พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 639 ทะลวงระดับอย่างรวดเร็ว
บทที่ 639 ทะลวงระดับอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกับที่มู่หยุนชานใช้กระบี่พิภพสังหาร หลิงตู้ฉิงที่ยังคงอยู่ในสำนักวิญญาณโลหิตก็มองไปยังทิศทางของอาณาเขตสุสานกระบี่ด้วยสีหน้าหลากอารมณ์
ในความเป็นจริงไม่ใช่หลิงตู้ฉิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถสัมผัสปรากฏการณ์นี้ได้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตราชันทุกคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับอาณาเขตสุสานกระบี่ก็สัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งการสังหารที่ปะทุขึ้นได้เหมือนกัน
“เป็นฝีมือของเทพกระบี่?”
หลายคนต่างคิดแบบนี้ เนื่องจากในสายตาของผู้คนทั่วไปมันน่าจะมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นในอาณาเขตสุสานกระบี่ที่สามารถปลดปล่อยเจตจำนงแห่งการสังหารที่มากล้นขนาดนี้ได้ ซึ่งมันก็คือเจตจำนงที่เทพกระบี่ทิ้งเอาไว้
แต่หลิงตู้ฉิงรู้เป็นอย่างดีว่ามันไม่ใช่เจตจำนงแห่งการสังหารของเทพกระบี่ เจตจำนงแห่งการสังหารที่ปะทุขึ้นมันเป็นผลมาจากวิชากระบี่ของเขาเองที่สอนให้กับมู่หยุนชาน
ในตอนนี้เขาจึงมีความสงสัยเพียงอย่างเดียวก็คือ มู่หยุนชานปะทะกับใครถึงขนาดต้องใช้กระบี่พิภพสังหารเพื่อสังหารศัตรู?
แน่นอนว่าหลิงตู้ฉิงไม่ได้ห่วงความปลอดภัยของสำนักกระบี่เอกภพมากสักเท่าไหร่ เนื่องจากว่าเขาได้มอบยันต์สั่งสวรรค์ที่ผนึกพลังของเขาไว้ให้ถึง 3 อัน
ด้วยยันต์สั่งสวรรค์เหล่านั้นต่อให้สำนักกระบี่เอกภพจะเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดหลายคนพร้อมกันมันก็ไม่มีปัญหา
หลิงตู้ฉิงหันไปหาหมิงจู้ และพูดว่า “แจ้งคนสำนักของเจ้าทั้งหมดให้มารวมตัวกัน ข้าจะทำการบรรยายเต๋าให้พวกเขาฟัง หลังจากนั้นข้าจะออกเดินทางไปที่อาณาเขตสุสานกระบี่”
เนื่องจากหมิงจู้เป็นคนของเขา ดังนั้นเขาจึงตกลงใจว่านับจากนี้ไปสำนักวิญญาณโลหิตคือสำนักของเขาเช่นกัน
เมื่อเขาคิดว่าสำนักวิญญาณโลหิตเป็นของเขาแล้ว มันจึงเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องทำให้สำนักของตัวเองเจริญก้าวหน้าขึ้น ดังนั้นเรื่องแรกที่เขาทำได้ง่ายและเห็นผลเร็วที่สุดก็คือการเปิดบรรยายเต๋า
การเปิดบรรยายเต๋านั้นไม่เพียงแค่คนของสำนักวิญญาณโลหิตจะได้รับประโยชน์ แต่เขาเองก็ได้รับประโยชน์ไปด้วยจากพลังงานอารมณ์ต่าง ๆ ที่บรรดาศิษย์ของสำนักวิญญาณโลหิตส่งมาถึงเขา
“ขอบคุณนายท่าน!” หมิงจู้เอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ
จากนั้นนางรีบแจ้งให้คนทั้งสำนักของนางมารวมตัวกันทันที ซึ่งบรรดาผู้คนของสำนักวิญญาณโลหิตเมื่อรู้ข่าวว่า หลิงตู้ฉิงจะบรรยายเต๋าให้พวกเขา พวกเขาต่างก็ดีใจกันยกใหญ่
บรรดาผู้คนของสำนักวิญญาณโลหิตเข้าใจกันว่า หลิงตู้ฉิงนั้นคือ ‘บรรพบุรุษ’ ของพวกเขาที่กลับชาติมาเกิดใหม่ และในตอนนี้ ‘บรรพบุรุษ’ ผู้สูงส่งของพวกเขากำลังจะบรรยายเต๋าให้ฟัง พวกเขาจะไม่ดีใจได้ยังไง?
