พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 609 สำนักจน ๆ
หลิงหยุนซีรู้สึกไม่ยินยอมทันทีที่คนอย่างเขา ผู้ซึ่งเป็นถึงผู้คุมกฎของสำนักเต๋าสวรรค์จะต้องกลายมาเป็นทาสรับใช้ให้กับเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุถึงระดับสวรรค์สามัญซะด้วยซ้ำ!
แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวที่เขาเอ่ยคำพูดขัดแย้ง ร่างของเขาก็กลายเป็นหมอกเลือดไปในทันที เนื่องจากเขาโดนฝ่ามือของซวนหยวนเข้าไปเต็ม ๆ!
เขาตายโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ!
ซวนหยวนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “หากพวกเจ้าไม่ยอมรับนางเป็นเจ้านายของพวกเจ้า ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้ตายหมดทุกคน ส่วนการที่พวกเจ้าจะไปเกิดใหม่ได้หรือไม่นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับโชคของพวกเจ้าเอง!”
ผู้คนต่างมองไปที่ซวนหยวนด้วยสีหน้าตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องใช้ความรุนแรงขนาดนี้ และไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมุ่งมั่นที่จะให้พวกเขายอมรับผิดนัก
อู๋หลิงซีและโม่หยุนซีต่างก็มองไปที่หลิงตู้ฉิง พลางสงสัยว่าชายผู้นี้ได้ไปคุยอะไรกับบรรพบุรุษของพวกเขาเรื่องราวมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้?
ด้วยการถูกข่มขู่เอาชีวิตผู้เชี่ยวชาญทั้ง 18 คนจึงคุกเข่าคำนับให้กับหลิงว่านถิง และถอนเศษเสี้ยวจิตสำนึกของตัวเองที่ฝังอยูในร่างกายนางออกและพากันเรียกนางว่าเป็นเจ้านายของพวกเขา
หลิงตู้ฉิงที่มองดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้างก็เริ่มร่างสัญญากฎสวรรค์ขึ้นมา จากนั้นเมื่อร่างสัญญาเสร็จเขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ใครที่ยอมรับลูกสาวของข้าให้เป็นนายเหนือหัว จงลงชื่อในสัญญาเหล่านี้ซะ!”
3 ใน 18 คนที่เห็นสัญญาเช่นนี้พวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าไม่ยินยอมในทันที พวกเขารู้ได้ทันทีว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขาลงชื่อในสัญญานี้ แผนการที่พวกเขาแอบวางไว้ในใจจะต้องพังทลายลงอย่างแน่นอน
ซวนหยวน เมื่อเห็นว่ามี 3 คนที่แสดงออกอย่างชัดเจนทางสีหน้าว่าไม่ยินยอม เขาไม่พูดพร่ำอะไรทั้งนั้น ซวนหยวนยื่นนิ้วออก 3 นิ้วและชี้ไปยังทั้ง 3 คนที่ไม่ยินยอม จากนั้นร่างของทั้งสามก็สลายกลายเป็นหมอกเลือดไปในทันที
เรื่องดำเนินมาถึงขนาดนี้แล้วยังถ้ายังมีพวกที่ไม่ยินยอมเหลืออีกอยู่ มันก็ไม่มีเหตุอะไรที่จะเก็บไว้ให้รกสำนัก!
ในตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญที่เหลืออีก 15 คนจึงยินยอมพร้อมใจกันลงชื่อในสัญญาโดยไม่อิดออดอะไรอีก
เมื่อเห็นว่าทุกคนลงชื่อในสัญญาแล้ว ซวนหยวนก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะกลายเป็นผู้พิทักษ์เต๋าของว่านถิงตลอดไปจนกว่าชีวิตของข้าจะหาไม่ ถ้าหากพวกเจ้าคนไหนยังมีแผนการชั่วเก็บเอาไว้ในใจ พวกเจ้าสามารถลองดูได้ แต่จงรู้เอาไว้ว่าต่อให้ข้าออกแรงไม่ว่าจะมากสักแค่ไหน ข้ายังมีเวลาเหลืออยู่อีก 1,000 ปี ซึ่งข้าจะไม่ตายแน่นอน อย่าได้คิดว่าสำนักเต๋าสวรรค์จะขาดพวกเจ้าไปไม่ได้ ต่อไปอนาคตของสำนักเต๋าสวรรค์จะขึ้นอยู่กับว่านถิง ไม่ใช่เศษสวะอย่างพวกเจ้าทั้งหมด!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาผู้คนของสำนักเต๋าสวรรค์ต่างก็รู้สึกละอายและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
พวกเขาละอายที่พวกเขาทำตัวให้บรรพบุรุษของพวกเขาผิดหวัง ซึ่งจากการกระทำพวกเขาที่กระทำต่อบุคคลที่มีร่างแห่งเต๋าที่นับได้ว่าเป็นความหวังของสำนักเช่นนี้ พวกเขาก็รู้ตัวเองดีว่าผิดอยู่เต็มประตู
ส่วนเรื่องที่พวกเขาตื่นเต้นก็คือ นับจากนี้บรรพบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักของพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกถึง 1,000 ปีโดยไร้กังวลใด ๆ
ซวนหยวนมองไปยังเหล่าคนของเขาและเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า “นับจากวันนี้เป็นต้นไป ว่านถิงจะกลายเป็น…”
ก่อนที่ซวนหยวนจะพูดจบ เขาก็ค้างคำพูดเอาไว้แบบนั้น จากนั้นเขาหันไปที่หลิงตู้ฉิงและเอ่ยถามว่า “ในเมื่อนางเป็นลูกสาวของท่าน ถ้าข้าอยากจะขอรับนางเป็นลูกศิษย์ ท่านคิดว่ายังไง?”
