหรอ?
เขารู้หรือไม่ว่าถ้าหากสันเขาหมื่นอสูรโกรธขึ้นมาจริง ๆ เมื่อไหร่ มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่สันเขาหมื่นอสูรจะส่งอสูรระดับสวรรค์สามัญสักหมื่นหรือว่าสักแสนตนมาที่ทะเลชางหมางเพื่อทำลายพวกเขาให้ย่อยยับ ซึ่งต่อให้จะมีสักสิบอาณาจักรจันทราก็คงไม่เพียงพอจะรับมือได้
หลิงยี่เทียนส่ายหัว “แม่นางหวงเซียะ ข้าเกรงว่าข้าคงต้องทำให้ท่านผิดหวังแล้ว! เนื่องจากกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตนั้นไม่เคยเป็นปรปักษ์กับอาณาจักรของข้ามาก่อน ดังนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะต้องไปยุ่งกับพวกเขา อาณาจักรของข้าเป็นอาณาจักรเสรี ใครอยากจะมาอยู่ในอาณาจักรของข้า ข้าก็ต้อนรับหมดตราบใดที่ไม่สร้างปัญหาให้กับข้า ดังนั้นเรื่องการจับกุมตัวผู้ทรยศของท่านนั้น ท่านคงต้องดำเนินการด้วยตัวเอง ซึ่งข้าก็จะไม่เข้าไปแทรกแซงเช่นกัน”
หวงเซียะเริ่มรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า “ถ้างั้น ถ้าข้าต้องการจ้างพวกท่านให้ช่วยข้าแทนล่ะ? ท่านต้องการสิ่งตอบแทนเป็นอะไร?”
หลิงยี่เทียนยิ้มและส่ายหัว “แม่นางหวงเซียะ ในตอนนี้ข้าช่วยท่านไม่ได้จริง ๆ ข้าต้องขออภัย”
เมื่อได้ยินคำยืนยันเช่นนี้ หวงเซียะก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่นางกลับเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่พูดอะไรทั้งนั้น จากนั้นนางก็หันหลังและเดินจากไป
แต่ในขณะที่นางกำลังจะจากไป จู่ ๆ นางก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของมิติที่เกิดขึ้นในท้องพระโรง นางหันมามองด้วยอาการตื่นตัวทันที
เมื่อนางหันมามอง นางก็ได้เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ นางแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าหญิงสาวผู้นี้นั้นสามารถเดินทางผ่านมิติได้!
นางรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากที่ในอาณาจักรจันทรานั้นมีผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถเกี่ยวกับมิติแบบนี้
หลิงยี่เทียนถามขึ้นด้วยสีหน้าเหนื่อยใจทันที “พี่ห้า ท่านมีปัญหาอะไรอีกแล้วงั้นเหรอ?”
หลิงฟ่างหัวตะโกนขึ้นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวทันที “น้องหก เจ้าต้องช่วยข้าไปฆ่าไอ้พวกกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตนั่นให้ข้าด้วย! เอ๋..เจ้าคือ?”
นางพึ่งรู้สึกว่าในตอนนี้มีคนนอกอยู่ด้วย ดังนั้นนางจึงหยุดเล่ารายละเอียดของเรื่องราวทันที
หลิงยี่เทียนถามขึ้นด้วยสีหน้าเหนื่อยใจอีกครั้ง “แล้วพวกกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตนั่นมันล่วงเกินท่านยังไงล่ะพี่ห้า?”
ไม่มีใครในทะเลชางหมางที่สามารถทำอันตรายต่อหลิงฟ่างหัวได้แม้แต่คนเดียว ถึงต่อให้นางจะหลงเข้าไปอยู่ในทักษะอาณาเขตสวรรค์ของผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญ นางก็สามารถทะลวงออกมาได้ด้วยความสามารถพิเศษจากสายเลือดหนอนมิติที่นางหลอมรวมเข้าไปในร่างของนาง
ดังนั้นต่อให้ในตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของนางจะอยู่ที่ขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 3 มันก็ไม่มีใครที่จะสามารถจับกุมตัวนางเอาไว้ได้
ส่วนเรื่องการบ่มเพาะ เนื่องจากนางไม่ได้รับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะระดับสูงจากหลิงตู้ฉิงแบบคนอื่น ๆ เพราะหลิงตู้ฉิงก็ไม่มีวิชาระดับสูงที่เกี่ยวกับมิติเลยเช่นกัน นางจึงไม่เน้นเรื่องการบ่มเพาะสักเท่าไหร่ ที่ผ่านมานางจึงเน้นแต่การทำความเข้าใจเต๋าแห่งมิติเพียงอย่างเดียว
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าไอ้พวกกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตมันไปได้ข่าวมาจากไหนว่าข้ามีสมบัติพลังแห่งมิติในครอบครอง หลังจากนั้นพวกมันก็ปล่อยข่าวว่าพวกมันค้นพบสถานที่ลึกลับที่ภายในมีความลับพลังแห่งมิติซ่อนอยู่ ซึ่งสถานที่แห่งนั้นก็คือเกาะเหมยหลิน”
“และเมื่อข่าวนี้ได้รู้มาถึงหูข้า ข้าก็เลยไปที่เกาะบ้านั่นทันที แต่พอข้าไปถึงที่นั่นแล้วมันกลับไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากบรรดาพวกกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตจำนวนมากที่ดักรอข้าอยู่ นี่ถ้าหากไม่ใช่เพราะความสามารถใหม่ที่พ่อได้มอบให้ไว้ ข้าคงจะหนีไม่รอดเงื้อมมือพวกมันแน่นอน” หลิงฟ่างหัวเอ่ยขึ้น
เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด หลิงยี่เทียนถึงกับแสงสีหน้ามืดหม่นและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “พวกมันกล้าที่จะทำร้ายพี่งั้นเหรอ? เยี่ยมจริง ๆ! ไอ้พวกกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตนี่มันวอนหาที่ตายซะแล้ว! แม่นางหวงเซียะ เรื่องคนทรยศของท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องทำอะไรแล้ว เดี๋ยวข้าเองนี่แหละที่จะฆ่าพวกมันให้ท่านเอง!”