หลังจากนั้น หลิงตู้ฉิงใช้เวลาในการบรรยายเต๋าถึง 2 เดือนเต็ม ๆ ซึ่งส่งผลให้คนของสำนักวิญญาณโลหิตจำนวนมากทะลวงระดับกันอย่างบ้าคลั่ง
ทางด้านของหลิงตู้ฉิงเองก็ทะลวงระดับอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เมื่อการบรรยายจบลง ระดับการบ่มเพาะของหลิงตู้ฉิงก็ทะยานไปหยุดอยู่ที่ขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 7 แล้ว
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น หลิงตู้ฉิงก็พูดกับหมิงจู้ว่า “เจ้าควรเก็บตัวเพื่อซึมซับความรู้ต่าง ๆ ที่ข้าเพิ่งบรรยายไป ส่วนพวกข้าจะเดินทางไปที่อาณาเขตสุสานกระบี่ก่อน”
“นายท่าน ในตอนนี้พวกข้าได้เตรียมการสำหรับการจัดตั้งประตูเคลื่อนย้ายไว้ในสำนักเรียบร้อยแล้ว หากนายท่านพร้อมเมื่อไหร่ ท่านสามารถมาจัดตั้งประตูเคลื่อนย้ายได้เลย” หมิงยู่พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ในตอนนี้ฟ่างหัวได้ออกท่องโลกเพื่อฝึกฝนแล้ว เมื่อไหร่ที่นางทะลวงระดับถึงสวรรค์สามัญ ข้าจะบอกให้นางมาจัดตั้งประตูเคลื่อนย้ายให้กับพวกเจ้า”
“ข้าหวังว่าคุณหนูฟ่างหัวจะประสบความสำเร็จในเร็ววัน!” หมิงจู้หัวเราะ
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “อืม ไม่นานหรอก”
หลังจากคุยเสร็จ หลิงตู้ฉิงก็เรียกหลงเฉินให้ลากรถมังกรเพื่อพาพวกเขาออกเดินทางไปยังอาณาเขตสุสานกระบี่ทันที
แน่นอนว่ารอบนี้ หมิงจู้ไม่ได้ใช้ร่างโลหิตอมตะของนางติดตามไปด้วย เนื่องจากหลิงตู้ฉิงเตือนให้นางตั้งใจซึมซับความรู้ที่นางได้ฟังไปทั้งหมด ซึ่งการตั้งใจซึมซับข้อมูลเต๋าที่หลิงตู้ฉิงได้บรรยายไปทั้งหมดนั้นนางต้องไม่แบ่งสมาธิไปทำอย่างอื่นเลย ดังนั้นนางจึงตั้งใจเก็บตัวก่อนชั่วคราว
หลังจากนั้นไม่นานกลุ่มของหลิงตู้ฉิงก็นั่งรถมังกรเข้าสู่อาณาเขตสุสานกระบี่ และพุ่งตรงไปที่สำนักกระบี่เอกภพก่อนทันที
บรรดาศิษย์ของสำนักกระบี่เอกภพเมื่อเห็นหลงเฉินกำลังลากรถมังกรมา พวกเขาก็รู้ทันทีว่าใครมาเยือน
ก่อนหน้านี้เมื่อตอนที่หลิงตู้ฉิงมาเยือนสำนักกระบี่เอกภพของพวกเขา หลิงตู้ฉิงก็มาพร้อมกับหลงเฉิน ซึ่งพวกเขาจำได้ไม่รู้ลืมแน่นอนเพราะหลิงตู้ฉิงได้ทิ้งความอับอายให้กับพวกเขาในการขอประลองเต๋ากระบี่ ซึ่งคนทั้งสำนักไม่มีใครเอาชนะหลิงตู้ฉิงได้เลย แต่หลังจากนั้นหลิงตู้ฉิงก็หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา ซึ่งมันทำให้พวกเขารู้สึกโล่งใจ
