พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 595 ไม่เป็นไปตามแผน
ในตอนนี้เย่เจียงไห่สบถด่าหลิงตู้ฉิงอยู่ในใจยกใหญ่ จากนั้นเขาหันไปหาเย่ชางคง และพูดว่า “ท่านพ่อ ในตอนนี้สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ยังคงมีอีกหลายอย่างให้ต้องจัดการ ข้าคิดว่าท่านควรรีบกลับไปก่อน ส่วนท่านแม่ ท่านอยู่กับข้าก่อนจะดีกว่าขอให้ข้าได้ดูแลท่านไปอีกสักระยะเถอะ”
ในตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะรั้งให้เย่ชางคงอยู่ต่ออีกแล้ว ไม่เช่นนั้นหากเย่ชางคงเกิดเปลี่ยนความคิดคืนของทั้งหมดขึ้นมาอีกคน เรื่องมันจะยิ่งบานปลายไปกันใหญ่
ส่วนมู่หลงหยาน เขาจำเป็นต้องรั้งนางเอาไว้ก่อนเพราะเขาต้องหาวิธีการใหม่โน้มน้าวให้นางรับการทดแทนบุญคุณของเขาอีกที
เมื่อได้ยินคำพูดของเย่เจียงไห่ เย่ชางคงก็รีบพยักหน้ารับ “จริงของเจ้า ที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ยังมีเรื่องอยู่อีกมากให้ข้าต้องกลับไปสะสาง ถ้างั้นก็หยานเอ๋อ เจ้าอยู่ที่นี่กับเจียงไห่ไปก่อนก็แล้วกัน”
เย่เจียงไห่รีบพูดขึ้นทันที “ท่านพ่อ ถ้าอย่างนั้นข้าจะออกไปส่งท่านเอง”
เมื่อพูดจบ เย่เจียงไห่ก็รีบพาเย่ชางคงออกจากตำหนัก และยืนมองเย่ชางคงกับคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์จากไปจนลับตา
ส่วนทางด้านของเย่ชางคง เมื่อเขาจากไปจู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนเองรู้สึกเศร้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเหมือนกันว่าได้สูญเสียอะไรไป
ด้านในของตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน หลิงตู้ฉิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อเขาเห็นว่าเย่ชางคงถูกส่งตัวออกไปแล้ว
“สามีท่านหัวเราะอะไรงั้นเหรอ?” เย่ชิงเฉิงถามขึ้นด้วยความสงสัย
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบว่า “ข้าหัวเราะพี่สามของเจ้า พี่ของเจ้าช่างโชคไม่ดีเอาซะจริง ๆ เลย”
เย่เจียงไห่ที่เดินกลับมาพอดี เขามองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาขุ่นเคืองและพูดว่า “นี่เจ้ายังกล้าหัวเราะอีกงั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไม่ตลกเจ้าได้ยังไง? แม่ของเจ้าเป็นคนที่มีวาสนาธรรมดาซะเมื่อไหร่ เมื่อตอนที่นางเห็นข้าที่อาณาเขตนภา นางก็จัดแจงน้องสาวของเจ้าให้แต่งงานกับข้า และเมื่อครู่นางก็ได้เห็นดอกบัวเพลิงพิพากษาแถมยังเจอกับต้นเทวะศาสตรา! เจ้าคงเคยได้ยินตำนานของต้นเทวะศาสตราอยู่แล้วใช่ไหม? แม่ของเจ้าได้รับอาวุธศักดิ์สิทธิ์มาจากต้นเทวะศาสตราซะด้วย ซึ่งข้าบอกไว้เลยว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้มันไม่ใช่ข้าเลยที่เป็นผู้จงใจทำให้มันเกิดขึ้น”
มู่หลงหยานไม่ได้ถูกชี้นำโดยหลิงตู้ฉิงแม้แต่น้อย ที่นางปฏิเสธเย่เจียงไห่นั้นเป็นเพราะความรักอันบริสุทธิ์ของผู้เป็นแม่ที่มีให้กับลูกชายของตัวเองล้วน ๆ ซึ่งมันทำให้เย่เจียงไห่ในตอนนี้ติดค้างมากขึ้นไปอีกอย่างไม่จบสิ้น
เมื่อมู่หลงหยานได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง นางก็เริ่มจะนึกอะไรออกและยิ่งเมื่อนางนึกไปถึงสิ่งที่เย่ชางคงได้รับไปจากเย่เจียงไห่มากมาย สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมากทันที
“ตู้ฉิง เรื่องนี้มันมีเหตุผลอื่นอยู่เบื้องหลังใช่ไหม?” มู่หลงหยานรีบถามขึ้นทันที
เย่เจียงไห่รีบเอ่ยขึ้นทันที “ท่านแม่มันไม่มีเหตุผลอะไรอื่นหรอก!”