บรรดาผู้คนของสำนักเต๋าสวรรค์เมื่อได้ยินเช่นนี้ต่างก็รู้สึกตกตะลึงไปในทันที
หากว่านถิงได้กลายเป็นศิษย์ของบรรพบุรุษพวกเขา มันไม่จะกลายเป็นว่านางอาวุโสกว่าพวกเขาอย่างนั้นเหรอ?
แม้แต่โม่หลิงซี เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็แสดงออกทางสีหน้าอย่างหดหู่
ไม่ว่าจะยังไงเขาคือเจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักเต๋าสวรรค์ หากเรื่องราวเป็นเช่นนี้ในอนาคตมันไม่ใช่ว่าเขาต้องคารวะเด็กสาวผู้นี้ทุกครั้งที่เจอหน้ากันอย่างนั้นเหรอ?
ในเวลาเดียวกับที่บรรดาผู้คนอื่น ๆ กำลังกังวลกับสถานะของหลิงว่านถิงในอนาคต หลิงตู้ฉิงกลับไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
“อันที่จริง ในความรู้สึกของข้า เจ้านั้นไม่คู่ควรจะเป็นอาจารย์ของลูกสาวข้าสักเท่าไหร่!” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้น “แต่ถ้าหากดูจากการจัดการปัญหาของเจ้าเมื่อครู่ ข้าจะไม่แทรกแซงอะไรก็แล้วกัน หากลูกสาวของข้ายอมรับเจ้าเป็นอาจารย์ ข้าก็จะอนุญาตให้เจ้าได้เป็นก็แล้วกัน”
ซวนหยวนรีบหันไปหาหลิงว่านถิง และถามขึ้นทันที “สาวน้อย เจ้าต้องการคำนับข้าเป็นอาจารย์ไหม? เจ้าวางใจได้เลยว่าข้าจะไม่บังคับอะไรเจ้าแน่นอน แถมข้าจะให้ประโยชน์มากมายกับเจ้าอีกต่างหากถ้าเจ้ายอมเป็นลูกศิษย์ของตาเฒ่าผู้นี้!”
หลิงว่านถิงมองไปยังเหล่าผู้คนของสำนักเต๋าสวรรค์ จากนั้นนางก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงพลางครุ่นคิด
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ถ้าหากเจ้าต้องการเจ้าก็ตอบรับไป แต่ถ้าหากเจ้าไม่ต้องการเจ้าก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก”
หลิงว่านถิงพยักหน้า จากนั้นนางครุ่นคิดอยู่อีกสักพักก่อนที่จะตอบตกลงรับซวนหยวนเป็นอาจารย์ของนาง
พิธีรับศิษย์อาจารย์ในครั้งนี้มันนับได้ว่าสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสำนักเต๋าสวรรค์ จนผู้คนต่างรู้สึกจนหัวลุก
บรรดาศิษย์นักพรตทั้งชายและหญิงต่างมารวมตัวกันจนนับไม่ถ้วนพร้อมกับโค้งคารวะให้กับหลิงว่านถิง และเอ่ยว่า “ขอคารวะท่านบรรพบุรุษน้อย…ขอคารวะท่านอาจารย์อา…”
บรรดาผู้คนต่างกล้ำกลืนยอมรับโดยไม่มีทางเลือก เนื่องจากซวนหยวนยืนดูภาพนี้อยู่ตลอดเวลา หากพวกเขาไม่ยอมรับ พวกเขาคงจะต้องโดนดีอย่างแน่นอนจริงไหม?
