พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 636 เหล่าอสูรทวงแค้นเทพกระบี่
หลิงตู้ฉิงไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของอาณาจักรจันทราเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเขามั่นใจว่าเขาได้ทิ้งวิธีการหลายอย่างที่สามารถปกป้องอาณาจักรจันทราไว้มากพอ
ในตอนนี้เขาและกลุ่มคนของเขาก็ได้เดินทางมาจนถึงอาณาเขตวิญญาณโลหิตเป็นที่เรียบร้อย
หากเป็นเมื่อก่อน หลิงตู้ฉิงคงสั่งให้หลงเฉินมุ่งหน้าไปที่จุดหมายปลายทางโดยตรง แต่ในรอบนี้เมื่อเขาพาเหล่าคนในครอบครัวของเขาที่บางคนยังไม่เคยออกจากทะเลชางหมางมาก่อนเลยในชีวิต ยกตัวอย่างเช่น จ้าวเหมิงลู่ และ หลิงไช่หยุน ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะให้การเดินทางรอบนี้เป็นรอบที่ให้ครอบครัวของเขาได้เปิดหูเปิดตามากที่สุด
รอบก่อนหน้านี้ที่หลิงตู้ฉิงเดินทางมาที่อาณาเขตวิญญาณโลหิตนั้น เขาใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปี แต่รอบนี้เนื่องจากเขาแวะอาณาเขตต่าง ๆ ที่เป็นทางผ่านแทบจะทุกอาณาเขตเพื่อเปิดหูเปิดตาคนในครอบครัว เขาจึงใช้เวลาเกือบ 10 ปีกว่าจะเดินทางมาถึงอาณาเขตวิญญาณโลหิต
และในเมื่อพวกเขาได้มาถึงอาณาเขตวิญญาณโลหิตแล้ว มันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะต้องแวะเยี่ยมสำนักวิญญาณโลหิต
ในเวลานี้เมื่อหลิงตู้ฉิงมาถึงสำนักวิญญาณโลหิตอีกครั้ง เขาก็พบว่าในสภาพของสำนักวิญญาณโลหิตตอนนี้นั้นเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก มันไม่มีสภาพความทรุดโทรมหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย
ด้วยการฟื้นคืนของมหาวิถีแห่งโลหิตของสำนัก มันส่งผลให้ผู้คนของสำนักวิญญาณโลหิตสามารถยืนหยัดด้วยขาตัวเองได้อย่างมั่นคง
โดยเฉพาะเว่ยกวน ในตอนนี้เขาได้บรรลุวิชาเงาโลหิตศักดิ์สิทธิ์ที่หลิงตู้ฉิงเคยถ่ายทอด ไว้ให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมันทำให้ร่างของเขาลอยอยู่เหนือพื้นดินอยู่ตลอดเวลาได้อย่างน่าแปลกประหลาด
“นายท่าน พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ท่านกลับมาเยือนพวกเราอีกครั้งหนึ่ง” เว่ยกวนพูดด้วยท่าทีสุภาพที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้กับหลิงตู้ฉิง
ที่เขาสุภาพขนาดนี้นั้นก็เป็นเพราะ 2 เหตุผล เหตุผลข้อแรกคือ หลิงตู้ฉิง คือเจ้านายของเจ้าสำนักของเขาและเหตุผลที่สองก็คือเขาเข้าใจว่า หลิงตู้ฉิงคือบรรพบุรุษของสำนักของเขาที่มาเกิดใหม่ แถมเขายังเคยได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหลิงตู้ฉิงอีกต่างหาก
หมิงยู่ยิ้มและพูดขึ้นว่า “นายท่าน นายหญิง เชิญเข้าไปด้านในกันก่อนเถอะ”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าด้วยสีหน้าพึงพอใจ และพูดกับเว่ยกวนว่า “เจ้านี่ไม่เลวเลยจริง ๆ หลังจากเวลาผ่านไปหลายปี เจ้าพัฒนาระดับการบ่มเพาะของตัวเองได้เร็วมากจนในตอนนี้ขึ้นมาอยู่ที่ขอบเขตจักรพรรดิขั้นกลาง แต่ว่าถึงแม้ว่าเจ้าจะอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิขั้นกลางมันก็ยังคงห่างไกลจากคำว่าเพียงพอกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หลังจากนี้เจ้าจะต้องเร่งฝึกฝนให้มากกว่าเดิม”
เว่ยกวนรีบตอบรับทันที “ในเวลานี้ข้าได้สั่งให้ศิษย์ทั้งหลายเก็บตัวบ่มเพาะกันแทบหมดทุกคนแล้วเพื่อให้พวกเขาพัฒนาระดับได้เร็วที่สุด ข้ามั่นใจว่าพวกเราจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน และที่สำคัญนอกจากข้าในตอนนี้มีผู้อาวุโสอีก 2 คนที่ทะลวงขอบเขตขึ้นมาอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิแล้วเช่นกัน”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ดีมาก แต่เจ้าจงอย่าลืมสิ่งที่ข้าได้เตือนผ่านหมิงยู่ไป เรื่องความผิดพลาดในอดีตที่ข้าไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นซ้ำรอย พวกเจ้าต้องยึดถือบทเรียนที่เคยได้รับมาและดำเนินเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นมันจะไม่มีโอกาสครั้งหน้าของพวกเจ้าอีกต่อไป เจ้าเข้าใจใช่ไหม?”
