พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 643 วางแผน
มู่หยุนชานมองไปที่กระบี่อาญาสวรรค์ และรับมันมาด้วยอาการงุนงง
เขาไม่เคยนึกมาก่อนว่าจิตสำนึกพ่อของเขาจะหลอมเข้าไปอยู่ในกระบี่อาญาสวรรค์แบบนี้
หากมองในบางมุม มันจะหมายความว่าพ่อของเขาจะคอยอยู่ดูแลเขาและลูกหลานตลอดไป
แต่ถ้ามองในมุมของลูกชาย มันคือความสูญเสีย
เขาต้องการให้พ่อของเขากลับมาเกิดใหม่และมาอยูร่วมกับพวกเขาอีกครั้ง แต่ตอนนี้พ่อของเขากลับถูกแยกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งก็คืออยู่ในกระบี่อาญาสวรรค์เพื่อปกป้องพวกเขา อีกส่วนหนึ่งก็กลายเป็นเด็กน้อยที่ไม่มีความทรงจำใด ๆ ของชาติที่แล้วเมื่อตอนเป็นพ่อของเขาเหลืออยู่
การที่มันเป็นเช่นนี้ มันก็หมายความได้ว่าพ่อของเขาได้หายไปแล้วตลอดกาล
หลิงตู้ฉิงพูดตรง ๆ ว่า “ทุก ๆ คนล้วนมีเป้าหมายและความรับผิดชอบที่แตกต่างกันไป ซึ่งพ่อของเจ้าเองก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าพ่อของเจ้ากับแม่ของเจ้าเจอกันได้ยังไง แต่ในเมื่อเขามีพวกเจ้าแล้ว มันก็เป็นความรับผิดชอบของเขาที่จะดูแลพวกเจ้า ซึ่งกระบี่อาญาสวรรค์นี้ก็คือการแสดงความรับผิดชอบของเขา”
“ส่วนเรื่องอื่น ๆ มันคือเป้าหมายของพ่อเจ้าที่ได้ตั้งใจเอาไว้ ดังนั้นจงอย่าไปคิดอะไรให้มันมากมาย ไม่แน่สักวันหนึ่งในอนาคตเมื่อพ่อของเจ้าไปถึงจุดที่สามารถสร้างวิถีเต๋าของตนเองได้แล้วความทรงจำของเขาอาจจะกลับคืนมาก็ได้ ดังนั้นสิ่งที่เจ้าและลูกหลานของเจ้าควรทำในตอนนี้ก็คือรอการกลับมาของเขาก็พอ”
มู่หยุนชานโค้งตัวคำนับ “ข้าเข้าใจแล้วท่านลุง”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “เอาล่ะ เจ้าจงไปเตรียมคนในสำนักของเจ้าทุกคนให้พร้อม เดี๋ยวข้าจะทำการบรรยายเต๋าให้กับพวกเจ้าได้ฟัง หลังจากนั้นข้าจะได้เดินทางไปต่อ ด้วยโอสถอีกหลายอย่างที่ข้าจะมอบให้เจ้ารวมไปถึงการบรรยายเต๋าครั้งนี้ มันจะทำให้เจ้าและคนของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นไปอีกระดับอย่างรวดเร็ว ในอนาคตอีกไม่ไกลพวกเจ้าคงสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองอย่างไร้กังวล”
มู่หยุนชานพยักหน้า “ถ้างั้นหลังจากที่ท่านลุงบรรยายเต๋าเสร็จ ข้าจะจัดเหล่าศิษย์ส่วนหนึ่งให้เดินทางไปที่อาณาเขตนภาเพื่อช่วยเหลือลูกชายของท่าน และเป็นการให้พวกเขาได้ไปฝึกฝนด้วยในตัว”
“เรื่องนั้นเจ้าสามารถจัดการได้เองตามความเหมาะสม” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “แต่ว่าพวกเจ้าทุกคนต้องระวังตัวเอาไว้ให้มากกว่าเดิม เนื่องจากความขัดแย้งของพวกเจ้ากับพวกสันเขาหมื่นอสูรในตอนนี้มันชัดเจนขึ้นมาแล้ว ด้วยการคุ้มครองของกระบี่อาญาสวรรค์ หากพวกเจ้าอยู่ในสำนักของพวกเจ้า พวกเจ้าคงไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน แต่เมื่อไหร่ที่พวกเจ้าเดินทางออกไปพ้นสำนักของพวกเจ้า เมื่อนั้นพวกเจ้าจะต้องระวังให้มากขึ้นกว่าเดิม”