มู่หลงหยาน จู่ ๆ ก็เข้าใจเหตุการณ์ทันที “การที่เจ้ามอบสิ่งของมากมายให้กับพ่อและสหายของเจ้านั่นเป็นเพราะเจ้าต้องการชดใช้ทุกอย่างคืนใช่ไหม? นี่เจ้า! ตอนที่ข้าและพ่อของเจ้าให้กำเนิดเจ้ามา พวกข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นเจ้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนหรืออะไรทั้งนั้น พวกข้าเลี้ยงดูเจ้ามาด้วยความรักและความห่วงใยโดยที่ไม่มีเจตนาอื่นแม้แต่น้อย แล้วดูสิ่งที่เจ้าทำกับพวกข้าที่เป็นพ่อแม่ของเจ้าในตอนนี้มันหมายความว่ายังไง!? ได้! งั้นข้าจะไม่สนใจเจ้าอีกต่อไป จงเอาของที่ข้าได้จากตำหนักเจ้าคืนไปให้หมดและไม่ต้องห่วงเดี๋ยวข้าจะจากไปในทันที ส่วนเจ้าเองก็จงเป็นเจ้าตำหนักบ้าบอแห่งนี้ให้สมใจอยาก ต่อจากนี้เจ้ากับข้าไม่ใช่แม่ลูกกันอีกต่อไป!”
เย่เจียงไห่รีบคุกเข่าลงและอ้อนวอนทันที “ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว!”
“ข้าไม่ใช่แม่ของเจ้าอีกต่อไปแล้ว!” มู่หลงหยานเอ่ยขึ้นด้วยความโมโห “นี่คือขวดโอสถที่ข้าหยิบมาจากตำหนักของเจ้าและนี่คืออาวุธและสมบัติต่าง ๆ ส่วนคล็ดวิชาที่ข้าได้อ่านไปข้าจะลบความทรงจำตรงส่วนนั้นของข้าออกทั้งหมดเอง แต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าได้มานั้นมันไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้าได้มาเพราะลูกเขยของข้าพาข้าไปเจอกับผู้อาวุโสต้นเทวะศาสตราและข้าได้รับมาจากผู้อาวุโส ดังนั้นข้าจะเก็บมันเอาไว้!”
เย่เจียงไห่รีบตะโกนขึ้นอีกรอบทันที “น้องเขย ช่วยข้าพูดที!”
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ปัญหาของเจ้า เจ้าต้องรับมือเอง! แต่ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยว่าอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ นั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อเส้นทางการบ่มเพาะ ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องตัดขาดพวกมันไปจนหมด บางทีอารมณ์นี่แหละที่จะเป็นเครื่องช่วยทำให้เจ้าก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองในชีวิตก่อน นี่ถือว่าเป็นคำแนะนำจากข้าก็แล้วกัน”
ถึงแม้ว่าหลิงตู้ฉิงในตอนนี้จะยังไม่เข้าใจความวิเศษของอารมณ์ทั้งหมด แต่เขาก็รู้ว่าในชีวิตที่แล้วที่เขาขาดมันไปมันไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง!
เย่เจียงไห่ที่กำลังคุกเข่าอยู่นั้น เขาเองก็ตกอยู่ในห้วงความคิดของคำพูดที่หลิงตู้ฉิงได้เอ่ยขึ้น
หลังจากผ่านไปสักพัก เย่เจียงไห่ก็ลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้งในฐานะที่เจ้าเป็นผู้มีวาสนาได้รับประโยชน์ไปมากที่สุด ท่านแม่ท่านไม่จำเป็นต้องคืนสิ่งของต่าง ๆ ให้ข้าหรอก ข้ามีพวกมันอยู่แล้วตั้งมากมาย ข้าอยากให้ท่านเก็บพวกมันเอาไว้ใช้ประโยชน์ของท่านเอง”
มู่หลงหยานพ่นลมออกจมูก “ข้าไม่กล้าเก็บเอาไว้หรอก! ไม่เช่นนั้นเดี๋ยววันดีคืนดีท่านเจ้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งเกิดอยากได้มันคืนแล้วตามมาทวงข้า แล้วข้าไม่มีข้าจะไม่ซวยแย่งั้นเหรอ?”
เย่เจียงไห่ยิ้มและพูดว่า “โธ่ท่านแม่ ท่านเป็นถึงแม่ของเจ้าตำหนักผู้สูงส่งผู้นั้น ต่อให้ท่านจะเอาของของข้าไปจนหมดตำหนักข้าก็ไม่มีวันเอาคืนจากท่านแน่นอน ข้ายินดีที่จะมอบให้ท่านทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตของข้า!”