“ทราบแล้วนายท่าน ข้าได้ย้ำกับพวกเราทุกคนไว้แล้วมันจะไม่มีพวกเราคนไหนที่กล้าทำผิดพลาดซ้ำอีกแน่นอน” เว่ยกวนรีบตอบกลับทันที
จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็พาเหล่าคนในครอบครัวของเขาพักผ่อนอยู่ในสำนักวิญญาณโลหิตเป็นการชั่วคราว
ในระหว่างที่หลิงตู้ฉิงกำลังพักผ่อนอยู่ที่สำนักวิญญาณโลหิตอย่างสบายใจอยู่นั้น หนึ่งในอสูรขอบเขตมหาจักรพรรดิของสันเขาหมื่นอสูรก็ได้เดินทางมาถึงสำนักวิญญาณกระบี่ เพื่อถามหาตงฟางจุนด้วยท่าทีแข็งกร้าว
“สำนักวิญญาณกระบี่ของพวกเจ้าจะต้องเข้าใจอยู่แล้วว่า พวกข้าเผ่าอสูรปีศาจนั้นเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเทพกระบี่ ดังนั้นตราบใดที่เจ้ามอบตัวไอ้เด็กนั่นที่เป็นเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิด มาให้กับข้า ข้าจะถือว่าสำนักของเจ้ากับพวกข้าไม่มีปัญหาต่อกัน แต่ถ้าพวกเจ้าดื้อดึงปฏิเสธ พวกเจ้าก็เตรียมตัวสู้จนตัวตายกับพวกข้าเผ่าอสูรปีศาจได้เลย พวกข้าเผ่าอสูรปีศาจจะไม่มีวันลืมเลือนหนี้แค้นที่เทพกระบี่เคยทำกับพวกข้าเอาไว้!” อสูรขอบเขตมหาจักรพรรดิ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรพบุรุษของสำนักวิญญาณกระบี่ก็ทำได้แต่แสดงสีหน้าจนใจ โชคชะตาดันพาให้เทพกระบี่ดันบังเอิญกลับชาติมาเกิดเป็นคนของสำนักเขา เขาจะไปทำอะไรได้ยังไง?
ก่อนหน้านี้เมื่อเขาเห็นความสำเร็จของตงฟางจุนที่สำเร็จร่างกระบี่แถมยังมีรากฐานการบ่มเพาะขอบเขตประสานทะเลปราณระดับที่ 13 ซึ่งความสำเร็จระดับนี้มันเป็นไปได้สูงที่ตงฟางจุนจะก้าวล้ำเหนือกว่าชีวิตที่แล้วของตัวเอง
บรรพบุรุษของสำนักวิญญาณกระบี่จึงวางแผนเอาไว้ในใจว่าจะสานสัมพันธ์อันดีกับตงฟางจุนเอาไว้ เพื่อที่ในอนาคตสำนักของเขาจะได้มีผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่ง
แต่น่าเสียดายที่สันเขาหมื่นอสูรนั้นเร็วเกินไป ในตอนนี้เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นเลย
หากเขาไม่ยอมถอย สำนักของเขาคงจะถูกบดขยี้โดยสันเขาหมื่นอสูรแน่นอน
เมื่อคิดจนตกผลึกได้ขนาดนี้ บรรพบุรุษของสำนักวิญญาณกระบี่จึงเอ่ยตอบกลับไปว่า “นับจากนี้เป็นตันไป สำนักวิญญาณกระบี่ของข้าจะไม่มีคนชื่อตงฟางจุนเป็นศิษย์ของสำนักอีก ไม่ว่าเรื่องใดที่เกิดขึ้นกับเขานับจากนี้มันจะไม่เกี่ยวกับพวกเราอีกต่อไป!”