สิ่งที่พวกเขานึกไม่ถึงก็คือ ในวันนี้หลิงตู้ฉิงจะกล้ากลับมาเยือนสำนักของพวกเขาอีกครั้งด้วยรถคันใหม่ที่ดูหรูหรากว่าเดิม
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงกำลังใกล้เข้ามา บรรดาศิษย์ของสำนักกระบี่เอกภพก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวแบบไหน เนื่องจากพวกเขาไม่แน่ใจว่ารอบนี้หลิงตู้ฉิงมาเยือนพวกเขาด้วยจุดประสงค์อะไร
แต่แล้วก่อนที่พวกเขาจะได้ทันอ้าปากตะโกนถาม มู่เทียนหยุนก็ปรากฏตัวขึ้นดักหน้ารถมังกรของหลิงตู้ฉิงก่อนและถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “คารวะท่านลุง! ว่าแต่ท่านลุงมาหาพวกเรารอบนี้มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับว่า “ข้ามาหาพวกเจ้าเพราะอยากจะช่วยพวกเจ้าอะไรบางอย่างก็เท่านั้น”
มู่เทียนหยุนรีบตอบกลับทันที “ถ้างั้นท่านลุงเชิญด้านในก่อนเถอะ”
“หยุนชานอยู่ที่ไหน?” ทันทีที่หลิงตู้ฉิงก้าวเข้าไปด้านในสำนักกระบี่เอกภพ เขาถามขึ้นทันที “ไม่นานมานี้ข้าสัมผัสได้ว่าพ่อของเจ้าใช้วิชากระบี่ที่ข้าเคยถ่ายทอดให้ เขาเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งงั้นเหรอ?”
มู่เทียนหยูหัวเราะ “ใช่แล้วท่านลุง มันคือหลูหมิง อสูรขอบเขตมหาจักรพรรดิแห่งสันเขาหมื่นอสูรที่มาบุกพวกเราเมื่อเร็ว ๆ นี้ และก็ถูกพ่อของข้าสังหารไป ซึ่งท่านลุงมาได้จังหวะพอดีเลยจริง ๆ ตอนนี้เนื้อของกวางอสูรหลูหมิงได้ถูกแล่ออกมาหมดแล้ว เดี๋ยวข้าจะย่างมันเพื่อต้อนรับท่านลุงเอง!”
ความขัดแย้งของพวกเขากับเผ่าอสูรนั้นฝังรากลึกกันมากอยู่แล้ว ดังนั้นมันจึงไม่แปลกอะไรที่พวกเขาสำนักกระบี่เอกภพจำเอาเนื้อของอสูรมากินแบบนี้หากพวกเขาฆ่ามันได้
“สามารถยืนหยัดปกป้องสำนักได้ด้วยกำลังของตัวเอง นับว่าไม่เลวเลยจริง ๆ!” หลิงตู้ฉิง พยักหน้า
“ท่านลุงก็ชมพวกเราเกินไป!” มู่หยุนชาน จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวออกยืนตรงหน้าของหลิงตู้ฉิง และตอบกลับ “ท่านลุง ท่านมาหาพวกเรามีอะไรงั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “บังเอิญว่าข้าอยู่ในระหว่างเดินทางและเส้นทางมันก็ผ่านพวกเจ้าพอดี ดังนั้นข้าจึงใช้โอกาสนี้แวะมาหาพวกเจ้าเพื่อช่วยพวกเจ้าแก้ปัญหาบางอย่างและข้าก็ต้องการที่จะเข้าไปในสุสานของพ่อเจ้าด้วยเพื่อดูว่าแท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของเจ้ากันแน่”