ในเมื่อเขารู้แล้วว่าเขาคงไม่อาจตัดขาดจากมู่หลงหยานได้ เขาจึงต้องเปลี่ยนท่าทีใหม่
และอีกอย่างสิ่งที่หลิงตู้ฉิงเอ่ยเมื่อสักครู่มันกระทบใจของเขาอยู่เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงอยากจะเปลี่ยนการกระทำของตัวเองใหม่
มู่หลงหยานตะคอกกลับทันที “ออกไปให้พ้นทางข้า ข้าจะกลับไปที่สำนักของข้า!”
นางรู้สึกเศร้าอยู่ในใจว่าทำไมลูกชายของนางถึงได้พยายามตัดขาดความสัมพันธ์กับนางขนาดนั้น?
เย่เจียงไห่ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดขึ้นอีกครั้ง “ท่านแม่ ที่นี่มันเป็นตำหนักของข้า ซึ่งมันก็เท่ากับว่าเป็นตำหนักของท่านเช่นกัน แถมชิงเฉิงและลูกเขยของท่านก็อยู่ที่นี่ และยังมีแขกคนอื่น ๆ อีกตั้งหลายคน ท่านเห็นใจไว้หน้าข้าหน่อยได้ไหม? เอาแบบนี้ไหมถ้าท่านยังโกรธอยู่ ท่านตีข้าระบายความโกรธเหมือนตอนที่ข้ายังเป็นเด็กและทำความผิดจนท่านต้องตี เอาแบบนั้นได้ไหม? ชิงเฉิง น้องเขย ช่วยข้าพูดทีเถอะข้าขอร้อง!”
เย่ชิงเฉิงเบือนหน้าหนีและตอบกลับทันที “เจ้ามันสมควรแล้ว!”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดกับมู่หลงหยานว่า “ในแส้นทางการบ่มเพาะหลังจากสร้างวิถีเต๋าของตนเองได้สำเร็จ มันเป็นเรื่องปกติที่หลาย ๆ คนจะต้องการทิ้งอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองไป หรือต่อให้ไม่ทิ้งจิตใจก็จะกลายเป็นด้านชาไปตามกาลเวลาไปเองเช่นกัน”
“แล้วยิ่งการที่ผู้คนมากมายเห็นว่ากฎสวรรค์นั้นไร้ความรู้สึก วิถีการบ่มเพาะที่ตัดอารมณ์ความรู้สึกออกไปมันจึงยิ่งดูเหมือนว่าจะใกล้เคียงกับกฎสวรรค์มากขึ้นไปอีก ดังนั้นมันเลยยิ่งมีคนเชื่อว่ายิ่งตัดอารมณ์ความรู้สึกความสัมพันธ์ไปได้มากเท่าไหร่ มันก็เหมือนยิ่งเป็นการปลดเปลื้องพันธนาการของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น และจากที่ข้าดูจากลักษณะการกระทำของเขาแล้ว ข้าคิดว่าในชีวิตก่อนของเขาคงบ่มเพาะตามวิถีตัดขาดจากอารมณ์แน่นอน”
มู่หลงหยานยืนเงียบไปสักพัก
หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นต่อ “ถ้าคิดว่าในชีวิตที่แล้วเขาบ่มเพาะด้วยวิถีเช่นนี้ การกระทำที่เขาทำลงไปเมื่อครู่มันก็ไม่นับว่าแปลกอะไร เพราะหากเขาไม่ทำเขาก็คงไม่สามารถบ่มเพาะกลับไปที่จุดเดิมได้ แต่ดูเหมือนว่าในตอนนี้เขาคงจะเข้าใจอะไร ๆ ได้มากขึ้นแล้ว ดังนั้นข้าคิดว่าเขาคงจะไม่กลับไปบ่มเพาะในรูปแบบเดิมเหมือนชีวิตที่แล้วอีก หรือไม่ต่อให้เป็นแบบเดิมมันก็คงแตกต่างออกไปมาก”
มู่หลงหยานยิ้มอย่างขมขื่น และพูดกับเย่เจียงไห่ว่า “ลูกแม่ แม่ขอโทษที่โกรธมากไปจนทำให้ปัญหาของเจ้ามันซับซ้อนมากขึ้น”
เย่เจียงไห่หัวเราะ “ไม่เป็นอะไรท่านแม่ และก็อย่างที่น้องเขยบอกไว้เมื่อครู่ บางทีมันอาจมีวิถีการบ่มเพาะที่ดีกว่าโดยการไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากอารมณ์และพันธะใด ๆ ออกไป ซึ่งข้าได้ตัดสินใจแล้วว่าจะลองเดินตามเส้นทางใหม่นี้ดู เอาล่ะตอนนี้ยังมีคนนอกเหลืออยู่ ข้าขอส่งเขาออกไปก่อนก็แล้วกัน”
คนนอกที่เขาพูดถึงก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกซะจาก เสี่ยหนานเทียน!