ซวนหยวนหัวเราะอย่างเบิกบาน จากนั้นเขาหันไปหาหลิงว่านถิง และพูดว่า “ข้ามีความสุขจริง ๆ วันนี้! ศิษย์รักของข้า เพื่อเป็นการต้อนรับเจ้า ข้าขอมอบแส้หางม้านี้ให้เป็นของขวัญแก่เจ้า แส้หางม้าชิ้นนี้มันคืออาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเรา เจ้าจงดูแลมันให้ดี ๆ ล่ะ!”
หลิงว่านถิงรีบเอ่ยขึ้นทันที “อาจารย์ ข้าเองมีอาวุธของข้าอยู่แล้ว มันเป็นอาวุธที่ท่านพ่อของข้ามอบเอาไว้ให้!”
หลังจากพูดจบ หลิงว่านถิงก็หยิบหลิงจู้ขึ้นมาแสดงให้เห็น
ซวนหยวน เมื่อได้เห็นหลิงจู้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ธรรมดาเช่นกัน ถึงแม้ว่าในตอนนี้มันจะเป็นแค่อาวุธระดับสวรรค์ แต่ในอนาคตมันก็สามารถพัฒนาไปได้เรื่อย ๆ เฉกเช่นเดียวกับหลิงว่านถิง
ซวนหยวนหัวเราะเสียงดัง จากนั้นเขาพูดว่า “อาวุธที่อาจารย์มอบให้นั้น เจ้าจงเก็บมันติดตัวไว้เพื่อใช้มันปกป้องเจ้าในอนาคต ส่วนอาวุธของเจ้าที่พ่อเจ้าให้มานั้นเจ้าจงทำให้มันกลายเป็นสมบัติแห่งชะตาชีวิตของเจ้ามันจะเหมาะสมที่สุด!”
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้บรรดาผู้คนของสำนักเต๋าสวรรค์ก็ยิ่งคิดว่า บรรพบุรุษของพวกเขาเริ่มเสียสติไปกันใหญ่
หลิงว่านถิงเป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภา มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะให้อาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์กับนางไป? มันไม่มีทางที่นางจะสามารถใช้งานอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างเต็มความสามารถแน่นอน!
ในขณะที่หลิงว่านถิงกำลังจะปฏิเสธอีกรอบ หลิงตู้ฉิงก็เดินเข้ามาและพูดแทรกว่า “ลูกพ่อ เจ้าจงรับเอาไว้นั่นแหละ มันก็แค่อาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์มันไม่ได้หายากมากมายอะไรนักหรอก!”
ในตอนนี้ไม่ใช่แค่บรรดาผู้คนของสำนักเต๋าสวรรค์ที่รู้สึกจนใจ แม้แต่ซวนหยวนก็ยังอดไม่ได้ที่จะกรอกตา
แส้หางม้านี้เป็นถึงอาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเต๋าสวรรค์ที่ถูกส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่นจนแทบจะนับอายุไม่ได้แล้วว่ามันมีอายุเท่าไหร่ หรือถ้าหากไม่สนใจว่ามันมีประวัติเคยทำอะไรมาบ้าง อย่างน้อย ๆ มันก็คืออาวุธระดับศักดิ์สิทธิ์ มันไม่ใช่สิ่งที่จะหาได้ง่าย ๆ ตามข้างทางสักหน่อยไม่ใช่เหรอไง?
หลิงว่านถิงที่ได้ยินคำพูดของพ่อนางเช่นนี้ นางจึงตกลงรับแส้หางม้ามาจากมือของซวนหยวนและเอ่ยขอบคุณทันที
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ จากนั้นเขาหันไปหาซวนหยวน และพูดขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าสำนักเต๋าสวรรค์ของเจ้านั้นค่อนข้างยากจนแถมยังไม่มีใครที่สามารถสร้างวิถีเต๋าได้มานานแล้วอีกต่างหาก ดังนั้นอาวุธระดับศักดิ์ของพวกเจ้าคงน่าจะมีไม่มากนัก แล้วยิ่งเจ้าดันมามอบให้กับลูกสาวของข้าแบบนี้อีกมันจะดูว่าพวกข้าเอาเปรียบพวกเจ้ามากเกินไปสักหน่อย เอาเป็นว่าข้าจะมอบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ให้กับเจ้าชิ้นหนึ่งก็แล้วกัน ถือซะว่ามันเป็นรางวัลที่ข้ามอบให้เจ้าในฐานะที่เจ้ากลายมาเป็นผู้พิทักษ์ให้กับลูกสาวของข้า”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็หยิบโซ่ยาวเส้นหนึ่งออกมา จากนั้นก็โยนมันไปให้กับซวนหยวน
บรรดาผู้คนของสำนักเต๋าสวรรค์ที่ได้เห็นภาพเช่นนี้ดวงตาของพวกเขาก็แทบจะถลนออกมาจากเบ้า!