มู่หยุนชานพยักหน้า “เข้าใจแล้วท่านลุง แต่อันที่จริงเรื่องนี้ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน การที่มีเรื่องทำให้พวกเขาต้องลำบากมากขึ้นหรืออยู่ในอาการตื่นตัวตลอดเวลามันจะเป็นการหล่อหลอมทำให้พวกเขาแข็งแกร่งได้อีกทางหนึ่ง หากเทียบกับประสบการณ์ของท่านและท่านพ่อของข้าแล้ว เด็ก ๆ พวกนี้นับได้ว่าใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายมานานเกินไปแล้ว”
หลังจากนั้น มู่หยุนชานก็ได้แจ้งให้คนในสำนักของเขาทุกคนมารวมตัวกันเพื่อฟังการบรรยาย
3 วันต่อมา หลิงตู้ฉิงก็เริ่มการบรรยายของเขา ซึ่งกลุ่มคนที่ได้รับประโยชน์จากการบรรยายครั้งนี้ก็คือผู้คนของสำนักกระบี่เอกภพ เนื่องจากบรรดากลุ่มคนของหลิงตู้ฉิง นั้นเพิ่งจะฟังการบรรยายของเขาไปเมื่อตอนอยู่ที่สำนักวิญญาณโลหิตและยังไม่ทันจะได้ทำความเข้าใจกับความรู้ที่ได้รับมาจนครบ ดังนั้นการที่มาฟังอีกรอบมันจึงทำให้พวกเก็บข้อมูลได้ไม่มากเท่าไหร่ เหมือนกับเทน้ำลงไปในแก้วที่มีน้ำเต็มอยู่แล้ว
แต่คนที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีสมาธิที่สุดในช่วงเวลาเดียวกันนี้ก็คือ หลงเฉิน
เขาเอาแต่คิดถึงเรื่องที่จะทำยังไงเพื่อโน้มน้าวหลิงตู้ฉิงให้ไปเยือนภูเขาเอ้อหลงของเขาสักครั้ง
เขาอยากที่จะพาเหล่าพี่น้องของเขาให้มาลากรถมังกรให้กับหลิงตู้ฉิง และได้รับประโยชน์มากมายเหมือนกับเขาในตอนนี้
แต่สิ่งที่เขากังวลใจก็คือเขาไม่รู้ว่าจะพูดโน้มน้าวหลิงตู้ฉิงยังไงให้ไปที่ภูเขาเอ้อหลง
ในขณะที่หลงเฉินกำลังกังวลใจเกี่ยวกับการไปภูเขาเอ้อหลง สิ่งที่เขาไม่รู้เลยในตอนนี้ก็คือมีใครบางคนได้เดินทางไปถึงภูเขาเอ้อหลงเรียบร้อยแล้ว
คนผู้นั้นที่ไปถึงก็คือ หลิงฟ่างหัว และทาสรับใช้ของนาง
ในอดีตเมื่อตอนที่อาณาจักรมังกรทะยานวางแผนล่อลวงหลิงว่านถิง นับตั้งแต่นั้นมาหลิงฟ่างหัวก็ตั้งมั่นเอาไว้ในใจมาตลอดว่าถ้าหากมีโอกาสเมื่อไหร่นางจะต้องเอาคืนกลุ่มคนที่มาทำให้พี่สาวของนางเสียใจให้ได้ ซึ่งนางก็พุ่งเป้าไปที่ภูเขาเอ้อหลง เนื่องจากภูเขาเอ้อหลงคือสถานที่ที่เป็นผู้สนับสนุนหลักของอาณาจักรมังกรทะยาน
แต่ว่าในทันทีที่นางเดินทางมาถึงภูเขาเอ้อหลง หลิงฟ่างหัวกลับรู้สึกสิ้นหวังเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า
“เฒ่าหยู พวกเขาภูเขาเอ้อหลงนี้ดูไม่อ่อนแอเลย มันดูเหมือนว่าข้าคงจะไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้แน่นอนเลย!” หลิงฟ่างหัวพูดขึ้นด้วยสีหน้าเศร้า
นายเหนือหัวของภูเขาเอ้อหลงนั้นคือผู้ที่มาจากตำหนักมังกรโดยตรง ซึ่งถ้าจะเทียบความแข็งแกร่งแล้วภูเขาเอ้อหลงนั้นแข็งแกร่งกว่าสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายส่วนซะด้วยซ้ำ
พวกเขาแตกต่างกันแค่ภูเขาเอ้อหลงไม่มีมหาวิถีเต๋าคอยเกื้อหนุน
ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญกับความแข็งแกร่งระดับนี้ มันจึงเป็นธรรมดาที่หลิงฟ่างหัว ผู้ซึ่งมีระกับการบ่มเพาะแค่ขอบเขตรวมแสงดาราจะต้องถอดใจ ด้วยความแข็งแกร่งของนางในตอนนี้จะสามารถส่งภูเขาเอ้อหลงไปสู่มิติอื่นได้ยังไง? มันเป็นไปไม่ได้
“ถ้างั้นคุณหนูต้องการที่จะทำอย่างไรต่อ?” หยูเจิ้นไห่เอ่ยถามขึ้น
หน้าที่ของเขาที่ได้รับคำสั่งมาจากหลิงตู้ฉิงก็คือ ให้ทำตามที่หลิงฟ่างหัวสั่งเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยทักท้วงใด ๆ ไม่ว่าหลิงฟ่างหัวจะทำอะไรหรือไปที่ไหน เขามีหน้าที่แค่ปกป้องและทำตามคำสั่งนางไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ทางด้านของหลิงฟ่างหัวก็นั่งมองไปที่ภูเขาเอ้อหลงที่อยู่ห่างออกไปในระยะไกลพลางใช้ความคิดอย่างหนักว่ามันมีวิธีไหนบ้างที่นางจะสามารถส่งภูเขาเอ้อหลงไปอยู่ในมิติอื่นได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่หลายวัน ในที่สุดนางก็นึกแผนที่พอจะเป็นไปได้ออก
หลิงฟ่างหัวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “ในเมื่อข้ามาถึงแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็ต้องลองพยายามดูสักครั้ง! อย่างน้อย ๆ หากส่งภูเขาเอ้อหลงสักส่วนหนึ่งไปอยู่มิติอื่นได้ข้าก็พอใจแล้ว!”
เมื่อพูดจบ หลิงฟ่างหัวก็หยิบประตูมิติของนางขึ้นมา จากนั้นนางก็ลองทดสอบอำนาจของมันดู
นางคำนวณอยู่ในใจว่าด้วยระยะทางจากจุดของนางที่อยู่ตรงนี้ไปถึงภูเขาเอ้อหลง หากนางเปิดประตูมิติและใช้มันฉีกมิติออกไปเรื่อย ๆ ไปยังทิศทางของภูเขาเอ้อหลง เมื่อถึงจุดที่ภูเขาเอ้อหลงตั้งอยู่ รอยแยกของมิติมันน่าจะใหญ่เพียงพอที่จะดูดกลืนภูเขาเอ้อหลงไปได้ทั้งหมด ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นภูเขาเอ้อหลงก็จะถูกส่งไปอยู่ห้วงมิติอันว่างเปล่า
แต่มันก็ยังติดอยู่อีกปัญหาหนึ่งก็คือภูเขาเอ้อหลงนั้นมีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย ซึ่งพวกเขาจะต้องออกมายับยั้งรอยแยกมิติที่นางสร้างขึ้นแน่นอน ซึ่งมันจะทำให้รอยแยกมิติของนางหายไป
ดังนั้นหลิงฟ่างหัวจึงหันไปสั่งกับหยูเจิ้นไห่ว่า “เฒ่าหยู ข้าจะมอบภารกิจให้เจ้าทำ เดี๋ยวเจ้าจงไปที่ภูเขาเอ้อหลงและไปก่อกวนดึงความสนใจของพวกเขาซะเพื่อรอจนกว่ารอยแยกมิติของข้าจะไปถึงภูเขาเอ้อหลง”
หยูเจิ้นไห่ที่กำลังรอคำสั่งอยู่ก็พยักหน้ารับทันที “ข้าเข้าใจแล้วคุณหนู ข้าจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะถ่วงเวลาพวกเขาเอาไว้”
เนื่องจากเขาถูกล้างสมองให้มีความจงรักภักดีอย่างเต็มรูปแบบ เขาจึงไม่ได้คิดถึงตัวเองเลยว่าเขาจะหนีอย่างไรหรือเขาจะตายไหม หยูเจิ้นไห่คิดแค่เพียงว่าเขาต้องทำตามที่หลิงฟ่างหัวสั่งให้สำเร็จให้ได้
ส่วนทางด้านหลิงฟ่างหัวเองก็ไม่ได้คิดถึงแผนการหนีเอาตัวรอดหลังจากจบเรื่องเช่นกัน เพราะนางยังคงอ่อนด้อยประสบการณ์และคิดแต่จะทวงแค้นให้พี่สาว
จากนั้นเมื่อนาย บ่าว ทั้งสองตกลงใจกันเรียบร้อย พวกเขาก็เริ่มเตรียมตัวดำเนินแผนการส่งภูเขาเอ้อหลงไปสู่มิติอื่น