เมื่อเห็นว่าสำนักวิญญาณกระบี่ยอมถอยให้แล้ว อสูรผู้มาเยือนก็เลือกที่จะถอยให้เช่นกัน “เอาแบบนี้ก็ดี ถ้างั้นข้าจะเป็นคนไปควานหาตัวของมันเองก็แล้วกัน”
มันไม่คิดว่ามันจะไม่สามารถหาผู้เชี่ยวชาญที่อ่อนด้อยกว่ามันเป็นหมื่นเท่าไม่เจอ
แต่ในความเป็นจริง ตงฟางจุนนั้นได้หนีออกไปจากสำนักวิญญาณกระบี่ตั้งนานแล้ว
ตั้งแต่วินาทีแรกที่เขาเห็นว่าอสูรระดับสูงตนนี้มาเยือนสำนัก เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเวลาสงบสุขของเขาได้หมดลงแล้ว และสิ่งแรกที่เขาทำก็คือหนีในทันที
ตงฟางจุนที่หนีออกมาจากสำนักวิญญาณกระบี่ได้ไม่นานเขาก็ได้ยินข่าวว่าสำนักของเขาได้ปลดสถานะการเป็นศิษย์ของเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแถมสันเขาหมื่นอสูรยังประกาศล่าหัวของเขาอีก
เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาในตอนนี้มันทำให้เขารู้สึกทั้งเศร้าทั้งขุ่นเคือง เขาอยากจะไปบอกกับพวกอสูรที่กำลังตามล่าเขาเป็นอย่างมากว่าตัวเขานั้นเป็นเพียงแค่แพะรับบาปที่อยู่ผิดที่ผิดทางก็แค่นั้นเอง!
แต่น่าเสียดายที่เขารู้ว่าต่อให้เขาแก้ตัวไปมันก็ไร้ประโยชน์
ในตอนนี้เขาจึงทำได้แค่แปลงโฉมของตัวเองและมุ่งหน้าไปที่อาณาเขตนภาตามคำที่หลิงตู้ฉิงเคยบอกเขาเอาไว้ว่าเมื่อถึงเวลาที่เขาเข้าตาจนก็ให้เขาเดินไปทางที่อาณาเขตนภา เพื่อพึ่งพิงลูกของหลิงตู้ฉิง
แต่ด้วยความโชคร้าย หลังจากที่ตงฟางจุนเดินทางไปถึงอาณาเขตวายุ เขาก็ถูกใครบางคนดูออก
คนผู้นั้นที่ดูออกว่าเขาคือ ตงฟางจุน นั้นมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับเหนือล้ำ ซึ่งตงฟางจุนในตอนนี้อยู่ในระดับแค่เพียงสวรรค์สามัญเท่านั้น ดังนั้นเขาจะเอาปัญญาที่ไหนไปต่อกรด้วยได้?
เมื่อไม่เหลือทางเลือกอื่นอีก ตงฟางจุนจึงใช้เจตจำนงกระบี่ที่เขาดูดซับมาจากสำนักวิญญาณโลหิตสังหารผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำผู้นั้นทันที
แต่แล้วการที่เขาทำเช่นนี้มันก็ยิ่งเป็นการประกาศตัวเองทันทีต่อคนอื่น ๆ ว่าเขาเป็นใคร ซึ่งมันทำเขากลับโดนผู้คนไล่ล่ามากขึ้น
ในเวลาเดียวกัน อสูรขอบเขตมหาจักรพรรดิอีกตนที่ชื่อ หลูหมิง ในตอนนี้ก็ได้เดินทางไปถึงอาณาเขตสุสานกระบี่แล้วเช่นกัน